บทที่ 216 แม่เลี้ยง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 216 แม่เลี้ยง
แม้เมื่อวานนี้จะไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการที่โรงหมอมากนัก แต่พอวันถัดมาก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง

ส่วนเจียงสือกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น

เขาเป็นหนึ่งในผู้ป่วยที่มีอาการสาหัสจากอุบัติเหตุครั้งนั้น และเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาสามารถพ้นวิกฤตมาได้ และตอนนี้ก็อยู่ในสภาพพักฟื้น ร่างกายของเขาเริ่มดีวันดีคืน

กล่องเสียงของเขาเริ่มดีขึ้น สามารถพูดบางคำได้แล้ว

กู้เจียวพอรู้ข้อมูลเบื้องต้นแล้วว่าเขาชื่อเจียงสือ มาจากตำบลอวี๋ ปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดขวบ มีน้องสาวชื่อเจียงหลี อายุแปดขวบ

หมู่บ้านของเขาเกิดอัคคีภัย พ่อแม่ของพวกเขาและคนอื่นๆ ในเรือนถึงแก่ความตายเพราะความหิวโหย จะเหลือก็แค่พวกเขาสองคนที่ยังมีชีวิตอยู่

พวกเขากลายเป็นเด็กกำพร้าและถูกขายเป็นทาส แต่เพราะพวกเขาเลือกที่จะไม่แยกจากกัน ก็เลยขายไม่ออกเสียที

และด้วยความบังเอิญ ทั้งสองถูกขายมายังที่เมืองหลวง รับงานไม่ถูกกฎหมายและทำประจำอยู่ที่กรมโยธา

แม้จะได้เงินไม่เยอะ แต่อย่างน้อยก็พอเลี้ยงปากท้องน้องสาวได้

กู้เจียวยังรู้ว่าอีกว่า คนที่ทำงานผิดกฎหมายอย่างเจียงสือมีอยู่จำนวนมาก เป็นความโชคดีของพวกเขามากแล้วที่ได้ทำงานให้ราชสำนัก บางคนไม่ได้ถูกซื้อโดยเจ้าหน้าที่ทุจริตของราชสำนัก แต่ถูกขายให้กับโรงงานเล็กๆ ที่ใช้งานพวกเขาเยี่ยงทาส

พวกเขาไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย จึงไม่ได้รับสวัสดิการอย่างที่คนทั่วไปพึงได้ แม้จะมีค่ารักษาพยาบาลให้ แต่ก็ให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พอพวกเขารักษาหายแล้ว จะต้องถูกบังคับให้ออกจากเมืองหลวง

วันนี้กู้เจียวมาต่อสายน้ำเกลือให้เจียงสือ

ส่วนเจียงหลีไม่ได้อยู่ในห้องผู้ป่วย นางออกไปช่วยงานที่ห้องโถง

นางเริ่มคุ้นเคยกับผู้คนในโรงหมอแล้ว รู้ว่าผู้คนที่นี่จะไม่ทำร้ายนาง ดังนั้นนางจึงค่อยๆ ลดกำแพงลง และพร้อมสำหรับการช่วยเหลือเมื่อถึงเวลาที่ต้องการ

วันนี้นางช่วยห่อถุงยา แม้จะยังตะกุกตะกักนัก แต่เด็กคนนี้ทำออกมาได้ละเอียดเลยทีเดียว

ขณะที่กู้เจียวกำลังมองดูเจียงหลี จู่ๆ หมอซ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะ “แม่สาวน้อยคนนี้ทำงานหนักเอาเรื่องเลย แถมนางสามารถจดจำวัสดุทางการแพทย์ได้มากมาย เก่งกว่าข้าตอนช่วงแรกเสียอีก”

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีรถม้าเข้ามาจอดที่หน้าโรงหมอ

พร้อมกับองครักษ์ขี่ม้าอีกสี่นาย ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนระดับทั่วไปแน่นอน

ม่านรถถูกเปิดออก ปรากฏร่างของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์และสวยง่าเดินลงจากรถม้า

จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากรุ่ยอ๋องเฟย

ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ นางได้พบกับกู้เจียวบนสะพานโค้งหินแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย จนกระทั่งวันนี้

นางเดินลงจากรถม้าโดยมีนางข้าหลวงคอยช่วยพยุงร่างไว้ ก่อนจะยกมือขึ้นห้าม “เอาละ ไม่ต้องแบกข้าแล้ว ข้ามีมือมีเท้าเหมือนกันนะเห็นไหม!”

“แต่ท่านต้องระวังนะเจ้าคะ” นางข้าหลวงสวี่เอ่ย

รุ่ยอ๋องเฟยไม่สนใจคำพูดพวกนั้น ก้าวเท้าใหญ่เดินเข้าไปในห้องโถงโรงหมอ พอเจอกู้เจียวก็ฉีกยิ้มให้ “แม่นางกู้!”

กู้เจียวโน้มตัวน้อบรับ

รุ่ยอ๋องเฟยมองดูรอบๆ ทั้งสี่ทิศ ก่อนจะเดินเข้ามาจับที่มือของกู้เจียว “ข้าขอไปนั่งที่สวนของเจ้าได้ไหม”

“ได้สิเจ้าคะ” กู้เจียวหันไปทางหมอซ่ง “ฝากด้วยนะ”

“ได้เลย” หมอซ่งตอบรับ ก่อนจะยกมือคำนับรุ่ยอ๋องเฟย

คนไข้คนอื่นๆ ไม่รู้ว่านางเป็นใคร แต่เขากลับรู้

รุ่ยอ๋องเฟยไม่ได้สนใจเขาอย่างใด จากนั้นเดินตามกู้เจียวเข้าไปที่สวน

ทั้งสองนั่งลง

กู้เจียวรินชาให้นาง

รุ่ยอ๋องเฟยแทบไม่สนใจชาในถ้วย แล้วเริ่มบทสนทนาอย่างตั้งใจ “ต้องขออภัยด้วยที่ข้าไม่ได้มาเจ้าเสียนาน ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์แล้ว พวกแม่นมไม่ยอมให้ข้าออกมาข้างนอกเลยเป็นเวลาถึงสองเดือนแหนะ!”

เหล่าแม่นมทำตามคำสั่งของอวี๋เฟย อายุครรภ์ต้องครบสามเดือนก่อนจึงจะออกข้างนอกได้

“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ”

รุ่ยอ๋องเฟยได้ยินดังนั้นก็ทำท่าเหนียมอาย “ข้าแต่งงานกับฝ่าบาทมาพักนึงแล้ว นี่เป็นท้องแรกของข้า เจ้าช่วยข้าวัดชีพจรให้ทีสิ”

กู้เจียววัดชีพจรให้นาง “ปกติดีทุกอย่างนะเจ้าคะ”

รุ่ยอ๋องเฟยเผลอคลี่ยิ้มออกมา “หมอหลวงก็บอกเช่นนี้ แต่ข้าไม่ไว้ใจพวกเขา ต้องเจ้าเท่านั้น ข้าถึงจะวางใจได้!”

สักพัก นางก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้แล้วเอ่ยต่อ “อ๋อ จริงสิ ครั้งก่อนข้ายังไม่ได้ขอบคุณเจ้าเลย หากไม่ได้เจ้าช่วยเตรียมการให้ข้า ข้าเองก็คงช่วยคนพวกนั้นไว้ไม่ได้เช่นกัน”

กู้เจียวเอ่ยตอบ “ข้าแค่บอกท่านไว้เฉยๆ ซึ่งท่านก็เลือกที่จะเชื่อข้า ก็เลยช่วยพวกเขาไว้ทัน เป็นคุณความดีของท่าน มิต้องขอบใจข้าหรอกเจ้าค่ะ”

รุ่ยอ๋องเฟยอ้าปากค้าง “เอ่อ…”

ไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

กู้เจียวยิงคำถามต่อ “ที่ท่านมาวันนี้ก็เพื่อให้ข้าวัดชีพจรให้ และต้องการมากล่าวคำขอบคุณกับข้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

รุ่ยอ๋องเฟยยิ้มเจื่อน “ที่จริงก็มีเรื่องอื่นอีกนั่นแหละ ข้าอยากชวนเจ้าออกตรวจนอกสถานที่น่ะ ข้ารู้ว่ามันอาจฟังดูกะทันหันไปหน่อย ข้าควรบอกเจ้าให้เร็วกว่านี้ เพียงแต่ วันนี้ข้าเพิ่งจะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทกับฮองเฮา ก็เลยได้ข่าวมาโดยบังเอิญ หากเป็นคนอื่น ข้ามิอาจวางใจ…”

กู้เจียวเป็นคนประเภทชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง

หากรุ่ยอ๋องเฟยใช้อำนาจมากดดันล่ะก็ กู้เจียวคงรีบปฏิเสธในทันที แต่นางดันใช้วิธีจ้องเข้าไปที่ดวงตาของกู้เจียวปริบๆ ราวกับกวางน้อย กู้เจียวได้แต่ถอนหายใจ แล้วตอบตกลง

“เจ้านี่ดีที่สุดเลย!” รุ่ยอ๋องเฟยพากู้เจียวขึ้นรถม้าไป

คนที่กู้เจียวจะต้องไปช่วยรักษาให้ เป็นหนึ่งในพระสนมของราชวงศ์ปัจจุบัน ซึ่งพระสนมผู้นี้ไม่ได้พำนักที่วัง แต่อยู่ในสำนักชีใกล้กับวัดผู่จี้

ซึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำสายนั้น

สะพานแขวนถูกซ่อมปรับปรุงใหม่จนสภาพดีขึ้น มีเพียงสะพานโค้งหินเท่านั้นที่สามารถเดินรถม้าได้

และแล้วรถม้าก็เดินทางมาถึงทีสำนักชี

ทั้งสองลงจากรถม้า

รุ่ยอ๋องเฟยสั่งให้นางข้าหลวงรออยู่ข้างนอก

สำนักชีแห่งนี้มีพื้นที่ไม่ใหญ่นัก พวกเขาเห็นแม่ชีแค่สองคนเท่านั้น

“ไท่เฟยอยู่หรือไม่” รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยถาม

“อยู่เจ้าค่ะ เชิญทางนี้เลยเจ้าค่ะ” แม่ชีนำทางพวกนางไปยังห้องๆ หนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณสวนด้านหลัง

เสียงไอดังลอดออกมาจากในห้อง

รุ่ยอ๋องเฟยได้ยินดังนั้นก็เริ่มใจคอไม่ดี ยกกระโปรงขึ้นแล้วรีบเดินเข้าไปด้านใน “ไท่เฟยเพคะ! เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”

“อ๋องเฟยเจ้าคะ” แม่นมเฒ่าที่ยืนอยู่หน้าเตียงถวายบังคมให้รุ่ยอ๋องเฟย

รุ่ยอ๋องเฟยนั่งลงข้างเตียง ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อกุมมืออันเหี่ยวแห้งของร่างที่นอนอยู่บนเตียง “ไฉนท่านถึงได้ป่วยหนักเช่นนี้ล่ะเพคะ”

“แค่ก แค่ก …เจ้ามาที่นี่ทำไม ข้าไม่เป็นอะไรมาก…โรคเก่าน่ะ…แค่ก แค่ก…”

กู้เจียวเดินเข้ามาข้างในพร้อมกับตะกร้าคู่ใจ

บนเตียงนั่น ปรากฏร่างของฮูหยินชราที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับหญิงชราเช่นกัน ใบหน้าของนางช่างดูงดงามจนอดคิดไม่ได้ว่าสมัยนางสาวๆ ต้องสวยสะพรึงขนาดไหน

“นางคือ…” ฮูหยินชราเอ่ยถามพลางมองมาทางกู้เจียว

“ไท่เฟยเพคะ นางเป็นสหายของข้า มาจากตระกูลกู้ ฝีมือการรักษาของนางเยี่ยมยอดมาก! นางจะมาช่วยดูอาการให้ท่านนะเพคะ!” รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยจบ ก็หันไปหากู้เจียว “แม่นางกู้ ท่านคือจิ้งไท่เฟย”

กู้เจียวทำได้แค่พยักหน้ารับ

นางไม่ชินกับการต้องโค้งตัวหรือคุกเข่าถวายบังคมให้ใคร

จิ้งไท่เฟยออกบวชมานานแล้ว เลยไม่ได้พิธีรีตองมากนัก นางป้องปากไอสองครั้ง ก่อนจะเอ่ยกับกู้เจียว “ในเมื่อเจ้าเป็นเพื่อนของเชี่ยนเชี่ยน ก็ทำตัวตามสบายเลยนะไม่ต้องเกรงใจ ข้าเองก็ไม่ได้เป็นไท่เฟยแล้ว เจ้าเรียกข้าว่าแม่ชีจิ้งอันก็ได้”

กู้เจียววัดชีพจรให้จิ้งไท่เฟย จากนั้นทำการตรวจร่างกาย “แม่ชีเคยเป็นโรคหอบหืดมาก่อนหรือไม่”

ใช้เวลาไม่นานก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคหอบหืด จิ้งไท่เฟยรู้สึกประหลาดใจกับความสามารถของเด็กสาวคนนี้ยิ่งนัก แต่ด้วยความที่จิ้งไท่เฟยอายุมากแล้ว เลยมิได้แสดงท่าทีตกอกตกใจแต่อย่างใด

“เป็นมาตั้งนานแล้ว โรคเก่าโรคแก่ ยิ่งช่วงฤดูใบไม้ผลิยิ่งเป็นหนัก”

“รักษาให้หายได้ไหม” รุ่ยอ๋องเฟยหันไปถามกู้เจียว

“ให้รักษาต้นตอคงยาก แต่พอทำให้ทุเลาลงได้” กู้เจียวเปิดกล่องยาออก หยิบยาแก้หอบหืดกับยาพ่นขึ้นมา จากนั้นทำการสอนวิธีใช้ รวมถึงข้อห้ามต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

จิ้งไท่เฟยกล่าวขอบคุณกู้เจียว

รุ่ยอ๋องเฟยอยู่พูดคุยกับจิ้งไท่เฟยอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งจิ้งไท่เฟยง่วงนอน เลยจำใจเดินทางกลับ

รุ่ยอ๋องเฟยถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าสงสารท่านเหลือเกิน ไฉนถึงเกิดเรื่องแบบนี้ด้วยนะ”

จิ้งไท่เฟยเป็นแม่เลี้ยงของฮ่องเต้ ด้วยความที่มารดาแท้ๆ ของเขาเป็นแค่นางข้าหลวง จึงไม่ได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดู พอพระองค์ลืมตาดูโลกก็อยู่ในความดูแลของจิ้งไท่เฟยไปโดยปริยาย

ตอนนั้นจิ้งไท่เฟยยังเป็นแค่พระสนมเอก ต่อมาพอนางได้ให้กำเนิดองค์หญิงน้อย จึงถูกเลื่อนขั้นเป็นจิ้งเฟย

จิ้งเฟยเป็นสตรีผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่เคยคิดจะแข่งกับใคร และไม่เคยประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทางเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ด้วยความที่นางเป็นคนเช่นนี้ ไทเฮาเลยเกิดถูกใจนางเข้า ก็เลยตัดสินใจแต่งตั้งบุตรบุญธรรมของนางขึ้นเป็นฮ่องเต้แทนที่ทายาทคนอื่นๆ

เนื่องจากฮ่องเต้ได้ทรงใช้พระนามของนาง แปลว่าเขาคือพระราชโอรสของนาง เมื่อองค์จักรพรรดิขึ้นครองราชย์แล้ว นางก็ควรจะถูกแต่งตั้งเป็นไทเฮาด้วยเช่นกัน

แต่คนอย่างจวงไทเฮามีหรือจะยอม

นางจึงกลายมาเป็นแม่ชีจนถึงทุกวันนี้

“กระนั้นแล้ว ยังมีอีกข่าวนึงที่พวกชาวบ้านเล่าต่อกัน” รุ่ยอ๋องเฟยมิได้มองกู้เจียวเป็นคนนอกแต่อย่างใด นางเห็นกู้เจียวเป็นพี่เป็นน้อง แน่นอนว่านี่เป็นความคิดของนางฝ่ายเดียว

“ว่ากันว่าจิ้งไท่เฟยมีคนโปรดในใจอยู่แล้ว นางจึงไม่เสียดายตำแหน่งไทเฮา และยอมออกจากวังแต่โดยดี”

เรื่องนี้แม้แต่ตู้เสี่ยวอวิ๋นนางก็ยังไม่เคยเล่าให้ฟัง

เหตุผลหลักๆ ก็เพราะว่าตู้เสี่ยวอวิ๋นเป็นเด็กปากสว่าง ซ้ำยังเป็นเด็กบ้าที่หลับหูหลับตาเข้าข้างไท่จื่อเฟยอีกด้วย