บทที่ 240 บรรพชนที่น่าหวาดผวา

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 240 บรรพชนที่น่าหวาดผวา

ประมุขตระกูลกู้ลุกขึ้น เดินออกจากหอสูงมาที่หน้ารั้วกั้น ก่อนจะก้มมองค่ายกลใหญ่คืนชีพบรรพชนที่อยู่ด้านล่าง

ยอดผู้บำเพ็ญของตระกูลกู้เก้าสิบเก้าคนใช้พลังเวทของตนเองเปิดค่ายกล ม่านแสงสีม่วงขนาดยักษ์แผ่ปกคลุมแท่นบูชาไว้

เมฆอัสนีพวยพุ่งออกมารวมตัวกันเหนือม่านแสงสีม่วง มันขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว แผ่กระจายไปทั่วฟ้าดิน

ครืนๆ…

เสียงฟ้าร้องสะเทือนเลื่อนลั่นจนหูแทบหนวก

ในดวงตาของประมุขตระกูลกู้เผยแววบ้าคลั่งออกมา

‘ท่านบรรพชน ลูกหลานกำลังจะคืนชีพให้ท่าน! ใกล้แล้ว!’

เขาคำรามอย่างบ้าคลั่งในใจ ตื่นเต้นจนถึงขีดสุด

ครั้นเขายกมือขึ้นโบก ฟางเหลียงก็พุ่งผ่านด้านข้างและทะยานขึ้นบนอากาศทันที จากนั้นค่อยๆ ก้าวไปอยู่เหนือค่ายกลใหญ่คืนชีพบรรพชน

สายฟ้านับไม่ถ้วนสอดประสานไปมาบนตัวฟางเหลียง ทว่าเขากลับไม่ขมวดคิ้ว

พลานุภาพกดดันที่น่ากลัวปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน

“ตระกูลกู้จะคืนชีพให้บรรพชนของพวกเขาจริงหรือ” โจวฝานเบิกตากว้าง

เขาก็เป็นคนที่คืนชีพมาแล้วหลายครั้ง แต่ล้วนพึ่งพาตัวเองทั้งสิ้น คนตระกูลกู้กลุ่มนี้เข้ารีตมารกันหมดแล้วหรือ

โม่ฟู่โฉวกัดฟันด่า “สมควรตาย! นี่พิษอะไรกัน ไม่อาจสลายได้เลย!”

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฟางเหลียงยังไม่ทันตาย พวกเขาก็ถูกสังเวยไปก่อนแล้ว

คนที่เหลือหวาดกลัวกันสุดขีด กระทั่งว่ามีคนฝืนพุ่งออกจากค่ายกลใหญ่คืนชีพบรรพชน ผลคือถูกสะเทือนกลับมา

ฟิ้ว…

มีเสียงแหวกอากาศดังเข้ามา เห็นเพียงง้าวยาวเล่มหนึ่งพุ่งลงมาจากบนฟ้าก่อนแทงทะลุค่ายกลใหญ่คืนชีพบรรพชน ปลายง้าวเสียบอยู่บนแท่นบูชา สั่นสะเทือนเสียจนพื้นผิวแท่นบูชาเกิดรอยแตกร้าว

คนทั้งหมดหันไปมองพร้อมกัน

ง้าวยาวเล่มนี้เป็นสีขาวเงินทั้งเล่ม ใบง้าวโค้งดุจจันทร์เสี้ยว ส่องประกายแวววาว ระหว่างใบง้าวกับด้ามง้าวราวกับมีมังกรเงินตัวหนึ่งพันรัดอยู่ ดูทรงพลานุภาพยิ่งนัก

“ใครกล้าทำร้ายศิษย์น้องข้า!”

เสียงตะคอกทรงอำนาจดังก้องฟ้าดิน ดึงดูดให้คนทั้งหมดแหงนหน้าขึ้นไปมอง

เห็นแต่มู่หรงฉี่ที่สวมเกราะเงินของแม่ทัพสวรรค์เหยียบกิเลนตัวหนึ่งโจมตีเข้ามา พุ่งทะลุผ่านเมฆอัสนี โดยมีแสงเทพเปล่งประกายอยู่ด้านหลัง

ประมุขตระกูลกู้ขมวดคิ้ว แอบเอ่ยว่า “แม่ทัพสวรรค์หรือ นี่วังสวรรค์หมายความว่าอย่างไร”

เขารีบโบกมือส่งสัญญาณให้บรรดาผู้บำเพ็ญตระกูลกู้ลงมือ

ในพริบตานั้น ผู้บำเพ็ญตระกูลกู้นับร้อยคนพุ่งขึ้นฟ้า บุกไปสังหารมู่หรงฉี่

เมื่อมู่หรงฉี่กวักมือ ง้าวยาวมังกรเงินก็พุ่งกลับมาอยู่ในมือเขาอย่างรวดเร็ว

เขามองไปทางฟางเหลียง ครั้นพบว่าศิษย์น้องราวกับศพเดินได้ก็เดือดดาลขึ้นมาทันที ดวงตาแทบจะแดงก่ำหมดแล้ว

……

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยกำลังฝึกฝนอยู่ หลายปีมานี้เขาศึกษาเจาะลึกเรื่องกายดาราอนธการโดยเฉพาะ พลังเวทในร่างเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

เขาค้นพบว่าดาวทุกดวงในร่างกายสามารถเก็บพลังเวทได้ อีกทั้งยังเก็บได้ไม่น้อยด้วย

หากหมื่นล้านดวงดาราเติมพลังเวทจนเต็ม และกระตุ้นออกมาพร้อมกันในเวลาต่อสู้ เช่นนั้นจะระเบิดพลานุภาพที่สามารถทำลายฟ้าดินได้!

แค่คิดหานเจวี๋ยก็ตื่นเต้นมากแล้ว

นอกจากนี้ หานเจวี๋ยมักรู้สึกว่ากายดาราอนธการอาจจะซ่อนความลี้ลับที่ทรงพลังยิ่งกว่าเอาไว้

ตอนนี้เอง ด้านหลังหานเจวี๋ยพลันปรากฏคลื่นวนสีดำขึ้นมา เขารับรู้ได้ถึงการเรียกหาจากวิชาอัญเชิญเทพ

‘เกิดอะไรขึ้น’

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

‘ใครกำลังใช้วิชาอัญเชิญเทพ’

หานเจวี๋ยลังเลอยู่สักครู่ แต่ก็ยังคงลุกขึ้นมากล่าวว่า “ข้าจะรีบไปรีบกลับ”

เขาหมุนตัวก้าวเข้าไปในคลื่นวนสีดำ

ในขณะเดียวกัน

บนยอดเขาตระกูลกู้ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น

ด้านบนแท่นบูชา ฟางเหลียงล้มอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง มู่หรงฉี่กับกู้ซินคุกเข่าอยู่ข้างกายเขา มีนักโทษและศพจำนวนมากนอนอยู่รอบด้าน

เหนือศีรษะของฟางเหลียงมีคลื่นวนสีดำลอยอยู่ มู่หรงฉี่มองมันด้วยความไม่สบายใจ

‘พลังวิเศษที่อาจารย์ปู่ถ่ายทอดให้ใช้ได้หรือไม่กันแน่ เหตุใดข้าถึงไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนอะไรเลย’

ตอนแรกที่หานเจวี๋ยถ่ายทอดวิชาอัญเชิญเทพให้ก็พูดเสียเหมือนจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น มู่หรงฉี่ยังคิดว่าตัวเองต้องขายวิญญาณเสียอีก

ไม่นึกเลยว่า…

จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย!

ประเด็นสำคัญคือไม่มีการพลิกผันของสถานการณ์ด้วย!

มู่หรงฉี่แหงนหน้ามองออกไป บนท้องฟ้ากำลังต่อสู้กันดุเดือด สะท้านฟ้าสะเทือนดิน

บรรพชนตระกูลกู้ฟื้นคืนชีพแล้ว แม้จะเป็นแค่การรวมวิญญาณขึ้นมาใหม่ แต่พลานุภาพก็ยังคงแข็งแกร่งมาก ผู้ที่กำลังปะทะกับเขาคือจอมปีศาจตนหนึ่งที่มีหัวเป็นพยัคฆ์ร่างเป็นมนุษย์

จอมปีศาจตนนี้สวมเกราะนักรบที่มีหนามแหลม ไอปีศาจพวยพุ่งขึ้นฟ้า มือถือกระบองกระดูกเล่มหนึ่ง ควบคุมทั้งรุกและรับ มีพลังวิเศษมากมาย ทำให้บรรพชนตระกูลกู้ถูกตรึงกำลังเอาไว้

แต่ก็ทำได้แค่ตรึงไว้เท่านั้น พลังของบรรพชนตระกูลกู้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จอมปีศาจจะต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

‘สมควรตาย เซียนทองไท่อี่ระยะปลายยังหยุดเขาไม่ได้หรือ หรือว่าเจ้าหมอนี่ใกล้จะเข้าสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว’

มู่หรงฉี่กัดฟันกรอดพลางคิด

จอมปีศาจตนนี้คือพยัคฆ์กระดูกปีศาจลูกน้องของเขาในอดีต เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองแม่ทัพสวรรค์ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา

คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบรรพชนตระกูลกู้ที่เพิ่งฟื้นคืนชีพ!

‘หากข้ามีตบะของอดีตชาติละก็…’

มู่หรงฉี่คิดด้วยความไม่พอใจ สายตาของเขามองไปยังคลื่นวนสีดำอย่างอดไม่ได้

ขณะนั้นเอง!

เขามองเห็นเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากระลอกคลื่นสีดำ

มู่หรงฉี่เบิกตากว้าง

‘นี่…อาจารย์ปู่หรือ

อาจารย์ปู่มาได้อย่างไร’

ไม่ใช่ว่ามู่หรงฉี่จะไม่เคยคิดว่านี่คือพลังวิเศษใช้เรียกหาชนิดหนึ่ง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าหานเจวี๋ยจะมา

หานเจวี๋ยมีนิสัยอย่างไร เขารู้ดีที่สุด

วังสวรรค์เชื้อเชิญ หานเจวี๋ยยังไม่ไปเลย

แต่มาเพื่อช่วยพวกเขาหรือ…

หานเจวี๋ยเดินออกจากคลื่นวนสีดำ มองฟางเหลียงที่นอนอยู่บนพื้น เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ใครเป็นคนทำ”

เมื่อเห็นหานเจวี๋ยปรากฏกาย โจวฝานและโม่ฟู่โฉวเบิกตากว้าง สีหน้าตื่นตะลึง

‘เหตุใดเขาถึงมาได้’

ในสมองของมู่หรงฉี่เกิดความคิดใคร่ครวญมากมาย จากนั้นก็ชี้ไปที่บรรพชนตระกูลกู้พลางเอ่ยว่า “เป็นเขา เขาแย่งชิงตบะของศิษย์น้องไป ปีศาจพยัคฆ์ที่กำลังสู้กับเขาเป็นลูกน้องของข้า!”

หานเจวี๋ยมองไปทางบรรพชนตระกูลกู้

‘ระดับเซียนทองไท่อี่ขั้นสมบูรณ์!’

มิน่าล่ะถึงบีบให้ศิษย์หลานคนโปรดทั้งสองคนของเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้

หานเจวี๋ยยกมือขวาขึ้นมา ใช้ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพทันใด

ไม่พูดพร่ำทำเพลง!

เปิดด้วยท่าใหญ่!

บรรพชนตระกูลกู้ที่กำลังต่อสู้กับพยัคฆ์กระดูกปีศาจหันมาทันที สิ่งที่พุ่งเข้ามาหาคือปราณกระบี่ของหานเจวี๋ย

ปราณกระบี่รวดเร็วนัก เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ ตาเปล่าไม่อาจมองตามได้ทัน มันท่วมร่างบรรพชนตระกูลกู้จนมิดแล้วจึงพุ่งทะลุเมฆอัสนี

ราวกับพุ่งทะลวงท้องนภา!

พยัคฆ์กระดูกปีศาจตกใจแทบตาย ยามที่ปราณกระบี่ของหานเจวี๋ยแฉลบผ่านหน้าเขาไป เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตายแล้ว

‘พลังวิเศษระดับจักรพรรดิ! ผู้ที่ลงมือคือจักรพรรดิเซียนหรือ’

พยัคฆ์กระดูกปีศาจหันไปมอง และเห็นมู่หรงฉี่คุกเข่าคารวะหานเจวี๋ยพอดี

นี่เป็นแค่มุมมองที่ต่างกันเท่านั้น มู่หรงฉี่พลังเวทสูญสิ้น คุกเข่าดูแลอยู่ข้างๆ ฟางเหลียง ส่วนหานเจวี๋ยลอยอยู่เหนือร่างฟางเหลียง เมื่อมองจากมุมสูงลงมา จึงดูคล้ายกับว่ามู่หรงฉี่กำลังคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย

‘เป็นบุรุษที่รูปงามมาก!

หรือว่านี่จะเป็นคนที่พี่ใหญ่เคยพูดถึง…’

หลังจากหานเจวี๋ยรับรู้ว่ากลิ่นอายของบรรพชนตระกูลกู้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็หมุนกายเดินกลับเข้าไปในคลื่นวนสีดำ ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่งว่า

“พาศิษย์น้องของเจ้ากลับไป ภายหลังออกไปข้างนอกก็ระวังหน่อย”

หานเจวี๋ยหายลับไปในระลอกคลื่นสีดำอย่างรวดเร็ว

ฟ้าดินเงียบสงัด

ผู้คนทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างตะลึงค้าง

นี่มัน…เร็วเกินไปแล้ว!

รวดเร็วจนทุกคนไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง

ยังไม่ทันรู้แน่ชัดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น บรรพชนตระกูลกู้ก็หายไปแล้ว?

“ท่านบรรพชน!”

มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมา ประมุขตระกูลกู้คุกเข่าอยู่บนซากปรักหักพังของหอด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว มือทั้งสองกุมศีรษะ ใกล้จะเสียสติเต็มที

“แค่นี้ก็จบสิ้นแล้วหรือ”

โจวฝานพูดพึมพำกับตัวเอง สีหน้าดูเหลือเชื่อ

เขารู้ว่าหานเจวี๋ยน่าจะแข็งแกร่งมาก

แต่ไม่คิดเลย… นี่มันจะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!

ก่อนหน้านั้นบรรพชนตระกูลกู้แข็งแกร่งระดับไหน ทำลายฟ้าทลายดิน แกร่งกว่าผู้ทรงพลังใดๆ ที่เขาเคยพบมา

หานเจวี๋ยแค่ใช้ดรรชนีเดียวก็สังหารได้แล้ว…

มู่หรงฉี่พลันตะโกนขึ้นมา “เจ้าเจ็ด เจ้ายังมัวอึ้งอะไรอยู่ สังหารพวกเขาเสีย! ตระกูลกู้อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว ปลิดชีพให้หมด!”

พยัคฆ์กระดูกปีศาจได้สติกลับมา แย้มรอยยิ้มอัปลักษณ์ให้เห็น

……………………………………….