บทที่ 239 ตระหนักรู้คุณสมบัติกาย ค่ายกลใหญ่คืนชีพบรรพชน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 239 ตระหนักรู้คุณสมบัติกาย ค่ายกลใหญ่คืนชีพบรรพชน

เมื่อฟังคำพูดของหยางเทียนตงจบ หานเจวี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

เขาโกรธมาก แต่รู้สึกหมดคำพูดมากกว่า

หยางเทียนตงไม่ได้ร้องขอความเป็นธรรม และก็ไม่ได้โกรธแค้น แสดงว่าเขาไม่มีเหตุผลมากพอ

หานเจวี๋ยถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงหาคนมาแลกเปลี่ยนฝีมือด้วย”

หยางเทียนตงกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ลูกน้องข้าบอกว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจ ข้าไม่เชื่อ…”

“แลกเปลี่ยนฝีมือเหตุใดต้องลงมือฆ่าแกงกันด้วย”

“เขาบอกว่าเขาไม่แลกเปลี่ยนฝีมือ ฆ่าศัตรูเท่านั้น ข้าจึงบอกว่าเช่นนั้นก็คิดว่าฆ่าศัตรูเถอะ…”

“…”

หานเจวี๋ยยอมแล้ว

กล่าวเช่นนี้ก็ไม่สามารถโทษคนอื่นได้

หยางเทียนตงยั่วยุฝ่ายตรงข้ามก่อนเอง

หยางเทียนตงอยากหาที่มุดลงไปแทบทนไม่ไหว ไม่กล้ามองหน้าหานเจวี๋ยเลย

หานเจวี๋ยพูด “เช่นนั้นเจ้าไปเกิดใหม่เถอะ ชาติหน้าค่อยบำเพ็ญตบะใหม่”

กล่าวจบหานเจวี๋ยก็หายไปจากที่เดิม

เขาขี้เกียจปลอบใจหยางเทียนตง แต่ก่อนจะไปเขายังถ่ายทอดคำพูดไปให้ยายเมิ่ง หวังให้หยางเทียนตงไปเกิดในภพภูมิที่ดีได้

ไม่ว่าอย่างไร หยางเทียนตงก็เป็นศิษย์คนแรกของเขา

หยางเทียนตงกลับไปต่อแถวใหม่อย่างอกสั่นขวัญหาย

น่าเศร้าที่เขาพบว่าตนไม่อาจแทรกแถวเข้าไปในตำแหน่งเดิมได้ ต้องไปต่อแถวใหม่อีกครั้ง

หยางเทียนตงทอดสายตามองออกไป ดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนล้วนโดดเดี่ยว

จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจภายหลัง หากเขาอยู่บนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนตลอดละก็…

น่าเสียดาย ไม่มีคำว่าหากอีกแล้ว

ชาติหน้าเป็นไปได้สูงว่าเขาจะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่อาจารย์ของเขาจะพาศิษย์คนอื่นๆ แข่งขันบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรต่อไป

หยางเทียนตงยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวดใจ

เขาได้แต่โกรธตนเอง โกรธใครอื่นไม่ได้ทั้งนั้น

……

เมื่อกลับมาถึงถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยเริ่มคำนวณหาปีศาจบนโลกมนุษย์ที่สังหารหยางเทียนตง

เขาที่ใกล้จะบรรลุระดับจักรพรรดิเซียนสัมผัสกรรมได้พอสมควรแล้ว เมื่อคิดคำนวณจากหยางเทียนตงสามารถพบปีศาจตนนั้นได้อย่างง่ายดาย

อีกฝ่ายเป็นปีศาจในระดับฝ่าด่านเคราะห์ตนหนึ่ง หลบฝึกฝนอยู่ในภูเขาลึกป่าโบราณ ในระยะร้อยลี้ไม่มีปีศาจตัวที่สองอีก

ดูเหมือนจะสันโดษมาก

คาดว่าคงเหมือนกับหานเจวี๋ย เป็นผู้ที่มุมานะฝึกบำเพ็ญ จนปัญญาที่ถูกหยางเทียนตงรบกวนเข้า

หานเจวี๋ยไม่ได้ไปหาเขาเพื่อแก้แค้น เรื่องนี้นับว่าหยางเทียนตงหาเรื่องใส่ตัวเอง

ก็ดีเหมือนกัน ให้หยางเทียนตงไปเกิดใหม่ขัดเกลาคุณสมบัติเสียหน่อย

มีดวงชะตาแต่กำเนิดของชนรุ่นหลังเทพปีศาจในโลกมนุษย์นั้นไม่ดีพอจริงๆ เขารั้งท้ายอยู่หลังขบวนไปแล้ว

หากชาติหน้ายังไม่ได้ เช่นนั้นก็เกิดใหม่เรื่อยๆ!

หานเจวี๋ยไม่คิดอะไรมากอีก ทำความเข้าใจมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดต่อ

ใต้ต้นฝูซัง คนทั้งหมดล้วนพากเพียรฝึกบำเพ็ญ พูดคุยเล่นกันน้อยมาก

เรื่องการแตกดับของหยางเทียนตง หานเจวี๋ยไม่ได้ประกาศให้รู้กัน

เมื่อหานเจวี๋ยซาบซึ้งในมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เขาค้นพบว่ากายดาราอนธการของตนเองเริ่มแสดงผลแล้ว

ในส่วนลึกวิญญาณของเขาปรากฏทะเลดวงดาวขึ้นผืนหนึ่ง นับร้อยล้านดวงดาราเปล่งประกายระยิบระยับ

หานเจวี๋ยเชื่อมต่อมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดกับดวงดาราเหล่านี้ มหามรรคเวียนว่ายตายเกิดถูกกระตุ้นและทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยเข้ามาอยู่กลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ผืนดวงดาวพร่างพรายทำให้เขาใจลอย

จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่เข้าใจกายดาราอนธการเลย

ก่อนหน้านี้มัวแต่ฝึกฝน จึงละเลยการศึกษาเรื่องคุณสมบัติกายไป

หานเจวี๋ยตัดสินใจว่าต่อไปจะวางเป้าหมายไว้ที่กายดาราอนธการ

เขาเกิดความคิดอุกอาจขึ้นมาอย่างหนึ่ง

หากว่าเขาสร้างจักรวาลแห่งหนึ่งขึ้นมา จากนั้นจักรวาลค่อยๆ เพิ่มทวีเหมือนเช่นสวรรค์หมื่นโลกาในยามนี้ เช่นนั้นดวงชะตาทั้งหมดก็จะมารวมอยู่ที่ตัวเขา

ดวงชะตาของแดนเซียนและหมื่นโลกรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นมิใช่มรรคาสวรรค์หรอกหรือ

หานเจวี๋ยใจเต้นโครมคราม

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงตำนานเรื่องผานกู่เบิกฟ้าขึ้นมา

หรือว่าผานกู่เบิกฟ้าเสร็จสิ้นแล้วไม่ได้สละชีวิตตัวเอง แต่กลายร่างเป็นมรรคาสวรรค์ กลายเป็นการดำรงอยู่ที่เทพเซียนก็ไม่อาจจินตนาการได้

หานเจวี๋ยระงับความตื่นเต้นในใจไว้

แผนการนี้ใช้เวลายาวนานเกินไป

แดนเซียนค่อยๆ ขยายใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ ใครจะรู้ว่าใช้เวลาไปกี่ปี

อาจจะยาวนานจนเกินคำจำกัดความของเวลาไปแล้ว

……

ในคุกยักษ์แห่งหนึ่ง โจวฝานและโม่ฟู่โฉวกำลังนั่งขัดสมาธิโคจรพลัง ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคนเท่านั้น ยังมีคนอื่นๆ อีก ล้วนเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ให้แก่ฟางเหลียงแล้วถูกคุมขังไว้ที่นี่

บนทางเดินมืดสลัวนอกประตูคุกมีผู้บำเพ็ญหลายสิบคนกำลังเดินลาดตระเวน

ห้องขังห้องอื่นก็มีผู้บำเพ็ญถูกคุมขังอยู่ไม่น้อย ทั้งหมดกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่

โม่ฟู่โฉวลืมตาขึ้น กล่าวเสียงต่ำ “แปลกจริง เจ้าไม่คิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีลับลมคมในมากหรือ”

โจวฝานลืมตาตามและถามขึ้นมา “หมายความว่าอย่างไร”

“ตระกูลกู้ไว้ชีวิตพวกเรามากขนาดนี้ ไม่กลัวภัยแอบแฝงหรือไร”

“อาจจะจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากพวกเรา”

“นั่นก็ถูก”

โม่ฟู่โฉวขมวดคิ้วแน่น

ตระกูลกู้จะใช้งานพวกเขาอย่างไร

ต้องใช้คนมากขนาดนี้เชียวหรือ

โม่ฟู่โฉวเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ

คนข้างๆ ถอนหายใจกล่าวว่า “ไว้ชีวิตคนมากขนาดนี้ ทั้งยังมาจากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ต้องใช้เพื่อการสังเวยแน่นอน พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าตระกูลกู้มีบรรพชนอยู่ท่านหนึ่ง ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับจักรพรรดิเซียนแล้ว ฟางเหลียงผู้นั้นเก่งกาจเช่นนี้ได้ ก็เพราะได้วิญญาณบรรพชนชี้ทางเบิกปัญญา”

คนอื่นๆ ก็พากันพูดขึ้นมา

“ใช่แล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าจะคืนชีพบรรพชนของพวกเขา”

“เช่นนี้ก็หมายความว่า ฟางเหลียงเป็นแค่หมากหรือ”

“พูดเหลวไหล มิเช่นนั้นจะตกอยู่ในสภาพสติฟั่นเฟือนได้หรือ อย่ามองว่าเขาเก่งกาจ อันที่จริงอยู่ไม่สู้ตายน่ะสิ”

“ว่ากันว่าก่อนนี้ประมุขตระกูลกู้คิดจะให้ลูกสาวแต่งกับฟางเหลียง สุดท้ายฟางเหลียงปฏิเสธ ฟางเหลียงจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”

“ฟางเหลียงไม่ใช่แม่ทัพวังสวรรค์หรือ เหตุใดวังสวรรค์ถึงไม่ส่งคนมา”

“วังสวรรค์ผูกสัมพันธไมตรีกับวังเทพ มีหรือจะล่วงเกินวังเทพเพียงเพราะแม่ทัพสวรรค์ธรรมดาผู้หนึ่ง”

“เฮ้อ ภายใต้กระดานหมากของกลุ่มอิทธิพลใหญ่ เวไนยสัตว์ล้วนเป็นมดทั้งสิ้น”

ขณะที่ฟังคำพูดของผู้คนรอบด้าน โจวฝานและโม่ฟู่โฉวสบตากันทีหนึ่ง

โจวฝานถามเสียงต่ำ “เจ้าว่าหานเจวี๋ยจะมาหรือไม่”

โม่ฟู่โฉวกลอกตาใส่เขาก่อนจะกล่าว “สหายหานยังอยู่ในโลกมนุษย์ จะมาได้อย่างไร”

โจวฝานคิดว่ามีเหตุผล

“หากเขามา ตระกูลกู้ต้องไม่เหลือรอดแน่นอน” โจวฝานกล่าวหยอกล้อ

เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว เขาไม่สงสัยพลังแท้จริงของหานเจวี๋ยอีก มีแต่จินตนาการอย่างไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น

โจวฝานรู้จักหานเจวี๋ยดี เจ้านี่ระมัดระวังมาก ไม่ชอบสร้างปัญหา แต่หากใครกล้ายั่วโมโหเขา จะไม่มีจุดจบที่ดีแน่นอน

โม่ฟู่โฉวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาจจะกระมัง”

เขาเกิดลางสังหรณ์บางอย่าง ปัญหาของตระกูลกู้กำลังจะมาเยือนแล้ว!

……

สามปีต่อมา

โจวฝาน โม่ฟู่โฉว และนักโทษที่ถูกคุมขังคนอื่นถูกกรอกยาพิษพิเศษชนิดหนึ่ง ส่งผลให้พลังเวทของพวกเขาสลายไป ไม่อาจโคจรพลังได้อีก

ต่อมา พวกเขาก็ถูกคุมตัวเดินออกไปจากคุกใต้ดินพร้อมกัน

ครึ่งชั่วยามต่อมา

พวกเขาถูกส่งตัวมาที่สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง นี่คือสถานที่ที่ฟางเหลียงได้รับการชี้ทางเบิกปัญญาในตอนนั้น

คนทั้งหมดตื่นเต้นมาก

ประมุขตระกูลกู้นั่งอยู่ในหอสูง มีฟางเหลียงยืนอยู่ด้านหลัง

ฟางเหลียงใบหน้าไร้ความรู้สึก สวมชุดคลุมเต๋าที่มีลวดลายยันต์ชนิดต่างๆ ประทับอยู่ ดูแปลกประหลาดไปทั้งตัว

ประมุขตระกูลกู้โบกมือ ผู้บำเพ็ญของตระกูลกู้ที่อยู่รอบๆ แท่นบูชาก็พากันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และเริ่มแสดงวิชา

โจวฝานขมวดคิ้วพูด “จะเริ่มแล้วหรือ”

โม่ฟู่โฉวไม่ได้ตอบ แต่พยายามโคจรพลังอย่างสุดชีวิต แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจกระตุ้นให้เกิดพลังเวทได้

นักโทษที่เหลือตกอยู่ในความโกลาหลอลหม่าน หลายคนถึงกับเริ่มก่นด่าสาปแช่งตระกูลกู้

สตรีที่มีนามว่ากู้ซินปรากฏตัวข้างๆ ประมุขตระกูลกู้ นางหันหน้าไปมองฟางเหลียงและถามขึ้นมา “ท่านพ่อ ทำเช่นนี้จะช่วยฟางเหลียงได้จริงหรือ”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น เหตุที่เขาสติฟั่นเฟือนก็เพราะรับสืบทอดตบะของบรรพชนไม่ไหว เมื่อคืนตบะกลับไป เขาก็จะกลับมาเป็นปกติได้”

ประมุขตระกูลกู้ตอบกลับ จากนั้นก็จ้องมองค่ายกลที่อยู่บนแท่นบูชาด้านล่าง

ค่ายกลใหญ่คืนชีพบรรพชนทำงานแล้ว!

……………………………………….