บทที่ 243 ทั้งสองร่วมมือกัน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 243 ทั้งสองร่วมมือกัน

บทที่ 243 ทั้งสองร่วมมือกัน

ฉินเย่จือใบหน้าบึ้งตึง แค่เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้เขาจะทำไม่ได้เชียวหรือ ไม่ได้การล่ะ เขาต้องรีบถาม

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา นางเพียงแค่ปัดผมที่ร่วงลงมาด้วยแขนเสื้อของนางพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องใช้ตะบันไฟ เจ้าแค่เอาอิฐออกจากเตา เขี่ยมันสักหน่อย จากนั้นโยนเศษฟืนเข้าไป แล้วค่อย ๆ เป่า แค่นั้นก็ได้แล้ว”

บ้าไปแล้ว หากชาวบ้านก่อไฟด้วยตะบันไฟ อย่างนั้นก็คงต้องใช้เงินมาก

ฉินเย่จื่อได้ยินคำอธิบายของกู้เสี่ยวหวาน และเห็นว่ากู้หนิงผิงคงจะคุ้นเคยกับวิธีการนี้ และคิดว่าชีวิตมันก็ง่ายอย่างนี้นี่เอง

ยิ่งกว่านั้น ตอนที่เขาอยู่ข้างนอกบ่อย ๆ เขามักเห็นอาโม่ก่อไฟ ดังนั้นมันน่าจะง่าย

ฉินเย่จือทำตามคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน เอาอิฐที่อยู่หน้าเตาออก และเห็นถ่านที่ยังมีเชื้อไฟอยู่ภายในเตา ดูแล้วคนในหมู่บ้านคงจะจุดไฟเช่นนี้ โดยไม่ต้องเปลืองฟืนและไม่ใช้ตะบันไฟ

ฉินเย่จือรีบเอาเศษฟืนโยนเข้าไป จากนั้นจึงเขี่ยมันเล็กน้อยตามที่กู้เสี่ยวหวานแนะนำ แล้วเขาก็เป่าลมเข้าไปในเตา

ทำเสร็จหมดแล้ว แต่เหตุใดยังจุดไม่ติดเล่า?

ฉินเย่จือรู้สึกร้อนใจและเหลือบมองไปที่กู้เสี่ยวหวาน นางนวดแป้งช้าลง และแป้งก็กลายเป็นลูกกลม คาดว่าถ้านวดแป้งเสร็จแล้ว แต่เขายังก่อไฟไม่ติดเลย

ฉินเย่จือจึงคิดหนักว่าควรทำอย่างไรดี?

ไม่สนใจก็ไม่ได้ มีแต่ต้องรีบก่อไฟให้ติดก่อนที่นางจะนวดแป้งเสร็จ

ฉินเย่จือก้มหัวและเป่าเข้าไปในเตาอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าไฟค่อย ๆ ลุกขึ้น ฉินเย่จือก็ภูมิใจมาก ดูเหมือนว่าการก่อไฟจะไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น!

ฉินเย่จือโยนฟืนเข้าไปอีกสองสามชิ้นอย่างพอใจ และมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอีกครั้ง นางก็นวดแป้งเสร็จแล้ว และกำลังพักมันไว้ที่ด้านข้าง จากนั้นจึงหยิบชิ้นเนื้อออกมาแล้วหั่นเป็นชิ้น ดูเหมือนวันนี้จะได้กินเนื้อ

ฉินเย่จือไม่เคยสนใจเรื่องอาหารมาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นกู้เสี่ยวหวานกำลังทำอาหาร เขาก็ตื่นเต้นราวกับว่าท้องเขากำลังร้องเพลง

กู้เสี่ยวหวานหั่นเนื้อเป็นลูกเต๋าเสร็จแล้วจึงมองไปที่ฉินเย่จือ “เสร็จหรือยัง?”

ฉินเย่จือก็บังเอิญจ้องมองไปที่นาง ดวงตาทั้งสองสบกัน กู้เสี่ยวหวานที่เห็นมันอย่างชัดเจนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา และหลังจากที่มองไปที่ดวงตาที่สับสนของฉินเย่จือ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางเอามือกุมท้องชี้ไปที่ฉินเย่จือและหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

ฉินเย่จือรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่เขาไม่รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานหัวเราะอะไร จึงสับสนเล็กน้อย “แม่นางกู้ เจ้าเป็นอะไร?”

กู้เสี่ยวหวานหัวเราะจนปวดท้อง เมื่อมองดูเขม่าสีดำบนใบหน้าของฉินเย่จือ นางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกลั้นหัวเราะเอาไว้ ทว่าเมื่อมองอีกครั้ง ใบหน้าที่ขาวและงดงามตอนนี้กลับเปื้อนไปด้วยเขม่าสีดำ มันยิ่งทำให้นัยน์ตาของเขากลายเป็นสีดำสนิทมากขึ้นไปอีก แต่ถึงกระนั้นก็ยากที่จะซ่อนความงดงามตามธรรมชาติของเขาได้

“หน้าของเจ้า…” กู้เสี่ยวหวานกลั้นเสียงหัวเราะ ห้ามยิ้มสิห้ามยิ้ม

ฉินเย่จือยังคงงงงวย เมื่อคิดว่าสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานกล่าวคือสิ่งที่สกปรกบนใบหน้าของเขา เขารีบเช็ดใบหน้าของเขาด้วยมือ และก็มีรอยดำเปื้อนบนใบหน้าของเขาอีกสองแห่ง กู้เสี่ยวหวานที่กลั้นขำต่อไปไม่ไหวจึงหัวเราะออกมา

เมื่อกู้เสี่ยวหวานหัวเราะ คิ้วของนางโค้งราวกับดวงจันทร์บนขอบฟ้า และดวงตาของนางดูราวกับดวงดาวบนขอบฟ้า ช่างบริสุทธิ์ไร้ที่ติเสียจริง ๆ

ฉินเย่จือพบว่าแม่นางผู้นี้ที่ปกติแล้วจะมองเขาอย่างดุร้าย แต่เมื่อยิ้มขึ้นก็ดูน่ารักไม่น้อยเลย

ครั้นมองดูมือของตนเอง เขาก็พบว่ามือของเขานั้นดำสนิท ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่เขาก่อไฟอย่างตั้งใจจนไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่เมื่อตอนนี้สังเกตเห็นแล้วเขาจึงพยายามเช็ดมันออกไป

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเย่จือก็ยินดีเช่นกัน เมื่อนึกถึงความดำและขี้เถ้าบนใบหน้าของตน ความหงุดหงิดของฉินเย่จือก็หายไป นี่เป็นครั้งแรกที่แม่หญิงผู้นี้ยิ้มให้ตนเอง แม้ว่ารู้ว่าเป็นเพียงการหัวเราะเยาะ แต่อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย และในอนาคตคงพูดคุยกันง่ายขึ้น!

ฉินเย่จือใช้น้ำในอ่างล้างหน้าและมือให้สะอาด จากนั้นจึงกลับไปนั่งหน้าเตาอีกครั้ง หน้าเตานั่นค่อนข้างแคบ เมื่อคนตัวสูงใหญ่เช่นเขาไปนั่งอีก มันก็ดูยิ่งแน่นเข้าไปใหญ่ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขยับเก้าอี้มานั่งด้านข้างและโยนฟืนเข้าไปแทน

ตำแหน่งที่นั่งของฉินเย่จื่อก็ทำให้เห็นการเคลื่อนไหวของกู้เสี่ยวหวานได้พอดี

น้ำในหม้อเดือดแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงใส่เนื้อหั่นเต๋าลงไป หากแต่มีดในมือของนางก็ไม่หยุดลง นางถือแป้งในมือซ้ายและมีดในมือขวา แล้วตัดแป้งเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ไปในหม้อ รอจนน้ำเดือดอีกครั้ง และเกี๊ยวก็สุกแล้ว

ระหว่างทำอาหาร กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ก็ตื่นแล้วเช่นกัน ทั้งสองขยี้ตาและไปที่ห้องครัว จากนั้นส่งเสียงเรียกพี่สาวของเขา

เมื่อเห็นฉินเย่จือกำลังนั่งอยู่หน้าเตา กู้หนิงผิงก็ไม่อยากจะเชื่อ เกรงว่าเขาคงตื่นเช้าเกินไป ตาจึงเต็มไปด้วยขี้ตาจึงทำให้มองได้ไม่ชัด แต่หลังจากขยี้ตาแล้วก็เห็นได้ชัดเจนว่าฉินเย่จือกำลังส่งยิ้มให้เขา

“ตื่นแล้วหรือ?” ฉินเย่จือทักทายเด็กทั้งสองคน เด็กสองคนนี้สับสนยิ่งกว่ากู้เสี่ยวหวานเสียอีก

ไม่ผิด อันที่จริงกู้หนิงผิงสงสัยเกี่ยวกับฉินเย่จือมาก เด็กผู้ชายก็เป็นเช่นนี้ ตราบใดที่พวกเขารู้สึกว่าไม่มีอันตรายอยู่รอบตัวพวกเขา มันง่ายที่จะอยากรู้อยากเห็นกับเด็กผู้ชายที่เขาประทับใจ และจากนั้นก็กลายเป็นเพื่อนกัน

“ท่านพี่…” เพียงแต่พี่สาวไม่ต้องการให้คนผู้นี้มาที่บ้าน ความจริงแล้วกู้หนิงผิงเป็นคนที่เชื่อฟังพี่สาวของเขา แต่เมื่อเห็นคนผู้นี้มาปรากฏตัวในครัวเล็ก ๆ ของบ้าน และช่วยพี่สาวก่อไฟ คิดอย่างไรก็รู้สึกแปลกประหลาด

“ท่านพี่…” กู้เสี่ยวอี้ก็มาข้างหลังกู้เสี่ยวหวาน และจ้องไปที่ฉินเย่จืออย่างสงสัย

ความงดงามของฉินเย่จือนั้น เมื่อเขาหัวเราะก็มักจะรู้สึกราวกับฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึง ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงสายลมฤดูใบไม้ผลิ เมื่อเขายิ้มให้เด็กทั้งสอง เด็กทั้งสองก็ยิ้มให้เขาด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดว่าพี่สาวยังคงอยู่ที่นั่นก็รีบหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว และซ่อนตัวอยู่ข้างหลังกู้เสี่ยวหวาน โดยไม่มองไปที่ฉินเย่จืออีก

ฉินเย่จือรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย เด็กเหล่านี้เชื่อฟังคำพูดของพี่สาวจริง ๆ

กู้เสี่ยวหวานที่ได้เห็นปฏิสัมพันธ์อย่างเงียบ ๆ ระหว่างพวกเขาแล้วก็ยิ้มพึงพอใจออกมา จากนั้นจึงคนหม้อสองสามครั้งด้วยทัพพีไม้ หลังจากที่กู้หนิงอันและกู้เสี่ยวอี้ล้างหน้าเสร็จ เกี๊ยวก็พร้อมแล้ว

กู้เสี่ยวหวานคิดว่าจะไม่เข้าไปในบ้านเพื่อทานอาหาร เนื่องจากข้างนอกอากาศดีมากและไม่มีแดดเลย อากาศข้างนอกสดชื่นและอุณหภูมิพอเหมาะเหมือนอยู่ในบ้าน กู้เสี่ยวหวานจึงยกอาหารมาที่ข้างนอก วันนี้มากินอาหารเช้าข้างนอกกันเถอะ

เมื่อก่อนที่อยู่ในชนบทก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?