บทที่ 214 หักหน้าอย่างแรง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 214 หักหน้าอย่างแรง
ซูเฟยคาดไม่ถึงว่าจะลงเอยเช่นนี้ ไหนกู้จิ่นอวี๋บอกว่าเป็นฝีมือของตัวเองมิใช่หรือ ไฉนแม้แต่เด็กสี่ขวบยังทำปูนอะไรนั่นได้

จวงกุ้ยเฟยมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก่อนจะเอ่ยถามซูเฟย “ว่าแต่ ซูเฟย ไม่ใช่ว่าองค์ชายห้าไปขโมยความคิดของพวกเขามาเป็นของตัวเองหรอกหรือ”

ซูเฟยเลือดขึ้นหน้าด้วยความรู้สึกละอายใจ “แหม กุ้ยเฟยก็พูดไป อย่างองค์ชายห้าน่ะหรือจะทำเรื่องแบบนั้นได้ลงเพคะ”

จวงกุ้ยเฟยยิ้มแห้งก่อนเอ่ยต่อ “หรือว่าพวกเด็กๆ ไปขโมยความคิดจากองค์ชายห้ามาล่ะ”

เซียวฮองเฮาเสริม “กุ้ยเฟยโปรดระวังคำพูดด้วย เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินเด็กคนนั้นบอกว่าเรียนรู้วิธีนี้มาจากคนที่เรือนตั้งนานแล้ว”

ซูเฟยยังคงปากแข็ง “องค์… องค์ชายห้าก็ทำเป็นตั้งนานแล้วเหมือนกันเพคะ!”

“ไหนเมื่อครู่เจ้ายังบอกอยู่เลยว่าองค์ชายห้าเพิ่งคิดค้นมันได้เมื่อคืนน่ะ”

“หม่อมฉัน…” ซูเฟยเริ่มสำเหนียกได้แล้วว่าเมื่อครู่นี้นางเล่าไปแบบนั้นจริงๆ

จวงกุ้ยเฟยจึงซักต่อ “หรือว่า องค์ชายห้าจะเคยเล่าเรื่องนี้ให้องค์ชายเจ็ดได้ฟัง แล้วองค์ชายเจ็ดเลยไปสอนวิธีทำให้สหายของเขา แล้วเด็กคนนั้นก็คิดไปเองว่าเรียนรู้มาจากคนที่เรือน”

ฮองเฮาแย้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เมื่อคืนพอองค์ชายเจ็ดกลับมาจากกั๋วจื่อเจียนก็พำนักอยู่ที่ตำหนักของข้าตลอด ฝ่าบาทเองทรงพำนักอยู่ด้วย จากนั้นฝ่าบาทจึงพาเขาไปส่งที่ตำหนักตะวันออก ไหนกุ้ยเฟยลองอธิบายมาทีว่าองค์ชายเจ็ดกับองค์ชายห้าจะเอาเวลาไหนไปเจอกันเมื่อคืน แล้วเหตุใดองค์ชายห้าถึงต้องเล่าเรื่องนี้ให้องค์ชายเจ็ดฟังด้วย”

องค์ชายทั้งสองอายุห่างกันมาก อีกทั้งไม่ได้สนิทสนมกัน ไม่มีทางที่องค์ชายห้าจะเล่าเรื่องนี้ให้ฉินฉู่อวี๋ฟังอย่างแน่นอน

ฉินฉู่อวี๋ยังเด็กนัก เขายังไม่เข้าใจหรอก

จวงกุ้ยเฟยรีบย่อตัวลง “ขออภัยที่หม่อมฉันพลั้งปากเพคะ”

แน่นอนว่าที่จวงกุ้ยเฟยพูดมานั้นมิได้ทำเพื่อปกป้องซูเฟยแต่อย่างใด เรื่องนี้เซียวฮองเฮาเข้าใจดี

ในตอนนี้ ฮ่องเต้เริ่มจะมองซูเฟยเปลี่ยนไป

หากว่ากันตามจริง พระสนมที่ฮ่องเต้ทรงประคบประหงมมากที่สุดก็คือซูเฟย แม้ในวังจะมีสนมเข้าๆ ออกๆ มากหน้าหลายตา แต่ไม่มีใครโค่นซูเฟยลงไปได้ เหตุผลไม่มีอะไรนอกจากเสน่ห์และความงามของนาง แถมยังช่างเจรจาพาทีพูดจาอ่อนหวาน เป็นดอกไม้งามที่ไม่เหมือนใคร

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ต้องยอมรับว่านางล้ำเส้นเกินไปจริงๆ

เดิมพระองค์ก็ทรงกริ้วกับเรื่องที่กู้จิ่นอวี๋แอบอ้างความดีความชอบของคนอื่นมามากพอแล้ว

ทรงไม่ปลื้มคนประเภทนี้มากที่สุด!

ฮ่องเต้เอ่ยถามไปทางซูเฟย “เจ้ามีหลักฐานไหมว่าองค์ชายห้าคิดค้นปูนข้าวเหนียวขึ้นมาตอนไหน”

ซูเฟยถึงกับพูดไม่ออก

ฮ่องเต้ถามต่อ “เขาคงไม่ได้คิดขึ้นมาเองหรอกใช่หรือไหม เขาคงต้องทำให้เจ้าเห็นก่อนสิ เจ้าถึงจะปักใจเชื่อ จริงไหม”

ซูเฟยไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

จากนั้นฮ่องเต้ก็เรียกเว่ยกงกงเข้ามา “เจ้าไปถามเด็กคนนั้นทีว่าคนที่เรือนของเขาทำสิ่งนี้ขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน”

“ขอรับ!” เว่ยกงกงน้อมรับแล้วเดินออกไป ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับคำตอบ “ทูลฝ่าบาท เด็กผู้นั้นกล่าวว่ากำแพงเรือนของเพื่อนบ้านของเขาต่างก็ฉาบด้วยปูนชนิดนี้มาตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เมื่อทราบความดังนั้น ฮ่องเต้จึงหันไปขยิบตาให้เว่ยกงกงหนึ่งที จากนั้นเว่ยกงกงจึงเรียกทหารคนสนิทให้ไปตรวจสอบที่ตรอกปี้สุ่ย

เดิมเหล่าพระสนมตั้งใจมารับใช้ฮ่องเต้ กลายเป็นว่าได้มาดูซูเฟยขายหัวเราะแทน

ตั้งแต่เข้าวังมาจนถึงบัดนี้ก็เป็นเวลาหลายปี ซูเฟยไม่เคยขายหน้าขนาดนี้มาก่อน

กู้จิ่นอวี๋นะกู้จิ่นอวี๋ บังอาจขุดหลุมข้ารึ!

ไม่นานพวกทหารก็กลับมา “ทูลฝ่าบาท มีปูนชนิดนั้นอยู่ที่ตรอกนั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

หลักฐานแสดงให้เห็นชัดเจนว่าปูนข้าวเหนียวนั้นเป็นฝีมือของครอบครัวของเด็กคนนั้นจริงๆ

คราวนี้ล่ะ ปัญหามีอยู่ว่า องค์ชายห้าไปรู้เรื่องปูนข้าวเหนียวมาได้อย่างไร เขาเป็นคนคิดเองจริงๆ หรือว่า…ไปขโมยความคิดใครมากันแน่

เซียวฮองเฮาเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด “ซูเฟย เหตุใดยังไม่ยอมพูดความจริงอีก”

ซูเฟยผู้โชคร้าย นางไม่น่าเชื่อลมปากของกู้จิ่นอวี๋เลย คราวนี้จะแก้ตัวอย่างไรดีล่ะ

ให้นางรับผิดคนเดียวยังว่าไปอย่าง แต่ดันลากองค์ชายห้าเข้ามาเอี่ยวด้วยนี่สิ

จวงกุ้ยเฟยแสยะยิ้ม “หรือว่า จะให้เรียกตัวองค์ชายห้ามาด้วยล่ะ”

“ไม่ได้นะเพคะ!”

ให้เขามาตอนนี้ ก็เท่ากับความแตกน่ะสิ

ทว่าโบราณกล่าวไว้ กลัวอะไรก็มักจะได้อย่างนั้น…

“เอ๋ เสด็จพ่อ ท่านแม่ เหตุใดถึงมาอยู่ตรงนี้กันหมดละขอรับ”

องค์ชายห้ากลับมาถึงวังเป็นที่เรียบร้อย เขาพุ่งตัวเข้าไปที่ซูเฟยอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก “ท่านแม่ ข้าได้ยินมาว่าท่านมีเรื่องด่วนจะพบข้า!”

พอเห็นว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า องค์ชายห้าจึงยกมือคำนับทักทายฮ่องเต้และพระสนมทุกคน

“ท่านแม่สีหน้าไม่ค่อยดีเลย” องค์ชายห้าชำเลืองดูมารดาของตนด้วยความสงสัย เขาสังเกตเห็นว่าทุกคนในนั้นนั่งลงกันหมด มีเพียงมารดาของตนที่ยืนอยู่ตรงกลางศาลาคนเดียวราวกับกำลังถูกสอบปากคำ องค์ชายห้าขมวดคิ้วพลางถาม “เกิดอะไรขึ้นรึท่านแม่”

ซูเฟยขยิบตาให้ลูกชาย

“องค์ชายรู้จักสิ่งๆ นี้ไหม” เซียวฮองเฮาเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วไปยังถังที่บรรจุปูนข้าวเหนียว

ซูเฟยขยิบตาให้เขาอย่างรุนแรง!

แต่ก็เปล่าประโยชน์ องค์ชายห้าแทบไม่ได้สังเกตเห็นเลยสักนิด เขามองไปที่ถังปูนด้วยสีหน้าขยะแขยง “นี่มันของสกปรกอะไรกันนี่ขอรับ”

พูดจบ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

แม้กระทั่งถังปูน เขายังไม่รู้จักเลย!

จวงกุ้ยเฟยพยายามเบือนหน้าหัวเราะ “ซูเฟยบอกว่าสิ่งนี้เจ้าเป็นคนทำขึ้นมาน่ะสิ”

องค์ชายห้าออกท่ารังเกียจหนักกว่าเก่า “อย่างกระหม่อมไม่มีทางทำของโสโครกแบบนี้ขึ้นมาหรอกขอรับ”

ในที่สุดจวงกุ้ยเฟยก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

พระสนมคนอื่นๆ ก็เริ่มพากันยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาป้องปากแล้วหัวเราะ

จะมีก็แต่เซียวฮองเฮาที่ไม่หลุดขำ เพราะนางต้องคงภาพลักษณ์ฮองเฮาของแผ่นดินเอาไว้

คราวนี้ซูเฟยเริ่มมีความคิดจะตายจริงๆ ล่ะ

ไหนว่าแม่ลูกผูกพันยังไงล่ะ เจ้าเด็กนี่ไม่ให้ความร่วมมือกันเลย

“เจ้าออกไปก่อน” ฮ่องเต้เอ่ยกับองค์ชายห้าว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา และยังไม่มีความคิดจะลงโทษเขาแต่อย่างใด

องค์ชายห้ายังคงมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อฮ่องเต้บอกให้เขาออกไป เขาเลยต้องทำตามคำสั่ง

“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ยังไม่สารภาพอีกรึ” ฮ่องเต้เอ่ยถามพลางจ้องเข้าไปที่ใบหน้าของนางด้วยแววตาอันแข็งกร้าวและเย็นชา

หลักฐานทุกอย่างเป็นที่ประจักษ์ ซูเฟยไร้หนทางแก้ตัวแล้ว พลางนึกในใจ แต่ตั้งเกิดมานางไม่เคยรู้สึกขายหน้าขนาดนี้มาก่อน ซ้ำร้าย หนึ่งในคนที่ทำให้นางขายหน้าดันเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเสียด้วย

ซูเฟยรู้สึกคับแค้นใจเป็นอย่างยิ่งพลางเอ่ยทั้งน้ำตา “ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้ตั้งใจเพคะ… ที่หม่อมฉันทำเช่นนี้ หม่อมฉันมีเหตุผลนะเพคะ”

จากนั้นซูเฟยก็ได้เล่าเรื่องที่ไปพบกับกู้จิ่นอวี๋ แน่นอนว่านางไม่ได้เล่าถึงรายละเอียดที่กู้จิ่นอวี๋ต้องการยกความดีความชอบให้ซูเฟย “…นางรู้ว่านางทำให้พระองค์กริ้ว นางเกรงว่าพระองค์จะไม่ยอมเชื่อนาง ก็เลยขอร้องให้ข้าแอบอ้างชื่อขององค์ชายห้า นางบอกว่าอยากทำความดีให้พระองค์อีกครั้งหนึ่ง แต่กระหม่อมไม่รู้เลยว่านางโกหก”

เป็นฝีมือกู้จิ่นอวี๋อีกแล้วรึ!

นี่นางไปขโมยความคิดของหมอเทวดามาอีกแล้วรึ!

ดีเลยล่ะ เขากำลังกลัดกลุ้มเรื่องที่หาหลักฐานเรื่องที่สูบลมไม่ได้อยู่พอดี บังเอิญมีเรื่องปูนข้าวเหนียวเข้ามาพอดี แถมหลักฐานยังแน่นหนาขนาดนี้ นางดิ้นไม่หลุดแน่นอน

“เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะบอกว่าเจ้าเองก็โดนหลอกมาอีกทีเหมือนกัน เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวลนี้มีแค่นางคนเดียวที่จะต้องโทษอย่างนั้นสินะ” ฮ่องเต้เอ่ยถามซูเฟย

แล้วจะให้ทำเช่นไรล่ะ จะให้ซูเฟยยอมรับว่าตัวเองมีความผิดด้วยหรือไร

แน่นอนว่านางต้องเอาตัวรอดไว้ก่อนอยู่แล้ว

ซูเฟยเม้มปาก ก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าทุกคนแล้วก้มหัวขอขมา “หลานสาวของหม่อมฉันกระทำผิดอย่างใหญ่หลวง เป็นเพราะข้าสั่งสอนนางไม่ดีเอง โปรดฝ่าบาทประทานโทษด้วยเพคะ!”

“ท่านหญิงฮุ่ยมีความผิดฐานแอบอ้างผลงานผู้อื่น ยกผลประโยชน์ใส่ตัว โกหกหลอกลวงเจ้า แต่ด้วยคำวิงวอนของพระสนมซูเฟย ข้าขอสั่งลงโทษนางด้วยการถอดตำแหน่งท่านหญิงออก!”

ซูเฟยได้แต่งุนงง นี่ขนาดว่าเห็นแก่คำขอร้องของตนแล้ว ยังโหดขนาดนี้ ถึงกับต้องถอดตำแหน่งออกเลยหรือ!

ความผิดฐานหลอกลวงเจ้าเป็นเรื่องยากมากที่จะตัดสินลงโทษอย่างเคร่งครัด ตัวอย่างเช่น ฉินฉู่อวี๋มักโกหกว่าเขาไม่ได้ขโมยขนม ส่วนองค์ชายสามเองก็ชอบโกหกว่าเขาทำการบ้านเสร็จแล้ว… โดยทั่วไปไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา บทลงโทษจะมีขึ้นเฉพาะในกรณีที่มีผลร้ายแรง

เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างแต่อย่างใด สาเหตุที่ฝ่าบาททรงลิดรอนตำแหน่งท่านหญิงของกู้จิ่นอวี๋ คงเพื่อต้องการเขียนเสือให้วัวกลัว

ทุกคนอดคิดไม่ได้เกี่ยวกับเหตุระเบิดในกรมโยธา และข่าวลือที่ว่ากู้จิ่นอวี๋ไม่ได้เป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องสูบลม

หากนำเรื่องที่สูบลมมาลงโทษป่านนี้คงได้ต้องโทษสถานหนักไปแล้ว

ซูเฟยนะซูเฟย ปรากฏว่าหลานสาวไม่ได้เก่งกล้าสามารถอย่างที่พูดไว้แม้แต่นิด เอาแต่พูดจาใส่ไข่ใส่สี ซ้ำยังแอบอ้างความดีความชอบของคนอื่น จนกลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้

ไม่ให้โทษหลานของนาง แล้วจะให้ไปโทษใครล่ะ

สายตาของพระสนมทุกคนที่มีต่อซูเฟยก็พลันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

จากที่อยู่บนฟ้า สุดท้ายก็ตกลงมาสู่พื้นดิน

ซูเฟยต้องโทษจำคุกหนึ่งเดือนและปรับเงินเป็นเวลาหนึ่งปี

นี่สินะความรู้สึกที่เหมือนโดนตบหน้ากลางวง

ต่อจากนี้ไป ประวัติอันดำมืดของนางจะไม่มีวันถูกลบเลือน!

ฮ่องเต้มองหญิงสาวตรงหน้าพลางขมวดคิ้ว “เหตุใดยังไม่ไปอีกล่ะ ไม่พอใจกับการตัดสินของข้ารึ”

“กระหม่อมมิบังอาจเพคะ กระหม่อมขอตัวก่อน” ซูเฟยลุกขึ้นยืนอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะถวายบังคมแล้วเดินออกไปโดยมีนางข้าหลวงช่วยพยุงร่าง

ขณะที่เดินออกไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ ฝ่าบาทก็เอ่ยเรียกนาง “ซูเฟย”

ซูเฟยได้ยินดังนั้นก็นึกดีใจ พลางหันไปทั้งน้ำตา ใจจดใจจ่อรอฟังว่าฝ่าบาทจะเอ่ยอะไร ทว่า ฮ่องเต้กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไปเรียกองค์ชายห้ามาที่ห้องทรงหนังสือ ข้าจะสอบวัดความรู้กับเขา”

ซูเฟยได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ!