บทที่ 215 หักหน้าอย่างแรง (ต่อ)
ที่กล่าวไว้ว่ากลัวอะไรมักจะได้อย่างนั้นคงไม่เพียงพอที่จะอธิบายสถานการณ์ของซูเฟยในตอนนี้เสียแล้ว ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าในเวลาแบบนี้ ฮ่องเต้ต้องการจะทดสอบความรู้ขององค์ชายห้า
ด้วยความที่ทรงงานหนัก พระองค์จึงไม่ได้มีเวลามาสนใจเรื่องการเรียนขององค์ชายแต่ละคนเท่าใดนัก สำหรับเขา คนที่พอไปวัดไปวาได้ก็มีแค่องค์ชายใหญ่กับไท่จื่อ
คนหนึ่งเป็นทายาทโดยชอบธรรม ส่วนอีกคนเป็นทายาทโดยสายเลือด
ส่วนองค์ชายห้าที่เรียกได้ว่าไม่ได้เป็นทายาทเสียทีเดียว อย่างมากก็แค่ให้ฮ่องเต้ตรวจเรียงความของเขา ซึ่งเรียงความที่ว่าก็มีกู้จิ่นอวี๋ช่วยเขียนให้อยู่ตลอด
บางครั้งพระองค์ก็เรียกองค์ชายห้าไปถามถึงเรียงความที่เขาเขียน ซึ่งกู้จิ่นอวี๋มักจะเตรียมคำตอบให้เขาก่อนอยู่แล้ว
ที่เห็นองค์ชายห้าไม่ใฝ่เรียนนี้ แต่เรื่องลักไก่บอกได้เลยว่าไม่เป็นสองรองใคร
ที่เขาต้องการก็แค่ให้กู้จิ่นอวี๋ช่วยแนะแนวทางให้ เขาก็จะจำได้อย่างดี!
ดังนั้นเข้าจึงผ่านมาได้อย่างราบรื่น ไม่เคยโดนจับได้เลยสักครั้ง
ซูเฟยยืนตัวสั่น
“ฝ่าบาท…”
ซูเฟยมีความคิดอยากจะจบเรื่องราวทั้งหมด ฝ่าบาทมิได้สนใจนางอีกต่อไป อีกด้านหนึ่ง เด็กทั้งสามคนก็ฉาบปูนบริเวณสะพานเสร็จเป็นที่เรียบร้อย และกำลังย้ายตำแหน่งไปฉาบบนกำแพงต่อ
ฮ่องเต้ไม่ประสงค์จะดูต่อ จึงลุกขึ้นแล้วเสด็จไปที่ห้องทรงหนังสือ
เซียวฮองเฮา จวงกุ้ยเฟยและพระสนมคนอื่นๆ ลุกขึ้นแล้วถวายบังคมส่งฝ่าบาท
ฮ่องเต้ได้มาถึงห้องทรงหนังสือ
องค์ชายห้าที่เพิ่งถูกเรียกตัวมาก็เช่นกัน
เขายังไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพียงแต่รู้สึกว่าทุกคนดูแปลกไป โดยเฉพาะฮ่องเต้
“เสด็จพ่อ”
องค์ชายห้าถวายบังคมให้
ขณะเดียวกัน เด็กน้อยทั้งสามก็ได้มาถึงที่หน้าห้องทรงหนังสือ จากนั้นก็ละเลงปูนลงบนผนังต่อ
เว่ยกงกงกลัวว่าพวกเด็กๆ จะเผลอเข้าไปฉาบปูนข้างใน เลยวานให้คนไปช่วยแบกก้อนอิฐมาให้
เปลี่ยนจากฉาบกำแพงมาเป็นฉาบก้อนอิฐก็ได้นี่นา
พวกเด็กๆ ย่อตัวลง จากนั้นก็ค่อยๆ ฉาบปูนลงไป
เสี่ยวจิ้งคงคือคนที่ตั้งใจทำมากที่สุด แต่ด้วยความที่เขายังเด็ก ยังคุมแรงไม่ได้ เลยกลายเป็นว่าทำออกมาได้แย่สุด
รองลงมาคือสวี่โจวโจว
ส่วนคนที่ฉาบได้พอไปวัดไปวาได้ที่สุดก็คือฉินฉู่อวี้
เขาเริ่มค้นพบความสนุกในการฉาบกำแพง
“ในอนาคตข้าก็เป็นช่างฉาบปูนได้แล้วสิ!” ฉินฉู่อวี้เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยชม “ใช่แล้ว เจ้าฉาบปูนได้ดีสุดเลย!”
สวี่โจวโจวพยักหน้าเห็นด้วย
ส่วนเว่ยกงกงที่ยืนอยู่ข้างๆ พอได้ยินดังนั้นก็แทบจะสั่นไปทั้งตัว
ท่านเป็นองค์ชายนะขอรับ ความใฝ่ฝันสูงสุดของท่านคือเป็นช่างฉาบปูนอย่างนั้นรึ! ช่วยพูดอะไรที่ดูเป็นไปได้หน่อยได้ไหม!
ขณะเดียวกันที่ห้องทรงหนังสือ สภาพขององค์ชายห้าในตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรกันกับเว่ยกงกง ไม่ใช่เพราะตกใจที่รู้ว่าจะได้น้องชายเป็นช่างฉาบปูน แต่เป็นเพราะคำถามของเสด็จพ่อต่างหาก
ฮ่องเต้นำประโยคในคัมภีร์เมิ่งจื่อมาวัดความรู้ให้เขา “เมืองไม่สูง น้ำไม่ลึก กองทัพไม่แข็งแรง ข้าวไม่พอ ประโยคต่อมาคืออะไร”
องค์ชายห้า “เอ่อคือ…คือ…”
เสี่ยวจิ้งคงส่ายหัว มือพลางฉาบลงไปบนก้อนอิฐ “โบราณว่าไว้ ประชาชนไม่มีแบ่งพรมแดน ประเทศไม่รับอันตรายจากภูเขาและแม่น้ำ และโลกไม่ได้เอาเปรียบกองทัพ ผู้ที่ได้รับทางช่วยเหลือมากขึ้น ผู้หลงทางจะได้รับความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย เมื่อความช่วยเหลือน้อย ญาติก็อยู่ เมื่อมีคนช่วยเหลือมาก โลกก็ปรองดอง ตามระเบียบของโลก โจมตีฝั่งญาติ เพราะฉะนั้น ถ้าสุภาพบุรุษไม่สู้ เขาก็จะชนะศึก”
เสียงของเด็กน้อยอายุสี่ขวบเปี่ยมไปด้วยความใสและคมชัด
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
ฮ่องเต้จ้องเขม็งไปทางองค์ชายห้า ก่อนจะเฉลยคำตอบ “พูดในสิ่งที่พวกเขาพูด”
องค์ชายห้าตอบไม่ได้เลย
เสี่ยวจิ้งคง “ไม่มีตำหนิ”
ฮ่องเต้ “แม้มีคนใบ้ในแคว้น”
เสี่ยวจิ้งคง “ต้องสดับฟังให้ดี”
เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้จะแย่งองค์ชายห้าตอบแต่อย่างใด เขาแค่ได้ยินและพูดออกไปตามประสาเด็กที่เคยท่องหนังสือ
เช่นเดียวกับการฟังเพลง เมื่อได้ยินประโยคก่อนหน้า ก็จะฮัมประโยคถัดไปโดยปริยาย
ฮ่องเต้กริ้วมากถึงขั้นชี้ออกไปนอกหน้าต่าง “ฟังสิ ฟังสิ ฟังสิ เจ้าสู้เด็กสี่ขวบไม่ได้เลย!”
ฉินฉู่อวี้เอ่ยถาม “เมื่อครู่เจ้าท่องอะไรรึ”
เสี่ยวจิ้งคงแบมือออก “ไม่รู้สิ ข้าเคยได้ยินพวกรุ่นพี่ท่องจำกัน”
คัมภีร์ซื่อชูหวู่จิงเป็นหนึ่งในหัวข้อของการสอบเคอจวี่ เสี่ยวจิ้งคงเคยได้ยินเหล่าบัณฑิตในกั๋วจื่อเจียนอ่านออกเสียงกัน ฟังบ่อยเข้าก็เลยจำได้ไปเอง
ฉินฉู่อวี้นึกในใจ ข้าไม่เห็นจะจำได้เลย
ต่อมาฮ่องเต้ให้โจทย์คณิตสองสามข้อ แต่องค์ชายห้ากลับทำไม่ได้ ฮ่องเต้จึงบันดาลโทสะอีกครั้ง “นี่มันโจทย์ที่เจ้าเคยทำมาแล้วนี่ แค่เปลี่ยนตัวเลขเท่านั้นเอง!”
องค์ชายห้าได้แต่เก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก
คราวนี้สามารถยืนยันได้แล้วว่าที่ผ่านมาองค์ชายห้ากุเรื่องที่เขาเรียนหนังสือเก่งมาโดยตลอด หากมิใช่เพราะซูเฟยก่อเรื่องขึ้น ฮ่องเต้ก็คงไม่คิดจะไปสงสัยอะไรในตัวองค์ชายห้า
“ก่อนหน้านี้ใครเป็นคนทำการบ้านให้เจ้า” ฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงดุ
“ละลูก ลูกพี่ลูกน้องพ่ะย่ะค่ะ” ในทีแรกเขากะว่าจะไม่พูดอะไรออกไป แต่สุดท้ายทนแรงกดจากเสด็จพ่อไม่ไหว จึงยอมสารภาพ
ฮ่องเต้ทรงกริ้วจนหน้ามืด
กู้จิ่นอวี๋อีกแล้วรึ!
เขาโกรธกริ้วเสียจนหลุดหัวเราะออกมาเฉย
ก็ว่าเหตุใดคนอย่างกู้จิ่นอวี๋จู่ๆ ถึงได้มีนิสัยขโมยผลงานคนอื่นเช่นนี้ ตอนนี้ เขาเข้าใจแล้ว เป็นเพราะความสามารถของนางถูกขโมยไปตั้งแต่แรกแบบนี้นี่เอง นางจึงกล้าทำเช่นนี้กับคนอื่นได้
นี่มันกงเกวียนกำเกวียนชัดๆ !
จนฮ่องเต้เริ่มคลาแคลงใจถึงอดีตที่ผ่านมาของซูเฟย ว่าจะแย่ขนาดไหนเชียว!
แต่อย่างไรเสีย เขาทิ้งองค์ชายห้าไปไม่ได้
เดิมฮ่องเต้เคยแต่งตั้งองค์ชายสามและองค์ชายใหญ่เป็นรุ่ยอ๋องและหนิงอ๋อง ก็เกิดความคิดว่าถึงเวลาที่จะแต่งตั้งยศให้องค์ชายสี่และองค์ชายห้าได้แล้ว
เมื่อเช้าที่ผ่านมาก็ทรงร่างพระนามที่จะแต่งตั้งไว้เรียบร้อย
แต่ตอนนี้เขาชักเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว
ที่จริงการเรียนขององค์ชายสี่มิได้มีปัญหาอะไร แต่เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กับองค์ชายห้า ทำให้ฮ่องเต้อดคิดสงสัยไม่ได้
หรือว่าจะทดสอบเจ้าสี่ไปด้วยเลยดี
นอกจากเรื่องเรียนแล้ว เรื่องคุณธรรมจริยธรรมก็วัดด้วยเลยดีไหม
ฮ่องเต้ทรงคิดไม่ตกอยู่นานสองนาน ท้ายที่สุดก็ทรงตัดสินใจเลื่อนพิธีแต่งตั้งออกไป!
กลายเป็นว่าองค์ชายสี่ต้องมารับเคราะห์ไปด้วย
ในใจของเขามีแต่คำถาม นี่เขาไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้อย่างนั้นหรือ
…
เสี่ยวจิ้งคงใช้เวลาทั้งบ่ายในวังอย่างสนุกสนาน
พอถึงเวลากลับบ้าน ฉินฉู่อวี้ที่ปิดบังตัวตนที่แท้จริงมาโดยตลอดได้แต่บอกพวกเขาว่ารอท่านพ่อมารับกลับบ้าน ให้พวกเขากลับกันไปก่อนได้เลย
เพราะพวกเขายังเด็ก ก็เลยไม่มีใครเอะใจอะไร
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยลากับฉินฉู่อวี้ ก่อนจะขึ้นรถม้าของสวี่โจวโจวออกไป
กว่ารถม้าจะมาถึงที่หน้าโรงหมอก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว วันนี้คนไข้ที่โรงหมอมีไม่เยอะ กู้เจียวจึงนั่งรอเสี่ยวจิ้งคงที่ห้องโถง
เด็กๆ เริ่มเกิดอาการเพลียจากการเล่นสนุกทั้งวัน สวี่โจวโจวเอนตัวหลับปุ๋ยบนที่นั่งมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว ส่วนเสี่ยวจิ้งคงพยายามบังคับหนังตาของตัวเองไม่ให้ปิดลง
และแล้วรถม้าก็เข้าจอดที่หน้าโรงหมอ
เวลามีรถม้ามาจอดที่หน้าโรงหมอ กู้เจียวจะคอยสอดส่องอยู่ตลอด
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
พอเห็นว่าเป็นรถม้าของตระกูลสวี่ นางจึงออกไปรับ
เมื่อไม่เห็นว่าเจ้าตัวเล็กลงจากรถสักที นางพอจะรู้แล้วว่าเป็นเพราะอะไร
กู้เจียวเข้าไปในรถ แล้วอุ้มเสี่ยวจิ้งคงออกมา
“เจียวเจียว” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยเสียงงัวเงีย
“อืม ข้าเอง” กู้เจียวค่อยๆ อุ้มเขาลงจากรถม้าช้าๆ
“ระวังนะขอรับ” สารถีรีบคว้าบันไดเล็กออกมาวาง
“ขอบคุณมาก” กู้เจียวเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะอุ้มเจ้าตัวเล็กเข้าโรงหมอ
เสี่ยวจิ้งคงเอนหัวลงบนไหล่ของกู้เจียวแล้วผล็อยหลับไป
กู้เจียวยื่นมืออีกข้างออกไปเพื่อหยิบตะกร้า
จู่ๆ ก็มีมือเรียวยาวราวกับหยกยื่นเข้ามา
“มา ข้าเอง” เขาช่วยสะพายตะกร้าของกู้เจียว ก่อนจะยื่นมือขออุ้มร่างของเสี่ยวจิ้งคง
แต่ดูเหมือนเสี่ยวจิ้งคงรู้ว่าเป็นเขา เลยขมวดคิ้วและเอามือคว้าเสื้อของกู้เจียวไว้แน่น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าอุ้มเขาเอง” กู้เจียวเอ่ยกับเซียวลิ่วหลัง
“ก็ได้” เซียวลิ่วหลังเอ่ยตกลง
“ดึกป่านนี้แล้ว เจ้ามายังไง วันนี้ข้าก็ไม่ได้ยุ่งซักหน่อย” กู้เจียวมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“แค่ผ่านมาน่ะ”
“อ๋อ”
“ยังมีอะไรต้องทำอีกไหม” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
“ไม่มีแล้ว กลับบ้านเรากันเถอะ”
“อืม” เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
บ้านงั้นรึ
เขานับที่นั่นเป็นบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
กู้เจียวเดินออกประตูไป แล้วก็พบว่าเซียวลิ่วหลังไม่ได้เดินตามมา จึงหันไปถามเขา “ไม่กลับบ้านรึ”
“กลับสิ”
เขาเดินออกมาพร้อมกับไม้เท้า
กู้เจียวรอเขาเพื่อที่จะเดินเข้าตรอกปี้สุ่ยไปพร้อมๆ กัน
วันนี้ถนนคึกคัก ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา
เซียวลิ่วหลังพยายามเดินกันไม่ให้คนเข้ามาชน
ขณะที่เขาเดินไป ก็หันมามองกู้เจียวอย่างเงียบๆ ด้วย
ตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก นางยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงโง่ๆ อยู่เลย พอมาตอนนี้ แม้ใบหน้ายังเหมือนเดิม แต่ก็แลดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะไม่อยู่ด้วยกันตั้งแต่แรก
เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มเมื่อไหร่ อาจเริ่มตั้งแต่ที่นางต้องพาเขาไปที่สำนักบัณฑิตเทียนเซียง หรืออาจเป็นช่วงเวลาที่นางต้องการไปส่งเขาที่สนามสอบระดับมณฑล… จนกระทั่งวันนี้
เขาจะไม่ทำตัวแบบวันก่อนที่ไปขอของขวัญจากนางแล้ว
เขาผูกพันกับนางไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
กึก แอ๊ดด
เสียงผลักประตูดังขึ้น
“เจ้ามาผิดทางแล้ว นี่ไม่ใช่บ้านของพวกเราเสียหน่อย” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
แต่พอพูดจบ จู่ๆ เขาก็นิ่งไป
กู้เจียวหันมายิ้มให้เขา “ข้ารู้ ข้าแค่เอายาแก้ไอมาส่งให้นายใหญ่จ้าวน่ะ”
รอยยิ้มนั้นของนางช่างแลดูขาวสว่างราวกับหิมะบนยอดเขาเทียนซาน
เซียวลิ่วหลังรู้สึกราวกับกำลังถูกต้องมนตร์
…
วันต่อมา ข่าวเรื่องกู้จิ่นอวี๋ถูกแพร่กระจายไปทั่วท้องถนนเมืองหลวง ผู้คนในโรงน้ำชาต่างก็พูดคุยกันอย่างถึงพริกถึงขิงว่าทำไมกู้จิ่นอวี๋ถึงถูกลงโทษอย่างรุนแรงขนาดนั้น
“ได้ยินมาว่านางทำราชลัญจกรแตก ฮ่องเต้ทรงกริ้วมากจึงลงโทษนาง!”
“แต่ที่ข้าได้ยินมาไม่ใช่เรื่องนี้นะ”
“แล้วมันยังไงล่ะ”
“เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุเตาเผาที่กรมโยธาหรือไม่ นางน่ะเป็นคนออกแบบเครื่องสูบลม แต่ดันไปออกแบบให้เครื่องนั้นมีรูรับส่งลมถึงหกช่อง! เตาเผาเลยเกิดลุกไหม้ขึ้นมาน่ะสิ!”
“นางบอกให้ทำก็ทำเลยหรือ ไม่ได้มีการตรวจสอบอะไรก่อนเลยงั้นสิ”
“เพราะอย่างนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องนั้นอย่างไรเล่า นางเป็นแค่คนเขียนแปลนเท่านั้น อย่างไรเสียคนที่อนุมัติย่อมต้องเป็นคนในกรมอยู่แล้ว แต่ที่ต้องลงโทษนาง เพราะมีเหตุผลอื่นต่างหากล่ะ”
“เอาละ เอาละ อย่ามัวแต่ลีลาอยู่เลย รีบบอกมาเดี๋ยวนี้!”
“นางมิได้เป็นผู้คิดค้นเครื่องสูบลมน่ะสิ แต่เป็นเด็กสาวอีกคนต่างหาก! พวกช่างเหล็กจากชนบทเดินทางจากชนบทมาพิสูจน์นี้ให้เลยนะ!”
“อ๊ะ! มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ”
“ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทจะลงโทษสถานหนักให้นางทำไมกัน ก็เพราะนางทำผิดโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงอย่างไรเล่า!”
“เป็นถึงลูกสาวจวนโหว แต่ดันทำตัวแบบนี้ น่าไม่อายชะมัด!”
“ใช่ไหมล่ะ น่าขายหน้าที่สุดเลย!”
นี่คือบทสนทนาของผู้คนในร้านน้ำชาที่ตั้งอยู่นอกเมือง หมายความว่าเรื่องนี้ได้ถูกแพร่สะพัดออกไปไกลมากแล้ว
ชายชราร่างกำยำที่แม้จะสวมชุดสามัญชนแต่ก็มิอาจไม่สามารถซ่อนความสง่างามของเขาได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยถาม “เมื่อครู่นี้ คนที่พวกท่านพูดถึงอยู่เป็นบุตรสาวของตระกูลไหนรึ”
เสียงของเขาช่างนุ่มทุ้มจนพวกเขาเงียบเสียงลงโดยไม่ตั้งใจ และทุกคนมองมาที่เขา
ผมของเขามีด้ายสีเงิน แต่เขามีรูปร่างที่แข็งแรง คิ้วที่สง่า และออร่าที่แข็งแกร่ง ไม่มีใครในห้องกล้าที่จะดูถูกเขา
“จวนติ้งอันโหวไงล่ะ” จู่ๆ ก็มีเด็กหนุ่มเอ่ยตอบเขา
ชายชราผู้นั้นเอ่ยถามย้ำอีกรอบ “เจ้าแน่ใจหรือ”
เด็กหนุ่มตกใจกับรังสีอำมหิตของเขาจนเกิดกลัวและตัวสั่น “ไม่ ไม่ ไม่ผิดแน่ขอรับ…ใช้จวนติ้งอันโหวแน่นอน! ข่าวนี้ถูกกระจายไปทั่วเมืองหลวง ถ้าท่านไม่เชื่อก็ลองไปถามคนอื่นดูได้เลย! บุตรสาวจวนติ้งอันโหวเป็นผู้คิดค้นเครื่องสูบลม ถูกแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิง…แต่ในเวลาต่อมา มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเครื่องสูบลม…ทำให้คนบาดเจ็บจำนวนมาก…”
ดวงตาของชายชราผู้สง่างามพลันกลายเป็นเย็นชา