บทที่ 211 จุมพิต
ทุกคนต่างยินดีปรีดาที่เซียวลิ่วหลังได้เป็นฮุ่ยหยวน
จี้จิ่วอาวุโสแม้จะไม่พูดอะไร แต่สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความปีติ
แม้เขาจะรู้ว่าด้วยระดับความสามารถลูกศิษย์ไม่ยากเกินที่จะสอบฮุ่ยหยวนได้ แต่ก็อดดีใจไปด้วยไม่ได้จริงๆ
ช่วงมื้อเย็น เขาทำกับข้าวหลายอย่าง และทุกคนก็กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ
หญิงชรามอบอั่งเปาให้เซียวลิ่วหลังและกู้เจียว เป็นเงินที่ได้จากการเล่นไพ่นกกระจอก เพื่อเป็นรางวัลแก่ความพยายามในการสอบมาอย่างยากลำบาก ของกู้เจียวเป็นส่วนที่ช่วยดูแลเขาซึ่งลำบากยิ่งกว่า
เซียวลิ่วหลังพอรับเงินมา ก็รีบยื่นให้กู้เจียว
“อ่ะนี่ เอาไว้ใช้ที่เรือน” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง
“อ้อ” กู้เจียวรับไว้
เงินที่ได้จากหอชิงเฟิงยังไงก็ไม่หอมเท่าเงินที่ได้จากคุณสามีหรอก!
“ยังมีสอบอีกไหม” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ยังมีอีก” เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ช่วงปลายเดือนสามมีสอบฟู่ซื่อ เดือนสี่สอบเตี้ยนซื่อ”
การสอบฟู่ซื่อ แท้จริงก็คือการสอบเพื่อตรวจชื่อผู้เข้าสอบเท่านั้น มิได้ยิ่งใหญ่เท่ากับสอบครั้งอื่นๆ เพราะไม่มีการเก็บคะแนน ได้ยินมาว่าเพื่อเป็นการวัดลายมือของผู้เข้าสอบเพื่อมิให้มีการทุจริตเกิดขึ้น
การสอบเตี้ยนซื่อหรือการสอบต่อหน้าพระพักตร์ต่างหากที่เขาต้องให้ความสำคัญมากที่สุด
การสอบเตี้ยนซื่อนั้นดำเนินการสอบโดยองค์จักรพรรดิ บัณฑิตทุกคนจะต้องอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ระหว่างการทำข้อสอบ ซึ่งยิ่งเป็นการเพิ่มความกดดันในการทำข้อสอบ
โดยการสอบเตี้ยนซื่อจะถูกจัดขึ้นแค่วันเดียวเท่านั้น
ในราชวงศ์นี้ เพื่อคัดเลือกผู้มีความสามารถให้ดียิ่งขึ้น จึงใช้วิธีการการทดสอบข้อเขียนหนึ่งวัน และการสัมภาษณ์ตัวต่อตัวอีกหนึ่งวัน
แต่ไม่ใช่ผู้เข้าสอบทุกคนจะมีโอกาสได้เข้าสัมภาษณ์
คนที่ได้เข้าสัมภาษณ์จะต้องทำข้อสอบข้อเขียนได้ดีจึงจะถูกเรียกสัมภาษณ์ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้
ในการสอบครั้งแรก ฮ่องเต้สามารถขอให้ผู้เข้าสอบคนไหนก็ได้ตอบคำถามได้ตามพระประสงค์ ซึ่งเป็นการทดสอบคุณภาพทางจิตวิทยาของผู้เข้าสอบ รวมถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ผู้เข้าสอบบางคนมีพื้นฐานการเรียนที่ดีแต่ขาดความกล้า พอถึงการสอบเตี้ยนซื่อก็เลยทำข้อสอบออกมาได้ไม่ดี ดังนั้น คะแนนจากการสอบในครั้งที่ผ่านๆ มามิอาจรับรองได้ว่าครั้งนี้จะทำคะแนนออกมาได้ดีเช่นเดิม
เซียวลิ่วหลังเองก็สนับสนุนให้เฝิงหลินและหลินเฉิงเยี่ยพกความมั่นใจไปสอบในทุกๆ ครั้ง
“เป็นไปได้ไหมที่จะสอบไม่ผ่าน” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ครั้งนี้น่าจะผ่านกระมัง” เซียวลิ่วหลังค่อยๆ อธิบายให้กู้เจียวฟังอย่างใจเย็น
การสอบเตี้ยนซื่อไม่มีการตกอันดับ จะมีก็แค่การจัดอันดับ หากได้เป็นก้งซื่อแล้ว ก็มีโอกาสที่จะได้เลื่อนเป็นจิ้นซื่อด้วย
เพียงแต่ พอได้เป็นจิ้นซื่อแล้ว ก็ยังต้องมีการแบ่งระดับชั้นอีก
กลุ่มคนที่สอบเตี้ยนซื่อได้สามอันดับแรกจะถูกเรียกว่า ‘จิ้นซื่อชั้นหนึ่ง’ แบ่งออกเป็นจ้วงหยวน ปั้งเหยี่ยน ทั่นฮวา ได้คุณวุฒิจิ้นซื่อจี๋ตี้ไปครอง
ส่วนลำดับรองลงมาก็จะเรียกว่าจิ้นซื่อชูเซิน และถงจิ้นซื่อชูเซินตามลำดับ
กลุ่มคนที่ได้จิ้นซื่อจี๋ตี้และจิ้นซื่อชูเซินถูกจัดอยู่ในรายชื่อลำดับแรกๆ ส่วนถงจิ้นซื่อชูเซินนั้นคือคนที่หลุดจากลำดับ เหมือนกับจัดหมวดหมูไว้เพื่อปลอบใจเท่านั้น
คนที่ตกอันดับแม้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสเติบโตในเมืองหลวง แต่ถ้าเป็นขุนนางระดับเจ็ดถึงแปดตามอำเภอนอกเมืองต่างๆ ถือว่ายังมีความเป็นไปได้
ส่วนคนที่ได้จิ้นซื่อชั้นหนึ่งจะได้เข้าไปอยู่ในสำนักฮั่นหลิน ส่วนลำดับสองและสามจะต้องเข้าร่วมการจัดสอบเตี้ยนซื่ออีกครั้ง คนที่สอบได้จะได้เป็นซู่จี๋ซื่อ จากนั้นต้องผ่านการร่ำเรียนเป็นเวลาสามปี พอสอบข้าราชสำนักผ่านก็จะได้เข้าไปอยู่ในสำนักฮั่นหลิน
สำนักฮั่นหลินคือสถานที่รวมบุคลากรหัวกะทิแห่งแคว้นจ้าว มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า จะเข้าฮั่นหลินต้องเป็นจิ้นซื่อก่อน และหากจะเข้าเน่ย์เก๋อหรือสถาบันสูงสุดในการปกครองจะต้องผ่านสำนักฮั่นหลินให้ได้ก่อน กล่าวคือ สำนักฮั่นหลินคือที่ที่บัณฑิตทั่วทั้งแคว้นใฝ่ฝันอยากจะเข้ามาอยู่
ว่ากันตามจริงแล้ว ใช่ว่าพอเขามาอยู่ในสำนักฮั่นหลินแล้วจะสบายเลย เพราะในสำนักฮั่นหลินเองก็มีกฎเกณฑ์และการสอบต่างๆ มากมาย
กู้เจียวกำลังทำความเข้าใจกับสถานการณ์ปัจจุบัน เอาละ ตอนนี้นางได้เป็นภรรยาของก้งซื่อแล้ว ต่อไปคือจิ้นซื่อสินะ
“แล้วใครสอบได้ที่สามล่ะ” นางถาม
ด้วยความที่เซียวลิ่วหลังและอันจวิ้นอ๋องสอบได้ลำดับเดียวกัน จึงไม่มีลำดับที่สองและข้ามไปเป็นลำดับที่สามต่อเลย
ผู้ที่สอบได้ที่สามเป็นบัณฑิตที่เรียนอยู่ในชั้นเรียนเดียวกับเซียวลิ่วหลัง มาจากตระกูลเฉา ปีนี้อายุสามสิบปีแล้ว มิใช่คนเมืองหลวง เคยทำคะแนนไว้ดีสมัยที่ยังสอบระดับท้องถิ่น เขาตั้งใจสอบอยู่นานหลายปีกว่าจะได้ขึ้นมาอยู่จุดนี้
ในปีนี้ ทั้งการสอบจงจวี่ ชุนเหว่ย คนที่สอบติดล้วนได้ขึ้นเป็นก้งซื่อทั้งสิ้น
กู้เจียวคุ้นๆ ว่าไม่เคยเห็นชื่อนี้อยู่บนกระดานชื่อที่หอชิงเฟิงแต่อย่างใด ดูเหมือนเขาเองก็จะเป็นม้ามืดเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเซียวลิ่วหลังมากนัก เพราะพวกเขาไม่ได้มีชื่อในเมืองหลวงแต่แรกอยู่แล้ว
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ทุกคนกินกันอย่างอิ่มหมีพีมัน คงเป็นเพราะทุกคนกำลังมีความสุข ก็เลยกินข้าวมากกว่าปกติ จะเว้นเสียก็แต่เสี่ยวจิ้งคงคนเดียว
ด้วยความที่เขาอายุน้อยสุดในเรือน เขาจึงต้องระแวดระวังเป็นพิเศษ
ครั้งนี้พี่เขยตัวแสบสอบได้อันดับที่หนึ่งพร้อมกับคนอื่น การได้อันดับหนึ่งทำให้ทุกคนมีความสุข ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีความคาดหวังต่อพี่เขยตัวแสบเพียงใด ถึงแม้ปกติแล้วเขาดูจะไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่นักก็ตาม
เสี่ยวจิ้งคงตัดสินใจว่าจะเอ่ยตักเตือนเซียวลิ่วหลัง ไม่ให้เขาดีใจออกนอกหน้าจนเกินไป
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมอบรางวัลให้เขาด้วย
“ให้รางวัลข้ารึ” ณ ห้องหนังสือ เซียวลิ่วหลังจ้องไปที่เด็กน้อยเสี่ยวจิ้งคงด้วยสายตาประหลาด
พระอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันตกหรืออย่างไร เจ้าเณรน้อยเนี่ยนะจะมอบของขวัญให้ข้า
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มงวดพลางเอามือไขว้หลัง “อาจารย์เจี่ยงเคยบอกไว้ ต้องเอื้อเฟื้อแก่คนอ่อนแอกว่า”
พี่เขยตัวแสบมักจะสอบได้ที่รองโหล่ ดังนั้นถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มคนอ่อนแอ
“อย่ามาเลย ข้าสอบได้ที่หนึ่งนะรอบนี้” เซียวลิ่วหลังเอ่ยพลางเอานิ้วชี้ไปที่หนังสือฮุ่ยหยวนที่วางอยู่บนโต๊ะ
เสี่ยวจิ้งคงเบะปากพ่นลม “ที่หนึ่งพ่วงมิใช่รึ”
เซียวลิ่วหลังมองเจ้าตัวเล็กด้วยความหมั่นไส้ “งั้นเจ้าสอบฮุ่ยหยวนที่หนึ่งให้ข้าดูเป็นบุญตาหน่อยซิ”
“รอข้าโตก่อนก็แล้วกัน!” เสี่ยวจิ้งคงลั่นวาจาด้วยความมั่นใจเต็มร้อย!
เซียวลิ่วหลังแทบจะหัวเราะงอหาย “ก็ดี ไหนว่ามาซิ เจ้าจะมอบอะไรให้ข้า”
“แล้วเจ้าอยากได้อะไรล่ะ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถาม
อย่างเขาน่ะหรือจะไปขออะไรจากเด็กตัวเล็กๆ อย่างเสี่ยวจิ้งคง ให้ยกเว้นค่าเช่าบ้านรึ ไม่น่าเป็นไปได้
เซียวลิ่วหลังครุ่นคิดอยู่สักพัก กิเลสก็บังเกิด “ครั้งนั้นที่ฉลองวันเกิดกัน ของขวัญที่เจียวเจียวมอบให้เจ้า”
เสี่ยวจิ้งคงถึงกับโกรธจนขนตั้ง “มันจะมากเกินไปแล้วนะ! บังอาจมาแย่งของขวัญที่เจียวเจียวให้ข้าได้อย่างไร!”
เซียวลิ่วหลังกางแขนแบมือออกสองข้าง “ก็เจ้าเป็นคนถามเองนี่นาว่าข้าอยากได้อะไร ข้าก็พูดออกไปแล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงขมวดคิ้วน้อยๆ ของเขา พลางนึก เขาเป็นเด็กไม่พูดจากลับกลอก จะให้มาคืนคำก็เสียศักดิ์ศรีแย่
“เจ้าอยากได้ตารางหมากรุกของข้ารึ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถาม
“ข้าจะเอาหมากรุกไปทำไม ที่ข้าอยากได้คือสิ่งนั้นต่างหาก”
เสี่ยวจิ้งคงและเซียวลิ่วหลังเกิดวันเดียวกัน กู้เจียวได้มอบของขวัญให้พวกเขา นอกจากหมากรุกแล้ว กู้เจียวยังได้มอบของอีกอย่างให้แก่เขา
ของที่เซียวลิ่วหลังหมายถึงก็คือนกกระดาษ
เสี่ยวจิ้งคงเริ่มกำหมัดแน่น มองคนตรงหน้าด้วยแววตากึ่งเศร้ากึ่งไม่เชื่อ “เจ้า โตป่านนี้แล้วจะเอานกกระดาษไปทำไม นั่นมันของเล่นของเด็กนะ!”
แหม ทีแบบนี้มาบอกว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยแล้วสินะ
เซียวลิ่วหลังหัวเราะแห้ง “ข้าอยากได้ เจ้าจะให้หรือไม่”
ลูกเล่นของเขาคัดลอกมาจากเซวียนผิงโหวไม่มีผิดเพี้ยน
เด็กน้อยมองตาละห้อยด้วยท่าทีสับสนและงุนงง ราวกับจะบอกว่าเจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน
เสี่ยวจิ้งคงสูดหายใจลึก หลับตาปี๋ ก่อนจะกลั้นใจและตัดสินใจตอบตกลง “ก็ได้ ในเมื่อเจ้ายืนกรานขนาดนั้น”
พอเสี่ยวจิ้งคงเอ่ยจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ขณะที่เซียวลิ่วหลังกำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าที่ตะลึงงัน จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงก็พุ่งตัวเข้าไปหอมแก้มขวาพี่เขยตัวแสบ!
เซียวลิ่วหลัง “…”
สีหน้าทั้งคู่ไม่สู้ดีนัก
ท่านเทพสวรรค์เอ๋ย นี่ข้าไปทำกรรมอะไรไว้นะ
เสี่ยวจิ้งคงนึกในใจ ข้าเสียสละมากเกินไปแล้วนะ!
เขาเริ่มรู้สึกมวนท้องและอ้วกลมออกมา ก่อนจะมองบนใส่แล้วรีบวิ่งออกไป!
เซียวลิ่วหลังพอได้สติก็รีบสะบัดตัวไปมา ให้ตายสิ นี่เขาโดนหลอกหรือนี่
พอกู้เจียวเดินเข้ามาด้านใน ก็เห็นคนตรงหน้ากำลังยกมุมปากค้างอยู่อย่างนั้น
“เอ๋ เกิดอะไรขึ้น” กู้เจียวมองเขาด้วยสีหน้าตะลึง
เซียวลิ่วหลังกระแอมหนึ่งทีก่อนตอบ “ไม่มีอะไร”
น่าขายหน้าชะมัด ห้ามพูดเรื่องนี้เด็ดขาด
กู้เจียวเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วยื่นกล่องผ้าให้เขา
“นี่คือ…” เซียวลิ่วหลังรับกล่องผ้ามา พอเปิดดู ข้างในเป็นผ้าคาดผมสีแดง
เขายังไม่เคยสวมกวานมาก่อน และยังไม่สามารถสวมมันได้ อีกทั้งเขาไม่ชินกับการมีอะไรบนหัว
ผ้าคาดผมอันเดิมของเขาเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว กู้เจียวจึงทำขึ้นมาใหม่และย้อมสีให้ดูสดใสเข้ากับฤดูใบไม้ผลิ
“นี่คือ…ของขวัญที่ข้าได้เป็นฮุ่ยหยวนอย่างนั้นรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
“อ๋า” กู้เจียวทำหน้าตกใจ
ชัดเจนว่าไม่ใช่ เซียวลิ่วหลังก้มหน้าไม่พูดอะไร ดูก็รู้ว่ากำลังผิดหวัง
กู้เจียวเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาในทันใด
เซียวลิ่วหลังถอนหายใจ “เมื่อครู่นี้เสี่ยวจิ้งคงมอบของขวัญให้ข้าด้วยล่ะ”
ไหนว่าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้วไม่ใช่หรือไร
ในเมื่อเสี่ยวจิ้งคงให้ของขวัญแล้ว ถ้าตัวเองไม่ให้ก็คงกะไรอยู่
กู้เจียวรีบเอ่ยทันควัน “เจ้าอยากได้ของขวัญอะไร”
“ที่จริงข้าก็ไม่อยากวุ่นวายอะไรมากหรอก แค่ของเล็กๆ น้อยๆ ก็พอ” เซียวลิ่วหลังพยายามทำหน้าเคร่งขรึม “ของขวัญที่เจ้าเคยให้เสี่ยวจิ้งคง แต่เจ้าไม่ได้ให้ข้า”
ครั้งก่อนที่เขาพูดออกไป สิ่งที่ได้กลับมาคือจุมพิตของกู้เจียว
“อ๋อ” กู้เจียวฟังจบก็ร้องอ๋อในทันใด แล้วรีบไปหยิบนกกระดาษมาให้เขา “อ่ะนี่!”
ในมุมมองของกู้เจียว ในเมื่อเคยให้จูบไปแล้ว ก็เหลือแต่นกกระดาษที่วันนั้นนางยังไม่ได้ให้เขา
เซียวลิ่วหลังผู้ที่ไม่ได้ต้องการนกกระดาษเลยแม้แต่นิด “…”