บทที่ 359 แม่ทัพซอมบี้หวังจือหลิน
บทที่ 359 แม่ทัพซอมบี้หวังจือหลิน
หลังจากคิดไปสักพัก เขาก็พูดถึงเรื่องที่ได้เรียนรู้วรยุทธ์ต่าง ๆ และก็อะไรทำให้เขาเดินบนเส้นทางนี้ พอได้ยินเรื่องของฉู่เหิน ฉู่ฉุนก็อดคิดไม่ได้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะโชคชะตา
สองพี่น้องพูดคุยกันอย่างมีความสุข ทั้งยังได้ประลองแลกเปลี่ยนความรู้กันและกัน การประลองนี้แม้ทั้งสองจะไม่ได้สู้สุดตัว แต่ก็ทำให้ ฉู่ฉุนรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่มือของฉู่เหิน โดยเฉพาะวิชาดัชนีกิเลนของฉู่เหินที่ใช้เมื่อกี้ มันราวกับวิชาของเทพเซียนโดยแท้!
ฉู่เหินที่เห็นน้องชายดูจะชอบวิชาดัชนีนี้มาก เขาก็เลยถามออกมา “ฉู่ฉุน นายชอบวิชาดัชนีกิเลนนี้หรือเปล่า? ถ้านายชอบล่ะก็ฉันจะถ่ายทอดวิชาให้นายเอง”
หลังได้ยินฉู่เหินพูดแบบนี้ ฉู่ฉุนก็พยักหน้าโดยไม่ลังเล ฉู่ฉุนรู้สึกมีความสุขมาก พี่ฉู่เหินไม่มีท่าทีห่วงวิชาของตัวเองเลยแม้แต่น้อย แถมยังถ่ายทอดวิชาดัชนีกิเลนให้ทันทีที่รู้จัก นับเป็นยอดคนโดยแท้ หลังจากที่ฉู่ฉุนได้รับการถ่ายทอดวิชาดัชนีกิเลนให้ เขาก็รีบฝึกฝนมันอย่างบ้าคลั่งราวกับพึ่งได้รับของขวัญล้ำค่าจากสวรรรค์
ส่วนวิชาฝ่ามือกิเลนนั้นฉู่เหินไม่ได้ถ่ายทอดให้กับฉู่ฉุน เนื่องจากวิชาฝ่ามือกิเลนมีความรุนแรงมาก ทว่าร่างกายของฉู่ฉุนแม้จะไม่มีบาดแผล แต่เขาเพิ่งจะหายจากอาการเจ็บป่วยจากพิษมา แถมหลายปีมานี้ฝืนร่างกายฝึกวรยุทธ์จนร่างกายเสื่อมสภาพไปหลายส่วน ดังนั้นหากจะฝึกฝนวิชาฝ่ามือกิเลนมันจะเป็นผลร้ายมากกว่าดี
ฉู่เหินรู้มาจากฉู่ฉุนว่าตระกูลฉู่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกฝนวรยุทธ์มาก มือเท้าของคนตระกูลฉู่ใช้ฝึกฝนวรยุทธ์ได้ง่ายดายและลื่นไหว ที่สำคัญก็คือวิชาเนตร!
มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่าศาสตร์เนตร มันเป็นวิชาเกี่ยวกับดวงตา ว่ากันว่าเมื่อฝึกขั้นวิชาจนถึงขั้นตัดวิญญาณ เพียงแค่จ้องมองก็สามารถทำลายดวงดาวได้แล้ว แน่นอนว่าเรื่องนี้จะจริงจะเท็จอย่างไรไม่มีใครทราบ เพราะฉู่เหินก็ไม่เคยเห็นวิชาไหนฝึกได้จนถึงขั้นตัดวิญญาณมาก่อน
และนับจากบรรพกาลเป็นต้นมา วิชาเนตรนี้มีความพิเศษเฉพาะตัวมาก ทำให้ขุมอำนาจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ต่างไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับตระกูลฉู่ แม้สายเลือดของตระกูลฉู่จะเจือจางลงบ้างแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูก ทั้งยังหวาดกลัววิชาเนตรของตระกูลฉู่มาโดยตลอด
จะว่าไปแล้ววิชาดวงตาเป็นวิชาที่ฉู่เหินไม่เคยฝึกฝน ทำให้ฉู่เหินมีความสุขมากที่ได้รู้ว่าเขามีพลังแบบนี้ด้วย ตอนที่ฉู่ฉุนฝึกวิชาดัชนีกิเลน ฉู่เหินก็ลองศึกษาวิชาเนตรไปด้วย! พูดไปก็ยิ้มไป
วันหนึ่งผ่านไป วันที่สอง พี่น้องก็พูดคุยเรื่องทุกอย่างด้วยกัน!
ตอนนี้ฉู่ฉุนสามารถใช้วิชาดัชนีกิเลนขั้นต้นได้แล้ว แต่ยังไม่อาจเทียบได้กับฉู่เหิน อีกทั้งวิชานี้ยากจะทำความเข้าใจ แต่ด้วยการชี้แนะของฉู่เหินและพรสวรรค์ของฉู่ฉุน เด็กหนุ่มเชื่อว่าตัวเองต้องสำเร็จวิชานี้ได้แน่ ๆ
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่ฉู่เหิน ฝ่ามือและนิ้วมือทั้งสองทั้งของฉู่เหินสามารถกักเก็บพลังดวงดาวได้มากมาย จนสามารถฝึกฝนวิชาได้อย่างไม่มีขีดจำกัด หากอยากทำตามฉู่เหินมันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันเกี่ยวกับร่างกายของแต่ละคน
ดังนั้นฉู่ฉุนจึงค่อย ๆ ฝึกฝนอย่างใจเย็น ๆ เพราะเขาไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น
ทั้งวันพวกเขาสองพี่น้องอยู่ด้วยกันไม่ออกไปไหน แลกเปลี่ยนวิชาความรู้ตลอดเวลา จนเวลาผ่านไป 10 วัน ภายใน 10 วันนี้ความสามารถของสองพี่น้องก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ๆ ฉู่ฉุนไม่เพียงแต่สามารถใช้ดัชนีกิเลนได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้อย่างอิสระ
สำหรับวิชาเนตรนั้นฉู่เหินก็สามารถฝึกฝนจนเข้าใจได้อย่างถ่องแท้! ทำให้เขาสามารถใช้วิชาเนตรโจมตีได้อย่างไม่มีปัญหา ที่ฉู่เหินสามารถฝึกฝนได้ขนาดนี้ภายในเวลาอันสั้นเพราะแมวนพเวทย์ แมวนพเวทย์สอนเขาเนื่องจากหลักของวิชามันคล้ายกัน ฉู่เหินเลยขอให้แมวนพเวทย์สอนวิชาให้เขา ฉู่เหินจึงสามารถบรรลุวิชาเนตรนี้ได้อย่างเร็วจนน่าแปลกใจ
ตอนนี้ฉู่เหินฝึกฝนแค่ 10 วันก็รู้ว่านี้มันเทพวิชา! วิชาเนตรชนิดนี้สามารถหลอนประสานอีกฝ่ายได้อย่างเฉียบพลันและชะลอการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายให้ช้าลงได้ เมื่อถึงตอนนั้นถ้าฉู่เหินลงมือทันทีศัตรูก็หมดหนทางรอดแล้ว
ถ้านำวิชาเนตรกับดัชนีกิเลนมาใช้ร่วมกันทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ! ดังนั้นใน 10 วันนี้พวกเขาจึงไม่ได้ออกไปที่ไหนเลย
กลับมาที่ทางด้าน หวังจือหลิน
หวังจือหลินที่อยู่ข้างนอกกำลังโกรธอย่างมาก! เพราะเขาไม่เชื่อใจอาเหมา จึงไม่รู้ว่าต้องไปที่จวนเจ้าเมืองแล้วเอาใบยืนยันตัวอะไรยังไง
ระหว่างหาจวนเจ้าเมืองทุกทิศทางเขาก็พบว่าหลายคนจะมีป้ายชื่อติดตัว มองเข้าไปในฝูงชนก็จะเห็นคนที่ไม่มีป้ายชื่อได้อย่างชัดเจน ตอนกลางวันยังไม่มีปัญหา เพราะคนที่เข้าเมืองโบราณมาใหม่ ๆ จะต้องไปทำเรื่องขอใบยืนยันตัวตนเสียก่อนอยู่แล้ว
ทว่าตกกลางคืน หวังจือหลังวางแผนว่าจะพักที่โรงเตี้ยมหนึ่ง แต่เพราะเขาไม่มีป้ายยืนยันตัวตนทางโรงเตี้ยมจึงไม่ต้อนรับ ไม่ว่าเขาจะไปโรงเตี้ยมใดก็ไม่มีที่ไหนให้เขาเข้าพัก เขาไม่มีทางเลือกทำได้เพียงเดินไปเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดท้าย คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเจอจวนเจ้าเมืองพอดี จวนเจ้าเมืองนั้นมีคนเยอะมาก พวกเขารุมทำร้ายหวังจือหลินจนเละ เพราะหมั่นไส้
สุดท้ายคนในจวนเจ้าเมืองร่วมพลังทั้งหมดเข้าสู้ หวังจือหลินก็ไร้ทางเลือกทำได้เพียงหนีออกมานอกประตูเมือง แต่ที่ทำให้เขาโกรธก็คือพอเขาหนีออกมาแล้วพวกมันก็รีบปิดประตูใส่ทันที ต่อให้เขาอยากเข้าก็กลับเข้าไปไม่ได้แล้ว! และในตอนนี้เองที่เขาได้ยินเสียงคำรามดังก้อง
เขาหันหน้ามองไปอย่างใจเย็น ก็ตกใจที่พบว่าด้านหลังตัวเองหลายร้อยเมตรเต็มไปด้วยร่างของซอมบี้ ซอมบี้พวกนี้แต่ละตัวพวกมันต่างแยกเขี้ยวเตรียมจะโจมตี ตอนนี้หวังจือหลินรู้สึกราวกับว่าโลกกำลังจะแตก
ในใจของหวังจือหลินหวาดกลัวอย่างมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าคุณชายจากตระกูลใหญ่อย่างเขาจะต้องมาร่อนแร่อยู่ในที่แบบนี้ และที่น่าโมโหที่สุดคือคนในเมืองโบราณไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยเหลือ ยังมาทำร้ายเขาซ้ำอีก ตอนนี้เขารู้สึกอาฆาตแค้นคนในเมืองโบราณจนอยากทำลายเมืองนี้ทิ้งซะ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตอนที่ซอมบี้เข้ามาใกล้ขึ้น ๆ ความรู้สึกอยากทำลายเมืองแห่งนี้ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย จนสุดท้ายก็ไม่อาจสะกดความอึดอัดใจได้อีกต่อไป หวังจือหลินเป็นลมสลบไปเพราะความโกรธแค้น
ไม่รู้ว่าเขาหมดสติไปตอนไหนและไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ หวังจือหลินก็ได้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ของฝูงซอมบี้ จากนั้นพวกมันก็แยกเขี้ยวบุกเข้าตีเมืองทันที
หน้าประตูเมืองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านโดยมีเบื้องหน้าเป็นกองทัพซอมบี้ที่กำลังเดินตรงเข้ามา หน้าประตูเมืองปล่อยประกายแสงวูบวาบ หลังจากซอมบี้จำนวนไม่น้อยที่ถูกแสงดังกล่าวก็จะกลายเป็นฝุ่นควันในทันที ซอมบี้ที่เหลือไม่มีใครกล้าโดนแสงนี้พวกมันต่างพากันถอยไปด้านหลัง
หวังจือหลินที่อยู่ตรงกลางทัพซอมบี้เห็นแบบนี้สายตาก็ยิ่งเพิ่มความดุดันยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาคล้ายกับได้รับสิทธิสั่งกองทัพซอมบี้ตรงหน้าได้ จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งให้ซอมบี้เริ่มโจมตีประตูเมืองจากระยะไกล
ซอมบี้เหล่านี้เมื่อก่อนเป็นมนุษย์สามารถใช้วิชาของพวกมนุษย์เป็นปกติ พวกมันรุมโจมตีเมืองจนทำให้ม่านพลังป้องกันเมืองสั่นไหวราวกับจะพังทลายได้ทุกเมื่อ
ม่านพลังป้องกันเมืองกำลังจะถูกทำลาย พอคนในเมืองเห็นก็ตกอกตกใจ ตอนที่คนเหล่านี้ปีนกำแพงเมืองขึ้นมาดู ก็เห็นว่าตรงกลางกองทัพซอมบี้ที่ยืนสั่งการอยู่เป็นหวังจือหลินคนนั้น ทำให้คนในเมืองต่างกัดฟันกรอด พวกเขาไม่คิดว่าจะโดยย้อนศรแบบนี้
แต่เพราะม่านพลังที่ป้องกันเมืองทำให้พวกเขาไม่สามารถออกไปได้ อีกทั้งซอมบี้พวกนี้เยอะมากจริง ๆ ไม่รู้ว่าคนในเมืองจะต้านทานไหวหรือเปล่า บรรยากาศทั่วเมืองจึงอบอวนไปด้วยกลิ่นอายของความหวาดกลัว