บทที่ 241 อยากจะแย่งเอามา

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 241 อยากจะแย่งเอามา

บทที่ 241 อยากจะแย่งเอามา

“ข้าไม่รู้ว่าแซ่เหลยผู้นั้นจะโลภมากเช่นนี้!” ครั้นนึกถึงเรื่องนี้กู้ฉวนลู่ตบโต๊ะอีกครั้ง และแทบอยากจะไปหาเขาเสียตอนนี้ ถามต่อหน้าให้ชัดเจน “บอกพวกเราว่าโกงไปห้าร้อยตำลึงเงิน มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่จัดการเรื่องนี้ เราจึงไม่รู้ว่าสาวน้อยผู้นั้นใช้เงินไปเท่าไร!”

ซุนซื่อกังวลเรื่องที่ดินห้าสิบหมู่ในมือของกู้เสี่ยวหวาน หากที่ดินขนาดห้าสิบหมู่เป็นชื่อของครอบครัวนางจะดีแค่ไหน? ซุนซื่อจึงถามอย่างกระตือรือร้นว่า “สามี พวกเราลองคิดหาวิธีแย่งที่ดินเหล่านั้นมาดีหรือไม่”

กู้ฉวนลู่ไม่ต้องการจะแย่งมา แต่ตอนนี้เมื่อไม้กลายเป็นเรือ*[1]ไปเสียแล้ว จะทำอย่างไรก็เปล่าประโยชน์!

“แย่งมาอย่างไร?”

“สาวน้อยผู้นี้จะไม่มีวันเก็บโฉนดที่ดินไว้ที่ตัวของนาง พวกเราหาคนที่เชี่ยวชาญและขโมยโฉนดที่ดินมาอย่างลับ ๆ” ซุนซื่อแนะนำว่าโฉนดที่ดินนี้ไม่ได้มาพร้อมกับเงิน คาดว่าจะเป็นทางเลือกสุดท้าย และกู้เสี่ยวหวานก็จะไม่ขายที่ดิน

เงินกลายเป็นดิน ยากที่จะแย่งมาได้

“ขโมยมาจะมีประโยชน์อะไร!” กู้ฉวนลู่ขมวดคิ้วด้วยความขุ่นเคือง “ตอนนี้พวกเขามีการศึกษาดีแล้ว พวกเขาต้องมีโฉนดทางการเป็นแน่ มันถูกทำสำเนาไว้ที่ที่ว่าการอำเภอ แม้ว่าสำเนาโฉนดจะสูญหายไป แต่ก็สามารถไปที่ที่ว่าการอำเภอเพื่อขอสำเนาใหม่ โฉนดที่ดินไม่มีประโยชน์สำหรับเรา”

“อ่า?” ซุนซื่อกังวล วางมือบนแขนของกู้ฉวนลู่แล้วเอ่ยถามว่า “สามี เจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไร? เราไม่สามารถจ้องดูชิ้นเนื้ออ้วน ๆ เช่นนี้แล้วไม่กินได้อย่างนั้นหรือ?”

ไม่ใช่ว่ากู้ฉวนลู่ไม่ต้องการกินมัน แต่ประเด็นก็คือตอนนี้เขาไม่สามารถกินมันได้

กู้ฉวนลู่ถอนหายใจและครุ่นคิดหลายวิธี เดินวนไปรอบ ๆ บ้าน จินตนาการถึงวิธีที่จะแย่งเอาที่ดินของกู้เสี่ยวหวานมาได้อย่างไร แต่หลังจากครุ่นคิดมานาน ก็ไม่มีวิธีใดที่ได้ผล

เขาอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าอย่างดุเดือดและกล่าวว่า “เด็กบ้าผู้นี้ นางได้เรียนรู้อะไรมากมาย”

เมื่อคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก “ไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปถามแซ่เหลยผู้นั้น”

กลางดึกคืนนั้นกู้ฉวนลู่เป็นเหมือนมดบนกระทะร้อน ทั้งหงุดหงิด ร้อนรน กระสับกระส่าย หากแต่เขาทำได้เพียงแค่ดับตะเกียงน้ำมัน นอนบนเตียงและพูดคุยกับซุนซื่อ

“สามี พวกเราไม่มีทางแก้ไขเลยหรือ?” ซุนซื่อยังไม่ยอมแพ้ เหตุใดสาวน้อยผู้นั้นถึงได้มีเงินมากมายขนาดนั้น นางเอามันมาจากไหนกัน

“จะมีวิธีใดได้อีก?” กู้ฉวนลู่พ่นลมอย่างเย็นชา “คงไม่สามารถบังคับเด็กบ้านั่นไปที่ว่าการอำเภอและบังคับให้นางเปลี่ยนชื่อได้ใช่ไหม?”

เป็นไปไม่ได้เลย และเมื่อถึงเวลานั้นคงมีคนจับได้

“คราวที่แล้วเราทำได้อย่างแยบยล ลองคิดดูอีกที มันต้องมีวิธีเป็นแน่!” ซุนซื่อไม่เต็มใจ ที่ดินห้าสิบหมู่ หลังจากนั้นมันจะเป็นเงินทั้งหมด

กู้ฉวนลู่ตอบรับหนึ่งคำ มันเป็นเรื่องที่ต้องแย่งมา หากแต่ยังคิดหาวิธีไม่ได้

“ค่อยว่ากันทีหลัง ขอคิดดูก่อนว่าต้องทำอย่างไร!” กู้ฉวนลู่หลับตาและครุ่นคิดอยู่ในใจตลอดเวลา

ซุนซื่อตอบรับหนึ่งคำพลางกำลังคิดอะไรบางอย่าง จึงถามว่า “สามี ในหมู่บ้านอู๋ซีเป็นอย่างไรบ้าง?”

กู้ฉวนลู่คิดถึงจดหมายจากหัวหน้าหมู่บ้าน “ได้ยินมาว่าฉวนโซ่วจะขายที่ดินอีกแล้ว”

“ว่าอย่างไรนะ” ครั้นได้ยินดังนั้น ซุนซื่อก็เริ่มวิตกกังวล นางพลิกตัวกลับมา แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมเขาถึงขายที่ดิน! หลังจากนั้น… มันจะเป็นของเหวินเอ๋อร์ของเรา ทำไมเขาถึงขายมัน!”

“ตอนนี้ที่ดินไม่ได้อยู่ในมือของเราแล้ว ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าทำไมเขาถึงต้องการขายมัน” กู้ฉวนลู่พูดอย่างโกรธเคือง “ครอบครัวนี้เป็นคนชั่ว”

ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการทะเลาะระหว่างซุนซื่อและเฉาซื่อ จนถึงการหย่าร้างของกู้ฉวนโซ่วและเฉาซื่อ ครอบครัวเจ้าสามเป็นคนชั่วและทำให้คนมองไม่ออก

“สามี ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสามกับเฉาซื่อ ตอนนี้เป็นอย่างไร?”

“ได้ยินว่าเป็นเช่นเดิม!”

“จะเป็นไปได้อย่างไร?” ซุนซื่อทำหน้างง “ผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว ตามคำกล่าวที่ว่า คู่รักทะเลาะกันจนแยกเตียง ทำไมเวลาผ่านไปมากกว่าครึ่งปีแล้ว เฉาซื่อและกู้ฉวนโซ่วเพิ่งจะกลับมาคืนดีกัน?”

ยิ่งซุนซื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติมากขึ้นเท่านั้น เป็นเพราะนางทะเลาะกับเฉาซื่อ ดังนั้นกู้ฉวนโซ่วจึงเพิกเฉยต่อเฉาซื่อ?

พูดอะไรไม่ออก! ซุนซื่อไม่อยากเชื่อเลยว่ากู้ฉวนโซ่วจะเพิกเฉยต่อภรรยาของเขาเพราะพี่สะใภ้ได้

“ไม่รู้ แต่หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงยังกล่าวในจดหมายว่าช่วงนี้เจ้าสามกลายเป็นคนลึกลับ” กู้ฉวนโซ่วบอกซุนซื่อว่ามีอะไรอยู่ในจดหมายของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงบ้าง

“ลึกลับขนาดนั้นเลยหรือ?”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร?” กู้ฉวนลู่โบกมือ คืนนี้ช่างยาวนานจริง ๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ความคิดของเขาก็ราวกับหม้อโจ๊ก “นอนเถอะ นอนเถอะ!”

เมื่อเห็นว่ากู้ฉวนลู่เหนื่อยมากและอยากนอน ซุนซื่อก็ห่มผ้าห่มให้กู้ฉวนลู่อย่างครุ่นคิดแล้วนอนลง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กู้ฉวนลู่กล่าวในตอนนี้คือการซื้อที่ดิน ขายที่ดิน และเรื่องครอบครัวของกู้ฉวนโซ่ว

เอาแต่คิดว่าจะเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตนได้อย่างไร ที่ดินห้าสิบหมู่เป็นเหมือนเป็ดต้มที่หมุนวนอยู่ในใจไม่หยุด และทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง

กู้เสี่ยวหวานกำลังนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน ถัดจากนางคือกู้เสี่ยวอี้และกู้หนิงผิงเพราะกู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่านางโตขึ้นแล้ว และเมื่อนางโตขึ้นจะมีความแตกต่างระหว่างชายและหญิง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงพวกเขา ดังนั้นนางจึงให้กู้เสี่ยวอี้นอนตรงกลางเสมอ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่กู้เสี่ยวหวานเริ่มเล่านิทานให้กู้เสี่ยวอี้ฟัง

เมื่อได้ยินเสียงปรบมือของกู้เสี่ยวอี้และกู้หนิงผิง หนังสือที่กู้เสี่ยวหวานอ่านในชีวิตก่อนมีมากกว่าพวกกู้เสี่ยวอี้มากนัก ก่อนนอนทุกวันจึงมีเรื่องเล่าให้เด็ก ๆ ฟัง

แค่ต้องเปลี่ยนเวลา สถานที่ และตัวละครเล็กน้อย

นิทานพันหนึ่งราตรี นิทานของแอนเดอร์สัน นิทานกริมม์ นิทานอื่น ๆ ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับสำนวน กู้เสี่ยวหวานต้องเล่าทุกวันก่อนนอน และสองพี่น้องก็ฟังอย่างเพลิดเพลิน

กู้หนิงอันไม่ได้อยู่ที่บ้านบ่อยนัก และเมื่อเขากลับถึงบ้านเท่านั้นที่เขาได้ยินเสียงเล่านิทางของพี่สาว เขาไม่เคยคิดเลยว่าพี่สาวจะเล่าเรื่องแปลก ๆ ตลก ๆ และน่ารื่นรมย์มากมายขนาดนี้

*[1] เมื่อเรื่องราวดำเนินไปถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้อีก จึงต้องปล่อยเลยตามเลย