บทที่ 213 เสี่ยวจิ้งคงถอนหงอก

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 213 เสี่ยวจิ้งคงถอนหงอก
ฉินฉู่อวี้ได้รับอนุญาตจากพี่สะใภ้ไท่จื่อเฟยเป็นที่เรียบร้อยในการพาสหายของเขาเยี่ยมชมพระตำหนัก นอกจากนี้ พี่สะใภ้ของเขายังช่วยวางแผนไว้ทุกอย่างเพื่อป้องกันการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา

พระตำหนักหลวงมีประตูใหญ่ทั้งหมดสามบาน ประตูกลางนั้นมีขนาดใหญ่และสูงที่สุด มีเพียงแค่ไทเฮา ฮ่องเต้ ไท่จื่อ ไท่จื่อเฟยและเหล่าวงศานุวงศ์เท่านั้นที่ใช้ประตูนี้ได้ เหล่าขุนนางทั้งหลายมักจะใช้ประตูด้านข้างทั้งสองฝั่ง

ฉินฉู่อวี้มีศักดิ์เป็นตี้หวงจื่อ อนุชาของไท่จื่อ ก็เดินผ่านประตูกลางได้เช่นกัน

สวี่โจวโจวอายุน้อยกว่าฉินฉู่อวี้หนึ่งปี ปีนี้เขาอายุเจ็ดขวบ และไม่เคยมาเยือนพระราชวังมาก่อน เขาแค่รู้ว่าบิดาของเขาต้องเข้ามาทำงานที่นี่ และต้องเดินเข้าประตูด้านข้าง

ตอนที่สวี่โจวโจวผ่านประตูกลางเข้าไป ในหัวก็พลางคิดแล้วว่าจะเอาเรื่องนี้ไปอวดบิดาเสียหน่อย

เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้กฎต่างๆ ในวัง ในมุมมองของเขาแค่รู้สึกว่าพระราชวังดูโอ่อ่าใหญ่โตยิ่งนัก อย่างกับสัตว์ประหลาดในตำนานตัวยักษ์กำลังอ้าปากกว้างและกลืนพวกเขาลงเข้าท้องของมัน

ช่างเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ยิ่ง

รถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปด้านใน และจอดลงที่หน้าตำหนักตะวันออก

ตำนักตะวันออกคือที่พำนักของไท่จื่อ เหล่าองค์ชายส่วนใหญ่จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายังบริเวณนี้ แต่ด้วยความที่ฉินฉู่อวี้ยังเด็กอยู่ เขาจึงเลือกที่จะพำนักที่ไหนก็ได้ตามใจ ฮ่องเต้เองก็มิได้เข้มงวดกับเขา

ฉินฉู่อวี้ลงจากรถม้าก่อน ตามด้วยสหายอีกสองคน

ก่อนหน้าที่จะพาพวกเขามา ฉินฉู่อวี้ได้ขอให้ไท่จื่อเฟยช่วยวางแผนตารางชมวังในวันนี้ให้แล้ว ตำหนักของพระชายาเป็นที่ต้องห้าม แต่สามารถไปเล่นที่ตำหนักของท่านพี่ไท่จื่อได้ จากนั้นพวกเขาจะไปเล่นซ่อนแอบที่สวนหย่อม และล่องเรือที่ทะเลสาบไท่เยี่ย

เหล่าขันทีและนางในทั้งหลายต่างทราบล่วงหน้าแล้ว พวกเขาจะพยายามซ่อนตัวเท่าที่จะทำได้

ฉินฉู่อวี้เดินนำร่องไปที่โถงของตำหนักตะวันออก พลางเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “เป็นอย่างไรบ้าง ตำหนักของข้า…แค่ก แค่ก เอ้ย! พระราชวังใหญ่มากเลยใช่ไหมล่ะ ตรงที่พวกเจ้ายืนอยู่นี่เรียกว่าตำหนักตะวันออก เป็นสถานที่ประทับของไท่จื่อ อีกทั้งยังเป็นที่ประทับขององค์ชายเจ็ดผู้ที่ฉลาดเฉลียวและน่ารักที่สุดในแคว้นจ้าวอีกด้วย”

ซึ่งก็คือข้าเอง ฉินฉู่อวี้!

ข้าหลวงที่ยืนเก็บกวาดอยู่บริเวณนั้นพอได้ยินประโยคเมื่อครู่ก็แทบสำลัก พลางนึก องค์ชายเจ็ดมั่นหน้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“ฮัดชิ่ว!” เสียงจามของเสี่ยวจิ้งคง

ตำหนักตะวันออกมีอาณาบริเวณกว้างขวาง ประกอบไปด้วยตำหนักหลักและตำหนักรองตั้งอยู่สองฝั่งขนาบข้างตำหนักหลัก รอบๆ เป็นพื้นที่ลานเขียวขจี ทั้งยังมีสนามเด็กเล่นประจำของฉินฉู่อวี้ ที่ไท่จื่อเฟยให้คนช่วยตกแต่งด้วยการทำภูเขาจำลอง และม้านั่งไม้ขึ้นมา

ฉินฉู่อวี้เข้าไปเล่นตรงบริเวณนั้นอยู่บ่อยๆ จนเบื่อแล้ว ที่เรือนของสวี่โจวโจวเองก็มีสวนทำนองนี้อยู่เช่นกัน เผลอๆ มีของเล่นเยอะกว่าอีกด้วย ด้วยความที่ไม่อยากให้เหล่าองค์ชายน้อยเล่นสนุกจนเกินงาม ของเล่นในวังจึงมีจำนวนน้อยกว่าคนทั่วไป

สวี่โจวโจวเลยไม่ได้มองว่ามันมีความแปลกใหม่อะไร

เสี่ยวจิ้งคงยิ่งแล้วใหญ่ ตอนที่เขายังอยู่ที่วัดมักจะได้เล่นกระดานหกที่ท่านอาจารย์ทำขึ้นมา แถมยังมีกิจกรรมสนุกๆ อย่างปีนผากับภูเขาจริงๆ ไม่ใช่ภูเขาจำลองแบบนี้

“พวกเราเล่นสร้างห้องกันเถอะ!” เสี่ยวจิ้งคงเสนอความคิด

ช่วงนี้เสี่ยวจิ้งคงสนใจเรื่องการก่อสร้างเป็นพิเศษ

สวี่โจวโจวพยักหน้าเห็นด้วย แม้เขาจะเจ็ดขวบแล้ว แต่ก็ยังอยากเล่นโคลนอยู่

ฉินฉู่อวี้ที่ตอนแรกอยากจะพาพวกเขาเดินลอดอุโมงค์ใต้ภูเขาปลอม “…ก็ได้!”

ฉินฉู่อวี้เดินเข้าไปในห้องเก็บของเพื่อหยิบกะละมังและที่ตักดิน ก่อนจะตักโคลนเล่นกันอย่างสนุกสาน!

พวกคนในวังพอเห็นดังนั้นก็ยกมุมปากพลางคิดในใจ เป็นถึงองค์ชาย มาเล่นดินเล่นโคลนแบบนี้เหมาะสมแล้วหรือ

“ควรไปรายงานให้ฮองเฮาทรงทราบดีไหม พวกเขาเล่นเกินงามไปแล้ว” นางข้าหลวงเอ่ยขึ้น

ขันทีที่อยู่ด้วยกันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นึกย้อนไปตอนที่ไท่จื่อเฟยกำชับว่าห้ามยุ่งเรื่องขององค์ชายเจ็ด แต่จะว่าก็ว่าเถิด เล่นดินโคลนแบบนี้มันออกจะ…เกินงามไปจริงๆ หากฮองเฮารู้เข้าในภายหลัง คนที่ต้องมารับกรรมก็คือบ่าวอย่างพวกเขา มิใช่ไท่จื่อเฟยหรอก

เมื่อนึกได้ดังนั้น ขันทีจึงตัดสินใจไปที่ตำหนักคุนหนิงซึ่งเป็นที่ประทับของฮองเฮา

หลังจากที่ซูเฟยเสด็จกลับจากกรมยุติธรรม ก็มีรับสั่งให้รวมพลเหล่าขันที ให้พวกเขาช่วยกันหุงข้าวเหนียวตามที่กู้จิ่นอวี๋สั่ง จากนั้นก็สั่งให้พวกเขานำถุงปูนออกมา

แล้วนำทั้งสองอย่างมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นซูเฟยให้พวกเขานำก้อนอิฐมาจำนวนหนึ่ง แล้วใช้ปูนข้าวเหนียวที่ผสมดีแล้วนำมาฉาบลงบนก้อนอิฐ

เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ ซูเฟยให้คนใช้ฉาบปูนปกติลงไปด้วย

“พอแห้งสนิทแล้ว พวกเจ้าลองใช้ค้อนทุบดูนะ” ซูเฟยกำชับเหล่าขันที

“ขอรับ!” ขันทีสองนายขานรับคำสั่ง จากนั้นก็ไปหยิบค้อนเหล็ก รอให้ปูนทั้งสองแบบแห้งสนิทดีก่อน พอเสร็จก็ลงมือทุบในทันที

ผลที่ได้ก็คือปูนที่ผสมข้าวเหนียวมีความคงทนมากกว่าปูนทั่วไป

ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ระยะยาวจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าดูในเรื่องความทนทาน จะเห็นว่าปูนข้าวเหนียวนั้นชนะขาดลอย

ซูเฟยเองก็มิใช่ฮูหยินทั่วๆ ไป นางอยู่ในวังมาหลายปีแล้ว มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าปูนข้าวเหนียวนี้มีประโยชน์ต่อแคว้นเจามากแค่ไหน

อนาคตยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่เรื่องใกล้ตัวก่อน เช่นเรื่องกำแพงชายแดน ด้วยความที่พื้นที่บริเวณนั้นได้รับผลกระทบจากพายุฝน เป็นเหตุให้กำแพงถล่มลงมาหลายจุด

กำแพงของแคว้นเจามีความเปราะบางเกินไป จึงต้องมีการซ่อมแซมทุกปี แต่กระนั้นก็ยังพังง่ายอยู่ดี

พวกชนเผ่าเร่ร่อนมักจะข้ามเข้ามาโจมตีและขโมยม้าของพวกทหาร หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำๆ เกรงว่าพรมแดนจะต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤติมากขึ้น

แคว้นเจามิใช่แคว้นที่แข็งแกร่งด้านการทหาร เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ช่วงที่แคว้นเจามีศึกกับแคว้นเฉินได้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อแคว้นจ้าว และถ้าให้ออกศึกอีกครั้ง เกรงว่าจะเกิดความเสียหายขั้นรุนแรง

ในราชสำนักเองก็มีการประชุมว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะสร้างเกราะป้องกันกำแพงให้แน่นหนาขึ้น หากนางนำปูนข้าวเหนียวไปเสนอพวกเขา เช่นนั้นพวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องกำแพงถล่มแล้วสินะ

คุณประโยชน์ของมันมิได้น้อยหน้าไปกว่าที่สูบลมเลยสักนิด!

ซูเฟยเริ่มเห็นทางสว่าง ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากให้มันเกิดขึ้นเร็วๆ “องค์ชายห้าอยู่ไหน ตามตัวไม่เจอรึ มัวแต่ไปทำอะไรอยู่นะ”

ขันทีนายหนึ่งเอ่ยตอบ “องค์ชายห้าเสด็จออกด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ ทรงทูลว่าไปขอพระสหายช่วยร้องเพลงและเขียนบทกวีให้ คาดว่าจะกลับมาในตอนเย็นพ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวสักพักหลี่กงกงคงออกไปรับองค์ชายห้ากลับมา ไม่รู้ว่า…”

ไม่รู้ว่าจะตามตัวเจอหรือไม่น่ะสิ

องค์ชายห้าเป็นนาย ไม่มีความจำเป็นต้องรายงานบ่าวทุกฝีก้าว หลี่กงกงจึงทำได้แค่ลองไปในที่ที่องค์ชายห้ามักจะไปเท่านั้น เผื่อว่าจะเจอ

ซูเฟยมองว่า เขาจะอยู่หรือไม่ก็ไม่เป็นไร แค่บอกไปว่าเป็นความดีความชอบเขาก็สิ้นเรื่อง

“ฝ่าบาทอยู่ไหน” ซูเฟยเอ่ยถาม

“ฝ่าบาทเสด็จไปที่ทะเลสาบไท่เย่ขอรับ” ขันทีเอ่ยตอบ

“อ้อ ไฉนวันนี้ฝ่าบาทถึงไม่เสด็จไปที่ตำหนักฮองเฮาล่ะ” ซูเฟยเอ่ยพลางเอามือลูบปิ่นปักผม

ขันทียิ้มให้ก่อนเอ่ยตอบ “เป็นไปได้ว่าพระองค์อยู่ที่ตำหนักฮองเฮานานเกินไป เลยออกมาเดินเล่นสูดอากาศขอรับ เห็นก็จะมีแค่ตำหนักของซูเฟยเท่านั้นที่พระองค์ทรงพำนักได้นานขอรับ”

หากถามว่าใครคือพระสนมคนโปรดของฝ่าบาท แน่นอนว่าคำตอบหนีไม่พ้นซูเฟย ตั้งแต่เข้าวังมาจนถึงตอนนี้นางได้รับความรักจากฝ่าบาทไม่เคยขาด แต่พอหลังจากที่เสด็จกลับมาจากเจียงหนาน ก็ทรงหมกมุ่นอยู่กับการเล่นแร่แปรธาตุอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาไม่ได้ใกล้ชิดกับพระสนม ซึ่งปกติจะทรงประทับอยู่ในตำหนักของนางห้าหรือหกวันต่อเดือน

ซูเฟยได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแห้งๆ “เอาละ ไปได้แล้ว”

“ขอรับ” ขันทีส่งสายตาให้บ่าวช่วยยกถังปูนข้าวเหนียวมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบไท่เยี่ย

วันนี้อากาศแจ่มใสดีมาก

พอซูเฟยมาถึงที่ทะเลสาบไท่เยี่ย ก็พบว่าพระสนมคนอื่นๆ ก็มาด้วยเช่นกัน

ซึ่งก็มิใช่เรื่องแปลก เพราะฝ่าบาททรงมิได้เยือนวังหลังเป็นเวลานานแล้ว

แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือฮองเฮาและจวงกุ้ยเฟยก็มาด้วย

พวกนางทั้งสองจัดว่าเข้าข่ายอยู่ในคนที่ไม่ต้องแข่งกันแย่งความรักจากฝ่าบาท ซ้ำช่วงนี้ฝ่าบาทก็ทรงประทับอยู่ที่ตำหนักคุนหนิงอยู่แล้ว เหตุใดพวกนางถึงปรากฏตัวที่นี่ท่ามกลางพระสนมคนอื่นๆ ด้วย

ที่แน่ๆ ก็คือเป้าหมายของซูเฟยในวันนี้มิใช่เพื่อมาแย่งชิงความสนใจ

ซูเฟยพุ่งตัวไปข้างหน้าตรงที่ฮ่องเต้และเซียวฮองเฮายืนอยู่ ก่อนจะถวายบังคมให้ทั้งสอง “ฝ่าบาทเพคะ ฮองเฮาเพคะ”

ดูเหมือนวันนี้เซียวฮองเฮาจะอารมณ์ดี นางมองซูเฟยและยิ้มให้อย่างมิตรไมตรี

ฮ่องเต้ยกมือขึ้นพลางตรัส “ยืนตัวตรงเถิด”

จากนั้นซูเฟยก็ได้ถวายบังคมให้จวงกุ้ยเฟย

จวงกุ้ยเฟยตอบรับ

จากนั้นอวี๋เฟยและพระสนมคนอื่นๆ ก็ทยอยถวายบังคมแก่ซูเฟย

อวี๋เฟยลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อเว้นที่ให้ซูเฟย เว่ยกงกงเลยต้องไปหาเก้าอี้มาให้อวี๋เฟยนั่ง

ซูเฟยเห็นดังนั้นแต่ก็มิได้รีบนั่งลงในทันที ยังคงยืนอยู่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้อย่างยิ้มแย้ม “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมีของมาถวายให้เพคะ”

“เอ๋” ฮ่องเต้ที่กำลังจิบชาอยู่เมื่อได้ยินดังนั้นก็เกิดสงสัย

ซูเฟยเรียกให้ขันทีนำก้อนอิฐที่ฉาบดีแล้วมาไว้ตรงหน้า

ทุกคนที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ต่างมองมาที่ก้อนอิฐด้วยความประหลาดใจ

ฮ่องเต้ชำเลืองซูเฟยด้วยสายตางุนงง “ซูเฟย…จะถวายก้อนอิฐให้ข้าหรือ”

ซูเฟยได้ยินดังนั้นก็หัวเราะคิกคักพลางเอาผ้ามาป้องปากก่อนจะอธิบายต่อ “มิใช่ก้อนอิฐเพคะ แต่เป็นปูนที่เชื่อมก้อนอิฐเข้าไว้ด้วยกันต่างหากเพคะ”

จางนั้นซูเฟยก็อ้างถึงองค์ชายห้าเป็นผู้คิดค้นปูนข้าวเหนียวขึ้นมาอย่างไร

พอเล่าจบ ซูเฟยมิอาจซ่อนรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจได้ และยืนอยู่อย่างนั้นเพื่อรอฮ่องเต้เอ่ยปากชม

ทว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น

ทั้งศาลาไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ความเงียบอันแปลกประหลาดเข้าครอบงำในบัดดล

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น รวมทั้งเซียวฮองเฮาและเหล่าพระสนมต่างก็มองซูเฟยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

ซูเฟยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากเซียวฮองเฮาและจวงกุ้ยเฟย “พวกท่าน…เกิดอะไรขึ้นหรือ”

เซียวฮองเฮาขมวดคิ้ว

ส่วนจวงกุ้ยเฟยทำท่ากลั้นขำ

“กุ้ยเฟยหัวเราะอะไรหรือ” ซูเฟยเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง

จวงกุ้ยเฟยกลั้นขำต่อไปไม่ไหว ก่อนจะชี้นิ้วไปยังถังปูนที่อยู่ที่ตั้งอยู่ใกล้เท้าของอวี๋เฟย “เจ้าพูดถึงปูนแบบนี้อยู่รึ”

ซูเฟยทำหน้าเลิ่กลั่ก

เอ๋ นี่มันก็ปูนข้าวเหนียวไม่ใช่รึ!

เดี๋ยวก่อนนะ เป็นไปได้อย่างไร

ซูเฟยหันไปทางถังที่ขันทีถืออยู่ เดี๋ยวก่อนนะ ก็ในเมื่อถังปูนข้าวเหนียวอยู่นั่น แล้วถังเมื่อครู่นี้ที่กุ้ยเฟยชี้ให้ดูมันมาจากไหนล่ะ

ขณะที่ซูเฟยกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กน้อยดังลอดเข้ามา

นางจึงหันไปทางต้นเสียง ปรากฏเด็กน้อยสามคนกำลังผสมปูนกันอยู่บนสะพานข้ามทะเลสาบ

พวกเขาเล่นกันเพลินจนไม่ทันสังเกตว่าทั้งฮ่องเต้และเหล่าพระสนมกำลังมองมาที่พวกเขา

เรื่องราวเป็นมาอย่างไร คงต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่ขันทีนำเรื่องที่องค์ชายเจ็ดเล่นโคลนไปฟ้องกับฮองเฮา

พอฮองเฮาทราบว่าองค์ชายน้อยสุดที่รักกำลังเล่นโคลนราวกับเด็กบ้านนอก ก็แทบจะเป็นลมล้มลงไป

นางจึงรีบพุ่งตัวไปหาเจ้าตัวเล็กด้วยความโกรธ พอไปถึงที่ตำหนัก ปรากฏพวกเขาไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ใช้เวลาหาตั้งนาน จนมาเจอว่าอยู่ที่บริเวณพระราชวังฉินเจิ้ง

ตอนนั้นเองที่นางเห็นว่าฉินฉู่อวี้และสหายของเขากำลังถือถังอะไรบางอย่างพร้อมกับช่วยฉาบกำแพงวัง

ท่ามกลางความโกลาหล เซียวฮองเฮาเกือบจะอาละวาดออกไป “พวกเจ้า กำลังทำอะไรกันอยู่รึ”

เสี่ยวจิ้งคงที่กำลังใช้แปรงเล็กๆ ทาเข้าไปที่กำแพง พอได้ยินดังนั้นก็รีบหันไปตอบ “กำแพงมีรอยร้าว ต้องฉาบปิด”

เสี่ยวจิ้งคงเรียนรู้จากตอนที่กู้เจียวไปช่วยชาวบ้านซ่อมกำแพงเรือน หลังคาเรือนต่างๆ เขาจึงมีความชำนาญในเรื่องนี้

แต่ที่เรือนของเขา ไม่มีรอยร้าวให้ฉาบ

ผิดกับกำแพงที่นี่ มีรอยร้าวเต็มไปหมด ก็เลยช่วยฉาบได้

เซียวฮองเฮานึกในใจ นั่นไม่ใช่รอยร้าว! แต่เป็นลวดลาย! เป็นศิลปะโบราณที่สืบทอดกันมา! เรียกว่าลายมังกรผานหลง!

ที่น่าโมโหกว่านั้น พวกเขายังฉาบทับผนังลายแผนที่ของฝ่าบาทอีกด้วย

ต้องยกความดีความชอบให้ใบหน้าอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเสี่ยวจิ้งคงที่ทำให้เซียวฮองเฮาใจเย็นลงได้บ้าง

เซียวฮองเฮาเองก็หมดปัญญาจะไปสั่งสอนเด็กๆ ได้แต่วานให้คนมาช่วยกะเทาะปูนที่ฉาบบนกำแพงนี้ออกไป

หากเป็นปูนทั่วไป กะเทาะนิดเดียวก็ออกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้

ในตอนนั้นเอง เซียวฮองเฮาเริ่มระลึกได้ว่าบุตรชายของตนได้ก่อเรื่องใหญ่ไว้แล้ว ขณะที่กำลังคิดว่าจะหาคนมารับผิดแทน จู่ๆ ฝ่าบาทดันปรากฏตัวขึ้น

เด็กๆ ทั้งสามถูกจับในทันใด!

เซียวฮองเฮาตกใจจนเกือบจะหมดสติ!

ทว่า ฝ่าบาทมิได้ลงโทษเด็กทั้งสามคนแต่อย่างใด

ฮ่องเต้ลงโทษน้องชายของหมอเทวดาไม่ลงอยู่แล้ว แม้จะโกรธจัดที่เห็นพวกเขาทำลายกำแพงวังอันสวยงามก็ตามเถอะ

ไม่นานฮ่องเต้ก็ค้นพบว่าปูนที่ฉาบลงบนกำแพงวังไม่ใช่ปูนทั่วๆ ไป

มีปูนที่แข็งแรงทนทานแบบนี้ด้วยหรือ

ฮ่องเต้รู้ว่าองค์ชายเจ็ดตอบคำถามนี้ไม่ได้แน่นอน จึงหันไปฝากความหวังที่เสี่ยวจิ้งคงและบุตรชายของราชเลขาฝ่ายทหารอย่างสวี่โจวโจว “พวกเจ้าไปเอาปูนนี้มาจากที่ใด”

เสี่ยวจิ้งคงเอียงคอหนึ่งทีแล้วเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ “พวกเราทำขึ้นมาเอง!”

ฮ่องเต้ทำท่าประหลาดใจ “พวกเจ้าทำของเช่นนี้เป็นด้วยรึ”

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยด้วยสีหน้าแน่วแน่ “เจียวเจียวทำมันขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง! ข้าเห็นจนทำเองเป็นแล้ว!”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่เสี่ยวจิ้งคง สลับกับกำแพงที่ถูกฉาบ ก่อนจะหลุดสรวลออกมายกใหญ่

เซียวฮองเฮามองว่าพระองค์คงเสียสติไปแล้ว

แล้วเรื่องราวก็มาถึงตอนนี้

ปูนถังเก่าของพวกเขาหมดแล้ว ก็เลยออกมาผสมใหม่

โดยมีฉินฉู่อวี้เป็นคนนำหม้อข้าวเหนียวมาจากโรงครัว จากนั้นก็ผสมมันลงไปในถังปูน ซึ่งคล้ายกันกับที่ซูเฟยเล่ามาทั้งหมด