บทที่ 358 พี่น้อง

สุดยอดชาวประมง

บทที่ 358 พี่น้อง

บทที่ 358 พี่น้อง

ทั้งสองยิ้มแย้มหยอกล้อกันไปมาตอนออกจากห้องฝึกฝน เพิ่งออกมาไม่เท่าไรก็พบว่ามีคนรอตัวเองอยู่หน้าห้อง ซึ่งก็คือเด็กหนุ่มชุดขาวกับข้าง ๆ ก็คืออาเหมานั้นเอง

“ที่แท้คนที่ถูกเลือกก็คือน้องชายนี้เอง ยินดีด้วย ๆ ! ครั้งก่อนที่เจอน้องชายข้างนอกแม้จะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่คิดไว้แล้วว่าเรามีวาสนาต่อกันตอนนี้มาเจอกันในเมืองโบราณจนได้”

ฉู่เหินพูดเพราะรู้สึกจริง ๆ ว่าพวกเขามีวาสนาต่อกัน ฉู่เหินจึงรู้สึกดีกับเด็กหนุ่มชุดขาวมาก แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือ เด็กหนุ่มพอเห็นเขาทำไมสายตาถึงเหมือนจะร้องไห้ออกมาละ

“คือว่าน้องชาย ความสัมพันธ์แบบชายรักชายมันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่พี่มีแฟนแล้ว นายเห็นผู้หญิงข้าง ๆ ฉันไหม? เธอเป็นแฟนฉันเอง ถ้านายมีความรู้สึกพิเศษ ๆ ก็ขอโทษด้วย พี่คงช่วยนายไม่ได้นายไปหาคนที่เข้าใจนายเถอะนะ!”

ฉู่เหินที่ถูกสายตาของเด็กหนุ่มมองขนลุกชันไปทั้งตัว เขายืนพูดด้วยร่างอันสั่นเทา แต่หลังจากที่พูดจบ เด็กหนุ่มที่ได้ยินก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมา กลับเป็นเสี่ยวชิงที่หัวเราะเสียงดัง

“คุณแซ่ฉู่ นามว่าเหินสินะ?” เด็กหนุ่มชุดขาวมองฉู่เหินด้วยสายตาซาบซึ้ง ไม่ใส่ใจคำพูดเมื่อครู่แม้แต่น้อย

ฉู่เหินเห็นเด็กหนุ่มเป็นแบบนี้ก็รู้สึกแปลก ๆ “ฉันชื่อฉู่เหิน ทุกคนเรียกฉันแบบนี้ ท่าทางน้องชายแปลก ๆ นะ หรือว่ารู้จักฉันมาก่อน”

ฉู่เหินพบว่าหลังจากชายหนุ่มคนนี้ได้ยินชื่อของตัวเอง สายตาก็ยิ่งเต็มไปด้วยน้ำตาจนฉู่เหินได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย เขารู้สึกแปลก ๆ แม้จะเคยพูดคุยกันแค่ครั้งเดียว แต่รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานาน…

อีกทั้งสายตาที่อีกฝ่ายมองเขา ยังเต็มไปด้วยน้ำตา เขาอยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไรนักแน่ เขาไม่รู้จักชายหนุ่มคนนี้มาก่อน! ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ ชายหนุ่มทำไมหน้าตาคุ้น ๆ แปลก ๆ

ไม่เพียงแต่ฉู่เหินแม้แต่เสี่ยวชิงเองก็สงสัยเช่นกัน มีคนเคยบอกว่าคนที่มองอยู่ข้าง ๆ มักมองอะไรได้ชัดเจนกว่าและตอนนี้เธอก็เหมือนจะเดาอะไรได้แล้ว เธอจึงได้แต่ถอนหายใจหนัก แต่ก็ยินดีแทนฉู่เหิน!

“ในเมื่อคุณชื่อฉู่เหิน งั้นผมขอถามหน่อยว่าคุณเป็นเด็กกำพร้าใช่ไหม? คุณรู้หรือเปล่าว่าพ่อแม่เป็นใคร?” ฉู่เหินที่กำลังโง่งมเมื่อได้ยินแบบนี้ก็ตัวสั่น

ฉู่เหินเดินไปข้างหน้าสองก้าว ยื่นมือไปจับไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่าย มือทั้งสองข้างนั้นสั่นระริก เขาอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

“น้องชายเรื่องที่พี่เหินเป็นเด็กกำพร้า เธอรู้ได้ยังไงกัน?” เสี่ยวชิงที่เห็นฉู่เหินกำลังตื่นเต้นจึงถามแทนเขา

หลังจากได้ยินคำตอบจากเสี่ยวชิง ชายหนุ่มชุดขาวก็ตื่นเต้นดีใจยกใหญ่ น้ำตาไหลอาบแก้ม! เขาพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้มั่นคงถึงได้พูดออกมาอีกครั้ง

“หน้าอกด้านซ้ายของคุณมีปานรูปดอกเหม่ยใช่ไหม? มันติดตัวตั้งแต่กำเนิด แต่ลวดลายคล้ายกับเพิ่งสัก!” หลังเด็กหนุ่มพูดจบ ก็ใช้ดวงตามองฉู่เหิน กลัวฉู่เหินจะบอกว่าไม่มี

“นายรู้ได้ยังไง!?” หลังจากสิ้นเสียง ฉู่เหินก็เปิดเสื้อตัวของตัวเอง แล้วปานรูปดอกเหม่ยไม่เล็กไม่ใหญ่ก็อยู่ตรงนั้นจริง ๆ ปานนี้ดูไกล ๆ แล้วเหมือนดอกเหม่ย แต่เมื่อดูใกล้ ๆ จะคล้ายกับตัวอักษรอะไรบ้างอย่างที่คนอื่นยากจะมองออก

หลังจากเห็นฉู่เหินเผยปานดอกเหม่ยของตัวเองให้ดูแล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวก็อุทานออกมาหนึ่งคำ พร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นก็เปิดเสื้อตัวของตัวเองให้ฉู่เหินเห็นว่าบนตัวของชายหนุ่มเองก็มีปานรูปดอกเหม่ยเช่นเดียวกัน

“พวกเราเป็นคนตระกูลฉู่ ที่หน้าอกด้านซ้ายจะมีปานแบบนี้อยู่หนึ่งอัน ปานนี้แม้ภายนอกจะเหมือนกับดอกเหม่ย แต่จริง ๆ แล้วมันคือตัวอักษรฉู่! พี่ชาย ผมคือฉู่ฉุนเป็นน้องชายของพี่ พวกเราตามหาพี่มาหลายสิบปี!” สิ้นเสียงฉู่ฉุนก็ลงไปร้องไห้กับพื้นเสียงดัง

เวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไปอย่างช้า ๆ ฉู่เหินเข้าไปประคองฉู่ฉุนขึ้นมา เดิมทีเขารู้สึกสนิทสนมเป็นพิเศษกับฉู่ฉุนอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะเป็นเช่นนี้ ทว่าหลังจากที่เขาหายตื่นเต้น จนทำใจให้สงบได้แล้ว ฉู่เหินก็ถามเรื่องราวต่าง ๆ ออกมามากมาย

“น้องชายลุกขึ้นก่อนเถอะ ฉันยังไม่เชื่อสิ่งที่น้องชายพูดหรอกนะ เรื่องนี้มันกะทันหันเกินไป น้องชายเล่าเรื่องราวมาก่อนได้ไหม” หลังจากฉู่เหินดึงฉู่ฉุนขึ้นมาจากพื้นแล้ว ก็พูดกับอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น ภูมิหลังของตัวเขา แม้จะผ่านมา 20 กว่าปีแล้วมันก็ทำให้เขาปวดใจมาตลอด

หลังจากฉู่ฉุนลุกแล้วถึงค่อยพูดต้นสายปลายเหตุทั้งหมดหนึ่งรอบ ทั้งเรื่องที่พ่อออกตามหาฉู่เหินอยู่หลายปีจนต้องคุ้ยขยะตามหา เขาก็ยังเล่าให้ฟัง พอฉู่เหินได้ยินก็น้ำตาไหลออกมา

ตลอดมาเขาคิดว่าถูกทิ้ง จนมาวันนี้เขาถึงได้รู้ต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตระกูลของตัวเอง จะเป็นตระกูลลึกลับ ที่แม้แต่นิกายระดับ 1 ก็ไม่กล้าต่อกร พอคิดถึงตรงนี้เขาก็อดรู้สึกภูมิใจชาติกำเนิดตัวเองไม่ได้

จากนั้นฉู่เหินก็แนะนำเสี่ยวชิงให้ฉู่ฉุนรู้จัก ฉู่ฉุนเองก็พอเดาได้ว่าคน ๆ นี้ก็คือพี่สะใภ้ของตัวเอง เพียงแต่ไม่กล้าทักทายอะไร พอหลังจากได้ยินฉู่เหินแนะนำให้รู้จักแล้วเขาจึงคำนับเสี่ยวชิงเป็นพี่สะใภ้

ฉู่เหินหยิบอาวุธระดับห้าจากในแหวนมิตอออกมา แล้วส่งมันให้กับอาเหมาเป็นค่าตอบแทน เพราะถ้าอาเหมาไม่บอกฉู่ฉุน เกรงว่าพวกเขาพี่น้องคงไม่ได้เจอกันและอาจต้องรอไปอีกนานกว่าจะได้รู้ความจริง

อาเหมาที่ได้รับของวิเศษก็ดีใจมาก จากนั้นอาเหมาก็ขอตัวลากับทุกคนแล้วเดินจากไปอย่างร่าเริง ฉู่เหินและฉู่ฉุนจูงมือกันมาพูดคุยเรื่องต่างกันที่ศาลาด้านข้าง เสี่ยวชิงก็เดินไปหยิบน้ำชากับขนมที่จวนเจ้าเมือง แล้วนั่งฟังเงียบ ๆ

สองพี่น้องนั่งคุยตรงนี้นานเป็นวัน ก่อนอื่นเป็นฉู่ฉุนที่เล่าเรื่องราวเล็กใหญ่ในตระกูลให้ฉู่เหินฟังหนึ่งรอบ รวมทั้งญาติทุกคนในตระกูลฉู่ การเปลี่ยนแปลงของพ่อฉู่เหินวันนั้นโดยมีฉู่เหินเป็นศูนย์กลาง ฉู่เหินคิดไม่ถึงเลยว่าการฝึกวิชาของเขามันจะเปลี่ยนแปลงอะไรมากขนาดนี้

แต่เขาก็รู้สึกโชคดีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ไม่งั้นน้องชายของเขาคงตายไปแล้ว ทว่าเขารู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่อาจบอกให้คนอื่นรู้ได้ เพราะถ้าถูกคนอื่นรู้เข้าคงถูกคมดาบหันเข้าหาตัวเองแน่ การพัฒนาพลังครั้งเดียวได้ทั้งสายเลือดแบบนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเตือนฉู่ฉุนอย่าบอกใครเด็ดขาด ซึ่งจุดนี้ฉู่ฉุนก็เข้าใจดี

หลังจากถามฉู่ฉุนจบแล้ว ฉู่เหินก็เล่าที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้บ้างรอบหนึ่ง แต่เรื่องระบบนั้นฉู่เหินไม่ได้เล่า เพราะมันเป็นความลับไม่อาจเปิดเผยให้ใครรู้ได้ ไม่งั้นมันจะเป็นการหันคมดาบเข้าใส่ตัวเอง! ฉู่เหินเล่าแค่เขาไปหาปลาอีท่าไหนก็ไม่รู้ได้ของมาหนึ่งชิ้น จนได้ฝึกวิชามาจนถึงทุกวันนี้