บทที่ 242 ก่อไฟ

บทที่ 242 ก่อไฟ

ครั้นกู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้สามารถฟังกู้เสี่ยวหวานเล่าเรื่องได้ทุกวันก่อนนอน หัวใจของกู้หนิงอันก็อิจฉายิ่งนัก พันคำเตือนหมื่นคำมอบหมาย*[1]กระตุ้นให้กู้หนิงผิงตั้งใจฟัง จดจำอย่างตั้งใจ และจะเล่าให้กู้หนิงอันฟังเมื่อเขากลับมา

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ข้อตกลงระหว่างสองพี่น้อง ถ้านางรู้ นางก็จะเล่ามันอีกครั้ง แต่กู้หนิงอันกลัวว่าพี่สาวของเขาจะเหนื่อยเกินไปจึงไม่พูดอะไร

นิทานก่อนนอนคืนนี้คือกระต่ายขาวตัวน้อย

นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวหวานเล่าเรื่องสัตว์ กู้เสี่ยวอี้และกู้หนิงผิงต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้

“ท่านพี่ กระต่ายน้อยสีขาวกับหมาป่าตัวโตสามารถพูดได้หรือไม่?”

“แน่นอน! เราสื่อสารด้วยภาษาของเรา ส่วนสัตว์ก็สื่อสารด้วยภาษาสัตว์ของพวกมัน!” กู้เสี่ยวหวานอธิบาย คาดว่าถ้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับพืช ทั้งสองคงจะถามว่าทำไมดอกไม้และต้นหญ้าถึงพูดได้

กู้เสี่ยวอี้กะพริบตาและถามต่อ “ท่านพี่ ทำไมข้าถึงไม่เข้าใจคำพูดของพวกมัน?”

พี่ฉือโถวเคยเลี้ยงกระต่ายน้อยแสนน่ารักไว้ในบ้านของเขา โดยมันมีขนสีขาวราวหิมะทั่วตัว ดวงตาของมันสีแดงก่ำ เด็กน้อยเคยให้หญ้ากับมันเป็นครั้งคราว แต่ทำไมมันถึงไม่พูดขอบคุณนางล่ะ?

พี่สาวบอกว่า ถ้าเรายอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่น เราก็ต้องขอบคุณพวกเขา!

“พวกมันมีภาษาของมัน เราก็มีของเรา ดูไก่ที่อยู่ในลานบ้านสิ มันร้องกุ๊ก ๆ ทั้งวันใช่หรือไม่?”

“อืม…” กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ตอบรับพร้อมกัน

“นั่นคือพวกมันกำลังสื่อสารกัน พวกมันสามารถเข้าใจคำพูดของกันและกัน แต่เราไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับพวกมัน ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเข้าใจภาษาของมันได้”

“อ๋อ…” ในที่สุดกู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ก็เข้าใจ แต่พวกเขาเริ่มถามคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่อง “ท่านพี่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้ากระต่ายขาวตัวน้อยตัวนี้เปิดประตู?”

ในเรื่องกระต่ายขาวตัวน้อยมีตอนหนึ่งที่หมาป่าตัวร้ายแกล้งทำเป็นแม่กระต่ายเพื่อหลอกกระต่ายขาวตัวน้อย ถ้ากระต่ายน้อยเหล่านั้นไม่ได้คิดอะไรในตอนนั้นและเปิดประตูออกมาจริง ๆ …

“อย่างนั้นกระต่ายขาวตัวน้อยตัวนั้นจะถูกหมาป่าชั่วร้ายจับกินอย่างไรเล่า!” กู้เสี่ยวหวานตั้งใจจะทำให้พวกเขาหวาดกลัว นางจงใจพูดอย่างโหดร้าย กู้เสี่ยวอี้ที่ตกใจจึงโผเข้าไปในอ้อมกอดของนาง

“ท่านพี่ ข้ากลัว!”

กู้เสี่ยวหวานลูบหลังเด็กน้อยแผ่วเบา และปลอบโยน “อย่ากลัว อย่ากลัว! นี่เป็นแค่เรื่องเล่า แต่จากเรื่องนี้ข้าจะบอกคติสอนใจกับพวกเจ้าว่าอย่าไว้ใจใคร แม้แต่คนที่อยู่รอบข้างก็ตาม”

คำพูดของกู้เสี่ยวหวานนุ่มนวลและอ่อนโยน นางจงใจลดเสียงของนางในตอนกลางคืน

ฉินเย่จือที่เรียนการต่อสู้ตั้งแต่เด็ก ทักษะศิลปะการต่อสู้ของเขายอดเยี่ยม คำพูดของกู้เสี่ยวหวาน เขาได้ยินทุกคำอย่างไม่ตกหล่น

เมื่อได้ยินกู้เสี่ยวหวานตักเตือนน้องสองคนของนางว่า ไม่ให้เชื่อใจผู้อื่นได้ง่าย ฉินเย่จือก็พูดไม่ออกและได้แต่แอบชื่นชม

เฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์ความยากลำบากเท่านั้นที่จะรู้ว่าการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวนั้นมีค่าเพียงใด

คำพูดของกู้เสี่ยวหวานหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านเมื่อเร็ว ๆ นี้

เดิมที คนอื่นจะบอกว่าไม่สามารถเชื่อใจคนแปลกหน้าได้ แต่ที่นี่… แม้แต่ญาติก็ไม่สามารถไว้ใจพวกเขาได้

เมื่อฉินเย่จือทำความเข้าใจกับคำพูดของกู้เสี่ยวหวานอย่างละเอียด ก็ตระหนักว่าสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานกล่าวนั้นมีความหมายของนางเอง

อาโม่กล่าวว่าญาติของนางเป็นเหมือนหมาป่าและเสือที่จ้องมองพวกเขาอยู่

ที่กู้เสี่ยวหวานตกลงไปในแม่น้ำก็เป็นเพราะลูกพี่ลูกน้องที่ผลักนางลงไป

ส่วนคนที่อยากจะส่งน้องชายสองคนของนางไปอยู่ที่อื่นก็คือป้าสะใภ้ใหญ่

ผู้ร้ายที่ทำให้กู้เสี่ยวอี้ตกลงมาจากภูเขาก็คือลูกพี่ลูกน้องของนาง

คนที่โลภและต้องการเงินของนางก็คืออาสะใภ้สาม

ญาติพี่น้องรอบตัวของนางนั้นมีมากมาย แต่เทียบไม่ได้เลยกับเพื่อนบ้าน

ฉินเย่จือถอนหายใจเล็กน้อย ครอบครัวนี้เหมือนกับกระต่ายสีขาวตัวน้อยที่ตกลงไปในถ้ำหมาป่า และหมาป่าก็สามารถจับนางกินได้ทุกเวลา

แต่โชคดีที่กู้เสี่ยวหวานได้เกิดใหม่ และตอนนี้นางก็เป็นหมาป่าตัวน้อยที่เพิ่งมีฟันที่แหลมคม แม้ว่าความแข็งแกร่งของนางจะยังน้อยเกินไปก็ตาม

แต่โชคดีที่ยังมีเขา?

ฉินเย่จือมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด สายลมเย็น ๆ พัดผ่านกาย กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของชนบทผสมกับกลิ่นของใบไม้ได้พัดผ่านแตะปลายจมูก

ในวันที่สี่ กู้เสี่ยวหวานตื่นแต่เช้าเพราะคิดว่าวันนี้เป็นวันที่จะได้โฉนดที่ดิน นางจึงนอนไม่หลับ

เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวจากบ้านของครอบครัวกู้ ฉินเย่จือก็ตื่นขึ้นเช่นกัน เขาปัดน้ำค้างที่ตกลงมาบนร่างกายในตอนเช้า พลิกตัวกลับ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปที่แม่น้ำเพื่อล้างหน้า และกลับไปที่บ้านของกู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานที่เพิ่งเปิดประตูและเห็นฉินเย่จือรออยู่ที่ประตู หลังจากที่เห็นเขามาหลายวัน แต่เมื่อเห็นว่าเขายังคงดื้อรั้นอยู่นางก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แม้ว่าเจตนาฆ่าในดวงตาของเขาจะลดลงไปมากจากครั้งที่เขาตื่นขึ้นมาครั้งแรก แต่คนดีจะได้รางวัลใช่หรือไม่?

ในวันนี้ กู้เสี่ยวหวานมีความสุขเพราะอีกสักพักนางจะเข้าเมืองเพื่อไปรับโฉนดที่ดิน เมื่อเห็นฉินเย่จือมา นางไม่ได้รู้สึกรังเกียจอีกต่อไป เมื่อเห็นว่าเขาเปิดประตูไม้ของลานรั้วด้วยตัวเอง กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้พูดอะไร

ฉินเย่จือรู้สึกดีใจมาก เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ตอนนี้ อย่างน้อยเด็กหญิงผู้นี้ก็ไม่ได้ไล่เขาออกไป

กู้เสี่ยวหวานมาที่ห้องครัว โดยมีฉินเย่จือเดินตามเข้ามา หลังจากล้างหน้าเสร็จแล้ว กู้เสี่ยวหวานวางแผนที่จะก่อไฟ เมื่อมองไปที่ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ในครัว จึงเอ่ยถามว่า “เจ้าอยากกินด้วยหรือไม่?”

ฉินเย่จือพยักหน้าและกะพริบตา ซึ่งดวงตาคู่นั้นเจิดจ้าราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า “อืม แน่นอน!”

กู้เสี่ยวหวานตอบรับหนึ่งคำ “ถ้าเจ้าอยากกิน เจ้าก็ต้องทำอะไรสักอย่าง”

ฉินเย่จือดีใจมาก นี่ถือว่านางยอมรับเขาแล้วใช่หรือไม่?

“ตกลง จะให้ข้าทำอะไรล่ะ?” ฉินเย่จือมองไปรอบห้องครัว โดยไม่รู้ว่าเขาจะช่วยอะไรได้

“แค่ก่อไฟ!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวโดยไม่เงยหน้า เพราะกำลังยุ่งกับแป้งในมือ

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ฉินเย่จือเคยเห็นกู้หนิงผิงก่อไฟ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าการก่อไฟหมายความว่าอย่างไร

แต่เมื่อถือฟืนอยู่ในมือ เขาก็เจอกับปัญหา

แล้วตะบันไฟล่ะ?

เขาหามันอยู่นาน แต่ก็หาไม่พบ ถ้าไม่มีตะบันไฟแล้วเขาจะก่อไฟได้อย่างไร?

กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าฉินเย่จือกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่าง แต่เนื่องจากนางกำลังจดจ่อกับแป้งที่อยู่ในมือจึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา

“แม่นางกู้ ข้าขอถามสักหน่อยว่าตะบันไฟอยู่ที่ไหน?” ฉินเย่จือมองไปทางไหนก็ไม่เจอ แม่นางผู้นี้ดูเหมือนจะผสมแป้งเสร็จแล้ว ถ้าเขาก่อไฟขึ้นมาได้ เขาก็คงจะไม่ถูกรังเกียจแล้วใช่หรือไม่

*[1] ถามซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นการแสดงออกถึงความสำคัญ และสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งที่ได้รับคำสั่งสอน