บทที่ 212 เข้าวัง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 212 เข้าวัง
ณ ตำหนักจวง

ลำดับรานชื่อพวกลูกพลัมถูกส่งมาถึงมือของราชครูจวงและอันจวิ้นอ๋องเป็นที่เรียบร้อย

ราชครูจวงทราบถึงผลคะแนนมาก่อนอยู่แล้ว ในรายชื่อนี้ นอกจากอันจวิ้นอ๋องแล้ว ก็ไม่มีใครน่าจับตามองแล้ว เขาจึงวางมันไว้บนโต๊ะอย่างไม่สนใจใยดี

อันจวิ้นอ๋องเองก็เช่นกัน

เพราะมั่นใจอยู่แล้วว่าตนจะต้องสอบได้อันดับหนึ่งแน่นอน

เรื่องที่จะถามก็คงมีแค่เรื่องเดียว “มีคนที่ชื่อเซียวลิ่วหลังอยู่บนนั้นไหม”

อู่หยางตอบ “มีขอรับ ชื่อของเขาอยู่ที่อันดับหนึ่งคู่กันกับท่านจวิ้นอ๋องขอรับ”

“เอ๋” อันจวิ้นอ๋องมองหางตา

อู่หยางเดินไปหยิบลำดับมาให้เขาดูอีกรอบ

สายตาของอันจวิ้นอ๋องเอาแต่จ้องเข้าไปที่ชื่อของเซียวลิ่วหลังก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “เซียวลิ่วหลังผู้นี้ เหนือความคาดหมายไม่เบาเลย”

ขณะที่อู่หยางกำลังจะเอ่ยต่อ เสียงสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ดังขึ้น “มาแล้วหรือเจ้าคะนายใหญ่”

อู่หยางจึงรีบออกไปต้อนรับและถวายความเคารพให้ราชครูจวง

ราชครูจวงโบกมือให้เขา อู่หยางจึงเดินถอยออกไป

อันจวิ้นอ๋องลุกยืนและทักทายด้วยรอยยิ้มที่น่ารื่นรมย์ “ท่านปู่!”

“อืม” ราชครูจวงเอ่ยเสียงขรึม

อันจวิ้นอ๋องเดินไปรอบๆ โต๊ะ และรอให้ราชครูจวงนั่งบนเก้าอี้ก่อน จากนั้นตัวเองค่อยนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ต่ำกว่า

สาวใช้เดินเข้ามาวางน้ำชาให้ ก่อนจะถอยกรูออกไป

ห้องเงียบมากจนได้ยินแต่เสียงจิบชาของราชครูจวง

อันจวิ้นอ๋องเปิดถามก่อน “ท่านปู่ ดึกป่านนี้แล้วยังไม่พักผ่อนอีกหรือ”

“ข้าอยากมาดูเจ้าน่ะ” ราขครูจวงเอ่ยพลางวางถ้วยชาลง “เจ้าเห็นอันดับสอบแล้วสินะ”

“ขอรับ” อันจวิ้นอ๋องพยักหน้า “เพิ่งดูเมื่อครู่นี้เองขอรับ”

“บัณฑิตที่ชื่อเซียวลิ่วหลังเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับเจ้าใช่ไหม” ราชครูจวงเอ่ยถาม

“ขอรับ” อันจวิ้นอ๋องพยักหน้าอีกครั้ง

ราชครูจวงคือคนที่ว่ายเวียนอยู่ในแวดวงขุนนางมาเป็นเวลานาน คนอย่างเขามองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็เลยเอ่ยถามหลานชายด้วยสีหน้าฉงน “เจ้ารู้จักเขาสินะ”

อันจวิ้นอ๋องยิ้มให้ท่านปู่หนึ่งทีก่อนตอบ “ท่านปู่จำได้หรือไม่ที่ข้าเคยบอกว่าเหตุใดถึงขอให้ท่านเปิดกั๋วจื่อเจียนใหม่อีกครั้ง”

คิ้วราชครูจวงขมวดเป็นปม “เจ้าเคยบอกว่าไทเฮาพำนักอยู่ที่เรือนของบัณฑิตนี่ใช่ไหม ขอแค่บัณฑิตผู้นั้นสอบเข้ากั๋วจื่อเจียนได้ ก็เท่ากับเป็นการพาไทเฮากลับมายังเมืองหลวง…หรือว่า จะเป็นบัณฑิตผู้นี้”

อันจวิ้นอ๋องเอ่ย “ใช่แล้วขอรับ เขาผู้นี้แหละ”

นัยน์ตาราชครูจวงเริ่มแสดงความเย็นชา

“ท่านปู่ โปรดอย่าเพิ่งผลีผลามอันใด บัณฑิตผู้นี้ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหญิงชรา ข้าสันนิฐานว่านางคงพลัดหลงไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้วเกิดเป็นลมล้มลงไปที่เรือนของพวกเขา ที่เรือนพวกเขามีผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ จึงวินิจฉัยออกได้ถึงโรคเรื้อนของหญิงชรา พวกเขาคงกลัวว่าจะถูกจับส่งไปที่ภูเขาหม่าเฟิง ก็เลยต้องซ่อนนางเอาไว้ และรักษานางจนหายดี”

“ถึงขั้นรักษาโรคเรื้อนจนหายได้เลยรึ” ราชครูจวงทำหน้าประหลาดใจ

“ข้าเคยเจอกับหญิงชราแล้วขอรับ ดูเหมือนจะรักษาจนหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว”

ราชครูจวงไม่อยากจะเชื่อว่าบนโลกนี้จะมีคนที่สามารถรักษาโรคเรื้อนให้หายขาดได้ เขายอมเลือกที่จะเชื่อว่าข้อมูลที่ได้มามีข้อผิดพลาดเสียยังจะดีกว่า “หรือที่จริงแล้ว ไทเฮาไม่ได้เป็นโรคเรื้อนตั้งแต่แรก แค่มีอาการคล้ายกันกับโรคเรื้อนก็เป็นได้”

อันจวิ้นอ๋องมิได้โต้แย้งข้อสันนิษฐานนี้แต่อย่างใด เพราะว่าตอนนี้นางหายเป็นปกติแล้ว เหลือก็แค่รอวันที่พวกเขาได้ขึ้นมามีอำนาจ รวมถึงรอวันที่ไทเฮาได้ความทรงจำทั้งหมดกลับคืนมา แล้วตระกูลจวงก็จะกลับมารุ่งโรจน์ดังเดิมอีกครั้ง

ราชครูจวงครุ่นคิดอย่างหนัก “บัณฑิตคนนี้ดูท่าไม่ง่ายเลย”

อันจวิ้นอ๋องเอ่ยตอบด้วยท่าทีไร้ซึ่งกังวล “ก็แค่ฮุ่ยหยวนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ท่านปู่มิต้องคิดมากนะขอรับ ที่จริงการสอบครั้งนี้ข้าเองก็ไม่ได้ลงแรงไปหมดขนาดนั้น”

ที่เขาพูดเป็นความจริง เขาไม่ได้ทุ่มสุดตัวมากขนาดนั้นกับการสอบในครั้งนี้

เซียวลิ่วหลังจะต้องใช้ความสามารถและพลังของเขาทั้งหมดกับการสอบครั้งนี้แน่ๆ แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น การที่ขึ้นมาทัดเทียมซ้ำยังได้อันดับหนึ่งเหมือนกันนั้น ถือว่าความอดทนสูงใช้ได้เลยทีเดียว

ตั้งแต่เล็กจนโต อันจวิ้นอ๋องแทบไม่เคยพบเจอใครที่สามารถเป็นคู่แข่งที่สูสีกับเขาได้เลย

ส่วนเจาตูเสี่ยวโหวเหย่คนนั้นแม้จะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่สำหรับอันจวิ้นอ๋องแล้ว จะติดก็แค่พวกเขาไม่เคยเจอกันมาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเฉินเป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วละก็ ไม่แน่ชื่อเสียงอาจตกเป็นของเขาก็ได้

อันจวิ้นอ๋องเอ่ยต่อ “ข้าวางแผนว่าจะเก็บคนไว้ใช้ประโยชน์ โปรดท่านปู่อย่าเพิ่งทำอะไรเขานะขอรับ”

แน่นอนว่ามันคงจะดีที่สุดถ้าใช้ประโยชน์จากเซียวลิ่วหลัง ด้วยความที่ความรู้เขาเยอะมากไป หากปล่อยให้ไปอยู่กับคนอื่น เกรงว่าตระกูลจวงจะเสียเปรียบเอา

ราชครูจวงตอบรับ “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ กระนั้นข้าก็จะไม่ยุ่งกับเขาก่อน แต่เจ้าต้องจำไว้ รอบการสอบระดับวัง อย่าแพ้ให้เขาเด็ดขาด”

สิ่งที่ตระกูลจวงต้องการคือบัณฑิตที่สอบจิ้นซื่อได้ที่หนึ่งเท่านั้น!

“เข้าใจแล้วขอรับ” อันจวิ้นอ๋องรู้สึกราวกับถือไพ่เหนือกว่าในมือ จากนั้นหัวเราะเบาๆ “การสอบระดับวัง ข้าจะทำให้เต็มที่ที่สุด”

ราชครูจวงพูดเรื่องที่ควรจะพูดออกไปหมดแล้ว แน่นอนว่าหลานชายผู้นี้ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง พอไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรต่อ เขาก็ลุกเดินออกไป

แต่จู่ๆ เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้เลยหันกลับมา ในความมืด ดวงตาที่ดูขุ่นมัวของเขาเผยให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดและความเฉียบแหลมที่ไม่มีบุรุษคนใดเทียบได้ “เจ้ามีคนที่ชอบพอแล้วหรือยัง”

อันจวิ้นอ๋องทำหน้านิ่งอึ้ง “เหตุใดท่านปู่ถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาละขอรับ”

“เจ้าเองก็ไม่เด็กแล้ว น้าของเจ้าบอกว่าถึงเวลาแล้ว”

แววตาอันจวิ้นอ๋องเริ่มสั่นคลอ “ข้ายังไม่จี๋กวานเลย จะรีบไปไหนขอรับ”

ตามธรรมเนียมของแคว้นจ้าว ชายหนุ่มที่มีอายุครบยี่สิบปีก็สามารถทำพิธีจี๋กวานได้แล้ว พอเสร็จพิธีก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว

ราชครูจวงอธิบายต่อ “ข้ามิได้เร่งให้เจ้าต้องรีบหาคู่ครองตอนนี้ ก็แค่อยากให้ลองดูๆ เลือกๆ ไปก่อน เดิมทีก็คิดว่าจะจับคู่เจ้ากับท่านหญิงฮุ่ย แต่พอเกิดเรื่องขึ้นกับนาง ท่านน้าของเจ้าก็เลยต้องล้มเลิกแผนการนี้ไป หากเจ้ามีคนในใจ สมน้ำสมเนื้อ ยศฐานะไปกันได้ กิริยางดงาม ทำงานเก่งแล้วละก็ให้รีบบอกน้าของเจ้าเลยนะ”

ในหัวของอันจวิ้นอ๋องปรากฏภาพหญิงสาวสะพายตะกร้าสาน สีหน้าของเขายังคงเหมือนเดิม “ไม่มีขอรับ”

ราชครูจวงเดินออกจากห้องไป

อันจวิ้นอ๋องถอนหายใจเบาๆ

คู่ครองงั้นรึ

แม้ตระกูลจวนติ้งอันโหวจะดูเข้าท่า แต่เหล่าโหวเหย่และเซวียนผิงโหวเปรียบเสมือนมือซ้ายปีกขวาของรัฐตรีไปโดยปริยาย

ถ้าให้พูดถึงรูปลักษณ์และท่วงท่า

เขาไม่สนว่านางจะหน้าตาเป็นเช่นไร แต่น้าของเขาคงไม่ยอมให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่มีรอยบนใบหน้าอย่างแน่นอน

“เฮ้อ” อันจวิ้นอ๋องหัวเราะเสียดสีตัวเอง “ถามข้าแล้วได้อะไรขึ้นมานะ”

ขณะที่ทั่วทั้งเมืองหลวงถูกปกคลุมไปด้วยข่าวเรื่องอันดับลูกพลัม กู้จิ่นอวี๋ที่ยังคงติดขัดอยู่ในกรมยุติธรรมกลับไม่รู้เรื่องราวอะไรซักอย่างเกี่ยวกับโลกภายนอกเลย

นางยังคงอยู่ในห้องรอตัดสินคดี

ดูเหมือนฝ่าบาทจะทรงตัดสินบทลงโทษได้แล้ว พระองค์จงใจทำลายเจตจำนงของนาง ไม่ปล่อยให้ใครมาบังคับเธอให้สารภาพ แต่ก็เพิกเฉยต่อนางต่อไป

นางโดดเดี่ยวเดียวดาย นับวันยิ่งทนไม่ไหวเข้าไปทุกที

กู้จิ่นอวี๋ไม่ได้อาบน้ำมาหลายแล้ว นางมิใช่อย่างกู้เจียวที่โตจากชนบท ไม่อาบน้ำสิบวันครึ่งเดือนยังไงก็ไม่เป็นไร นี่นางเป็นคนรักสะอาดนะรู้ไหม

โชคดีที่แม่นมฉีซึ่งเป็นคนสนิทของซูเฟยเข้ามาหาพอดี

พอเห็นแม่นมฉีเท่านั้น กู้จิ่นอวี๋ถึงกับระเบิดน้ำตาออกมา

“เอาละ เอาละ ท่านหญิงไม่ต้องร่ำไห้ไปนะเจ้าคะ หากซูเฟยรู้เข้าคงปวดใจแย่” แม่นมฉีโผเข้ากอดเด็กสาว ทว่ากลิ่นตัวของนางนั้นช่าง ช่างรับไม่ได้เอาเสียเลย

แม่นมฉีกระแอมในลำคอ ก่อนจะยื่นผ้าสะอาดให้

กู้จิ่นอวี๋รับผ้าผืนนั้นไว้ก่อนเอ่ย “ขอบคุณเจ้ามากเลยที่มาเยี่ยม”

แม่นมฉีเอ่ยถาม “ซูเฟยทรงวานให้ข้ามาถามท่านว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ท่านทำพระราชลัญจกรตกแตกจริงๆ หรือว่าท่าน…กระทำเรื่องที่ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว”

“ซูเฟยทรง… ไปได้ยินข่าวลืออะไรมาหรือ”

ที่แม่นมฉีมาในวันนี้ก็เพื่อจะมาทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น นางจึงเปิดประเด็นถามอย่างตรงไปตรงมา “ในวังมีข่าวลือว่าท่านไม่ได้เป็นคนประดิษฐ์เครื่องสูบลมนั่น แต่เป็นคนอื่น”

“คนอื่น…ใครกันหรือ” กู้จิ่นอวี๋เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

แม่นมฉีทำท่านึกคิดอยู่พักก่อนตอบ “อันนี้ก็ไม่รู้แล้ว ในข่าวไม่ได้บอกว่าเป็นใคร”

กู้จิ่นอวี๋ก้มหัวลงอย่างละอายใจ

ใครกันนะที่เป็นคนปล่อยข่าว เป็นฝ่าบาทหรือว่าพวกช่างไม้กันแน่ พวกเขาสามคนจะไม่รู้จักยัยเด็กนั่นเลยหรือไร

กู้จิ่นอวี๋ยังคงไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น นางพยายามคุมสติอารมณ์แล้วเอ่ยถามต่อ “แล้วซูเฟยทรงเชื่อหรือไม่”

แม่นมฉี “มีหรือซูเฟยจะเชื่อ”

กู้จิ่นอวี๋แอบถอนหายใจโล่งอกเบาๆ อย่างน้อยก็ยังดี ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดไม่ได้สูญเปล่าสินะ

แม่นมฉียิงคำถามต่อ “ข่าวลือพวกนี้ฟังดูแปลกๆ อยู่ไม่น้อย ท่านลองนึกดูซิว่าเคยมีใครมายุ่งกับแบบร่า

งของท่านไหม หรือว่าท่านเคยพูดถึงเรื่องเครื่องสูบลมให้ใครได้ฟังบ้างหรือไม่”

ดูเหมือนท่านพ่อจะไม่ได้บอกกับซูเฟยว่านางและกู้เจียว ‘คิดค้น’ เครื่องสูบลมร่วมกัน ปล่อยไว้นานขนาดนี้แล้ว สงสัยคงไม่คิดจะพูดแล้วกระมัง

กู้จิ่นอวี๋ลังเลใจว่าจะลากกู้เจียวเข้ามาเอี่ยวด้วยดีหรือไม่

ซูเฟยเองก็มิได้ปลื้มกู้เจียวเท่าใดนัก ด้วยความที่นางไม่ชอบแม่นางเหยาอยู่แล้วตั้งแต่แรก เลยพาลไม่ชอบลูกๆ ของแม่นางเหยาไปด้วย ที่กู้จิ่นอวี๋กลายเป็นหลานคนโปรดจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะความสามารถของตัวเองล้วนๆ ที่เคยช่วยเหลือองค์ชายห้าไว้ตั้งมากมาย

อีกเหตุผลคือกู้เจียวไม่ยอมกลับมาอยู่ที่จวน ไม่กลับมาดูแลฮูหยินใหญ่กู้ ไม่เห็นซูเฟยผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาแท้ๆ อยู่ในสายตา

ตามหลักแล้ว นางควรจะมาเข้าเฝ้าซูเฟยตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่มาถึงเมืองหลวงด้วยซ้ำ แต่นางก็ไม่ได้ทำ

กู้จิ่นอวี๋ไม่กล้าปักธงว่าซูเฟยจะเชื่อใจตนเหมือนกับท่านพ่อ

หากซูเฟยตามไปถามเรื่องนี้จากกู้เจียว หรือหากซูเฟยรู้ว่าที่จริงแล้วฝ่าบาททรงเข้าข้างกู้เจียว เช่นนั้นแล้ว ซูเฟยจะยังออกตัวช่วยเหลือตนหรือไม่

หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน สุดท้ายกู้จิ่นอวี๋ก็เลือกที่จะไม่พาดพิงถึงกู้เจียว

กู้จิ่นอวี๋ส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกัน ข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครเลย”

แม่นมฉีมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างไม่กระพริบตา “ไหนบอกแม่นมมาซิว่าท่านเป็นผู้คิดค้นเครื่องสูบลมนั่นจริงหรือไม่”

ท่านอาไม่ปักใจเชื่อตนสินะ

หลังจากที่ตนช่วยเหลือการบ้านขององค์ชายห้าไว้ตั้งมากมาย แถมยังไปช่วยสอบแทนด้วยแล้วเนี่ยนะ

กู้จิ่นอวี๋ได้แต่หัวเราะให้ตัวเองในใจ แต่ใบหน้าของนางกลับเศร้าหมอง “เป็นเจ้าหรือท่านอากันแน่ที่ไม่เชื่อหม่อมฉัน ข้าขอสาบานกับฟ้าดินเลยว่าเครื่องสูบลมนั่นข้าเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง หากข้าโกหก ขอให้ข้าถูกฟ้าผ่า…”

แม่นมฉีรีบคว้าผ้ามาปิดปากเด็กสาว “อย่าพูดจาซี้ซั้วแบบนี้อีกเข้าใจไหม! ซูเฟยเชื่อใจท่าน ข้าเองที่อยากถามเพิ่มเติม ท่านอย่าคิดมากเลยนะ”

“แม่นมเองก็ทำเพื่อซูเฟย ข้าทราบดี”

แม่นมฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเล่าต่อ “ซูเฟยทรงไปสืบความมาแล้ว พบว่าราชลัญจกรถูกทำให้แตกจริง เป็นฝีมือขององค์ชายเจ็ด ที่พระองค์ทรงเลือกที่จะโยนโทษให้เจ้า คงเป็นเพราะทรงเชื่อข่าวลือนั่น คิดว่าเครื่องสูบลมนั้นเป็นฝีมือของคนอื่นที่ไม่ใช่ท่าน ดังนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการพิสูจน์ว่าท่านคือเจ้าของตัวจริง แต่ซูเฟยเองก็หมดหนทางที่จะ…”

ประโยคเมื่อครู่สะกิดความคิดของกู้จิ่นอวี๋ในทันใด ในเมื่อมิอาจใช้เรื่องเครื่องสูบลมมาเป็นข้ออ้างในการปล่อยตนออกไปได้แล้ว เห็นทีคงต้องใช้วิธีอื่นแทน

จู่ๆ ภาพที่นางเห็นของบางอย่างที่ตรอกปี้สุ่ยก็พลันแวบเข้ามาในหัว

กู้จิ่นอวี๋หรี่ตาลงก่อนเอ่ย “แม่นมฉี เป็นเพราะตอนนั้นหม่อมฉันไม่ได้ใส่ใจเรื่องแปลนเท่าใดนัก ดังนั้นตอนนี้คงพูดอะไรไม่ขึ้นแล้ว แต่ข้ายังมีของที่เคยคิดค้นไว้อีกด้วย”

แม่นมฉีได้ยินดังนั้นถึงกับหูตั้ง “ท่าน ท่านคิดค้นอะไรไว้อีก แล้วทำไมไม่รีบพูดแต่แรกเล่า”

กู้จิ่นอวี๋หัวเราะชอบใจ “ข้าก็เพิ่งจะนึกได้เมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่ถูกขังอยู่ในนี้ หม่อมฉันได้แต่นั่งปล่อยจิตคนเดียวเงียบๆ ถามตัวเองอยู่ตลอดว่าข้าสามารถทำอะไรเพื่อราชสำนักได้บ้าง แล้วจู่ๆ ก็เกิดนึกขึ้นได้ว่าตอนที่อยู่ที่หมู่บ้านข้าเคยสร้างสิ่งๆ นั้นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ”

“มันคืออะไร” แม่นมฉีเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น

“ปูนข้าวเหนียวอย่างไรเล่า” ที่จริงกู้จิ่นอวี๋เองก็ไม่รู้ว่ามันใช้งานอย่างไร แต่ตอนนี้ขอเอาตัวรอดให้ได้ก่อน “ใช้ข้าวเหนียวในการทำปูนเพื่อเสริมสร้างแรงยึดเกาะ เป็นเครื่องมือที่เอาไว้ในการก่อสร้าง หากแม่นมไม่เชื่อ ก็ลองกลับไปที่วังดูก่อน ในเมื่อท่านอาทรงเป็นห่วงหม่อมฉันเช่นนั้น หม่อมฉันเองก็อยากทำอะไรเพื่อตอบแทนบุญคุณของนาง ข้าจะยอมยกความดีความชอบนี้ให้แก่องค์ชายห้า”

แม่นมฉีรีบกลับไปที่ตำหนักหลวงอย่างไม่รอช้า จากนั่นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ซูเฟยได้ฟัง โดยเน้นย้ำประโยคที่บอกว่าจะยกความดีความชอบเรื่องปูนข้าวเหนียวให้แก่องค์ชายห้า

ซูเฟยออกอาการดีใจ “เป็นเรื่องจริงรึ”

“ท่านหญิงพูดออกมาเองเลยเจ้าค่ะ ไม่ใช่เรื่องหลอกแน่นอน ซูเฟยเพคะ นี่เป็นการทำคุณประโยชน์ครั้งใหญ่เลยนะเจ้าคะ!”

….

ตัดภาพมาที่ชั้นเรียนปฐมวัยกั๋วจื่อเจียน จิ้งคงที่เพิ่งจะเลิกเรียนก็เดินออกมายังจุดที่นัดหมายกันเอาไว้

ครั้งก่อนฉินฉู่อวี้เคยสัญญาเอาไว้ว่าจะพาเพื่อนสองคนเข้าชมตำหนักหลวง หลังจากที่ไปตีซี้กับไท่จื่อเฟยมาแล้วเรียบร้อย ในที่สุด ไท่จื่อเฟยก็ยอมตอบตกลงที่จะให้เขาพาคนเข้ามาได้

เรื่องพวกนี้เด็กๆ ไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยหรอกว่าพวกเขาเข้าไปในวังได้อย่างไร ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็คงว่าไปอย่าง

สวี่โจวโจวเอ่ยกับบ่าวเรื่องที่จะเข้าวัง บ่าวเองซึ่งรู้ว่าฉินฉู่อวี้เป็นใครก็เลยไม่กล้าปฏิเสธ

ส่วนจิ้งคงไปที่โรงหมอ บอกว่าจะออกไปเดินเล่น แล้วจะกลับมากับรถม้าของตระกูลสวี่

กู้เจียวไม่ได้มีความเห็นอะไร

ทั้งสวี่โจวโจวและฉินฉู่อวี้เองก็มักจะมานั่งเล่นที่โรงหมออยู่บ่อยครั้ง

เด็กๆ ทั้งสามขึ้นรถม้าของฉินฉู่อวี้ด้วยความเบิกบานใจ