บทที่ 241 โศกนาฏกรรมของไก่คุกรัตติกาล พายุก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 241 โศกนาฏกรรมของไก่คุกรัตติกาล พายุก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

เมื่อกลับมาถึงถ้ำเทวาฟ้าประทานแล้ว หานเจวี๋ยถอนหายใจยาว

ไปแดนเซียนครั้งที่สองก็ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่ดี

ยังดีที่ศัตรูไม่แข็งแกร่ง

เจ้าพวกนี้เพิ่งจะขึ้นสวรรค์มาได้ไม่นาน กลับกล้ายั่วโทสะระดับเซียนทองไท่อี่เสียได้!

อู้เต้าเจี้ยนถามด้วยความสงสัยว่า “นายท่าน เมื่อครู่ท่านไปไหนมาหรือ”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้เห็นคลื่นวนสีดำ

คราวที่แล้วคือตอนไปช่วยลี่เหยา

แล้วครั้งนี้เล่า

หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้ปิดบัง เล่าเรื่องที่ฟางเหลียงและมู่หรงฉี่พบเจอให้ฟัง

“แดนเซียนก็อันตรายเช่นนี้ พี่น้องคู่นี้ขึ้นไปได้ไม่นานก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว เจ้ายังอยากขึ้นสวรรค์อยู่อีกหรือไม่”

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม อู้เต้าเจี้ยนส่ายหัวถี่รัว

นางพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่เคยคิดที่จะขึ้นสวรรค์เลย ข้าเพียงอยากอยู่เคียงข้างนายท่าน ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว ฝึกฝนอยู่ตลอด บางครั้งที่ผ่อนคลายก็ไปพูดคุยกับพวกเขาได้”

ข้อดีที่สุดของการอยู่บนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนก็คือไม่มีแรงกดดัน

นางชอบสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตที่กดดันเช่นนี้

นางมีความทรงจำของอดีตชาติ

ความทรงจำในชีวิตก่อนที่จำได้มากที่สุดคือพายุฝนโหมกระหน่ำ ความวิตกหวาดกลัว

นางเป็นแค่หญ้าต้นหนึ่ง ไม่มีใครสนใจ สัตว์ป่าและผู้คนที่ผ่านไปมาล้วนเหยียบย่ำนางได้ หาได้สนใจว่านางจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร

ดังนั้นเมื่อตระหนักรู้ในชีวิตนี้ นางจึงซาบซึ้งบุญคุณของหานเจวี๋ยมาก ถึงขั้นไม่สามารถแยกจากได้

เพียงแต่หานเจวี๋ยไม่รับรู้ความในใจของนาง เขาจึงมักเตือนนางตลอด ต้องการจะล้างสมองนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยความพึงพอใจ “ฝึกฝนต่อไปเถอะ”

อู้เต้าเจี้ยนพยักหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงจะกล่าว “นายท่าน พักนี้เฮ่าเอ๋อร์กับลี่เหยาทะเลาะกันแล้ว พรสวรรค์ของลี่เหยาแข็งแกร่งเกินไป ไก่คุกรัตติกาลก็คอยสร้างความบาดหมาง ใช้ลี่เหยาเพื่อกำราบเฮ่าเอ๋อร์ตลอด”

แม้ว่าหลงเฮ่าจะมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเด็ก ไม่เคยผ่านลมฝน ไม่เหมือนลี่เหยาที่พรสวรรค์แกร่งกล้าในบรรดาบุตรแห่งฟ้าดิน ทั้งยังผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก ระหว่างทางมาโลกเขย่าพิภพก็ยังได้รับโอกาสวาสนามามากมาย

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ออกไปเรียกไก่คุกรัตติกาลเข้ามา”

อู้เต้าเจี้ยนลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก ไก่คุกรัตติกาลก็เข้ามาอย่างกระสับกระส่าย

มันไม่เคยเปลี่ยนรูปร่าง ยังรักษาลักษณะท่าทางของไก่ไว้

สีหน้าหานเจวี๋ยไร้ซึ่งอารมณ์

เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ไก่คุกรัตติกาลก็ถูกหานเจวี๋ยโยนออกมาจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน

ทุกคนหันไปมอง จากนั้นพากันหัวเราะคิกคัก

เห็นเพียงขนไก่บนตัวไก่คุกรัตติกาลถูกถอนออกมาหมด ภายใต้การควบคุมพลังเวทของหานเจวี๋ย ในหลายวันนี้ขนไก่จะไม่สามารถงอกได้

“ฮึ อย่ายุแยงความสัมพันธ์ของสหายร่วมสำนัก ไม่เช่นนั้น…”

เสียงของหานเจวี๋ยดังออกมา

หลงเฮ่ากระอักกระอ่วน รู้สึกว่าอาจารย์กำลังพูดถึงตน

ลี่เหยาเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ใบหน้าแดงเล็กน้อย นางแอบด่าหานเจวี๋ยว่าทำเกินไป แต่ว่าภายในใจก็พึงพอใจกับการตัดสินใจของหานเจวี๋ยมาก ส่วนเรื่องการยุยงของไก่คุกรัตติกาล นางก็หงุดหงิดด้วยเช่นกัน

นางเพียงอยากฝึกฝนอย่างราบรื่น ไม่อยากความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก และไม่ต้องการจะทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น

ไก่คุกรัตติกาลไม่กล้าโผล่หน้าไปพบผู้คนแล้ว น่าอับอายเหลือเกิน!

มันซ่อนตัวอยู่บนต้นฝูซัง ใช้ใบไม้อำพรางตัวไว้

…..

ณ ป่าเขาแห่งหนึ่ง

มู่หรงฉี่ โจวฝาน โม่ฟู่โฉว และฟางเหลียงกำลังฝึกบำเพ็ญ พยัคฆ์กระดูกปีศาจเฝ้ายามอยู่ไม่ไกล กู้ซินนั่งก้มศีรษะลงต่ำอยู่ข้างฟางเหลียง

ฟางเหลียงลืมตาขึ้นมา ถอนหายใจพูดว่า “เจ้าไปเสียเถอะ อย่ามัวตามข้าเลย ทั้งชีวิตนี้ข้าจะไม่แต่งงานอีก ในใจข้ามีเพียงมหามรรคเท่านั้น”

ในช่วงที่อยู่บนโลกมนุษย์เขาถูกผู้หญิงทำร้ายจิตใจ จึงหวาดกลัวเสียแล้ว

กู้ซินกำแขนเสื้อตัวเองแน่นพลางพึมพำว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะไปที่ใด…”

มู่หรงฉี่พูด “โลกนี้กว้างใหญ่นัก อยากจะไปที่ใดก็ย่อมได้นี่? บิดาของเจ้าถูกสหายข้าสังหาร ต่อให้เจ้ากับศิษย์น้องของข้าอยู่ด้วยกันก็จะมีแต่ความคับแค้นใจ”

เขาดูแคลนกู้ซินมาก

หญิงโง่คนหนึ่งเกือบจะฆ่าคนรักของตน อายุก็ปูนนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ถูกผิด

ในความเห็นของเขา กู้ซินคงหวาดกลัว หลบหนีจากความเป็นจริง ไม่กล้าต่อต้านบิดา ทำได้เพียงโอบกอดความคิดเพ้อฝันรอให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นเท่านั้น

โจวฝานเดาะลิ้นอย่างประหลาดใจ

ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เขาก็นึกถึงตัวเองในอดีตขึ้นมา

เพียงแต่เขาไม่ได้เด็ดเดี่ยวและเป็นอิสระขนาดฟางเหลียง

เมื่อหวนนึกถึงคนในอดีตเหล่านั้น โจวฝานทอดถอนใจอยู่ข้างในใจ

กู้ซินเม้มริมฝีปากแน่น ภายในใจทุกข์ทรมานเกินบรรยาย

ฟางเหลียงถอนหายใจบอก “ช่างเถอะ พานางกลับไปวังสวรรค์ก็แล้วกัน อย่างน้อยก็มีที่พักชั่วคราว”

มู่หรงฉี่พ่นลมหายใจ แต่ไม่ได้โต้แย้งต่อ

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฟางเหลียง

“หลังจากกลับไปก็ตั้งใจฝึกฝนเสีย มีตบะเพียงเท่านี้ก็ยังออกมาก่อเรื่องวุ่นวาย ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ปู่ เจ้าคงตายไปแล้ว!” มู่หรงฉี่กล่าวอย่างเคร่งขรึม

เขาเป็นศิษย์พี่ กอปรกับมีความทรงจำในอดีตชาติ จึงย่อมปฏิบัติต่อท่าทีของฟางเหลียงราวกับอีกฝ่ายเป็นศิษย์น้องของตน

เขาเป็นห่วงฟางเหลียงจริงๆ

ฟางเหลียงพูดอย่างเก้อเขินว่า “ความจริงแล้วเป็นความผิดของข้า ซ้ำยังต้องรบกวนอาจารย์ปู่ด้วย”

เขามีสีหน้าละอายแก่ใจ เมื่อเขารู้สึกตัวและได้ยินว่าหานเจวี๋ยลงมือ เขาก็ตกใจมาก ตามมาด้วยความรู้สึกอับอายขายหน้า

สุดท้าย เขาก็ยังสร้างปัญหาให้อาจารย์ปู่จนได้

อีกทั้งเขาไม่เคยตอบแทนบุญคุณหานเจวี๋ยเลย

มู่หรงฉี่มองไปที่พวกโม่ฟู่โฉวสองคนแล้วถามว่า “แล้วพวกเจ้าล่ะ”

ตอนที่อยู่บนโลกมนุษย์คนทั้งสี่ก็รู้จักมักคุ้นกัน เคยประลองแลกเปลี่ยนฝีมือ เคยทะเลาะวิวาทกัน แน่นอนว่าอดีตเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องสนุกไปแล้วในเวลานี้

การได้เจอคนรู้จักเก่าในวังสวรรค์ ให้ความรู้สึกเหมือนได้เจอสหายเก่าในต่างแดน

“เดินทางต่อไปทั่วหล้า สร้างชื่อเกรียงไกรให้ตัวเอง!” โจวฝานยิ้มเอ่ยด้วยท่าทางคึกคักฮึกเหิม

โม่ฟู่โฉวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

มู่หรงฉี่ก็เช่นกัน

คนเช่นนี้เขาพบเจอมาไม่น้อย

สิ่งที่แดนเซียนไม่เคยขาดที่สุดก็คือคนที่มีจิตใจฮึกเหิมเช่นนี้

บุตรแห่งสวรรค์ทุกคนล้วนผงาดขึ้นมาจากการเหยียบย่ำคนประเภทนี้นับไม่ถ้วน

…..

ชั่วพริบตาเดียว เวลาผ่านไปอีกสิบปี

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย

กายดาราอนธการไม่ต่างไปจากมหามรรคเวียนว่ายตายเกิด ไพศาลและลึกซึ้ง ให้ความรู้สึกเหมือนสามารถตระหนักรู้ได้ไม่รู้จบ

แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่เขารู้สึกเสมอว่าตนยังห่างไกลจากจักรพรรดิเซียนอยู่มาก

จากระดับเซียนทองไปถึงระดับจักรพรรดิเซียนไม่ใช่กระบวนการเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ

ไม่ว่าพลังเวทจะแกร่งขึ้นอย่างไร แก่นแท้ของกายเนื้อและจิตวิญญาณก็ต้องแปรเปลี่ยนด้วยถึงจะได้

หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาเริ่มสาปแช่งศัตรู พร้อมทั้งตรวจดูจดหมาย ผ่อนคลายจิตใจไปด้วย

[จี้เซียนเสินสหายของท่านดับดิ้น ดวงวิญญาณตกสู่ยมโลก]

[ตี้ไท่ไป๋สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลัง]

[ตี้ไท่ไป๋สหายของท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านช่วยชีวิตไว้]

[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของท่านได้รับยอดสมบัตินิกายเจี๋ย]

[หานปาศิษย์ของท่าน​​​​รู้แจ้งมรรคาสวรรค์และบรรลุพลังวิเศษในขณะฝึกบำเพ็ญ]

[จี้เซียนเสินสหายของท่านพบโอกาสวาสนาในยมโลก ได้ฝึกฝนพลังวิเศษ]

[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านได้รับดวงชะตามรรคาสวรรค์ พลังมรรคเพิ่มพูน]

[ซูฉีศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์] x16824

……..

พายุก่อตัวขึ้นอีกครั้ง!

เทพเซียนของวังสวรรค์จำนวนไม่น้อยเริ่มพบเจอกับความยากลำบาก

ทว่าเมื่อก่อนก็เคยมีมาแล้ว หานเจวี๋ยจึงไม่ได้กังวลมาก

แต่สถานการณ์ล่าสุดของซูฉีทำให้เขากังวลยิ่งนัก

เจ้าเด็กคนนี้ไม่เคยใช้วิชาอัญเชิญเทพเลย หรือว่ากลัวเขาจะสู้ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ต้าฮวงไม่ไหว?

เมื่อพิจารณาความเป็นไปของจดหมาย ดูเหมือนว่าซูฉีจะหนีออกมาจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ต้าฮวงและกำลังถูกตามล่า

หานเจวี๋ยตัดสินใจแน่วแน่ หากศิษย์และศิษย์หลานที่เหลืออยู่ไม่บรรลุถึงระดับเซียนทองไทอี่ เขาจะไม่ให้ขึ้นไปสวรรค์เด็ดขาด

หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาต้องวิ่งวุ่นดับไฟไปทั่ว ไม่ช้าก็เร็วต้องพังไม่เป็นท่า

ช่วยสักครั้งสองครั้งไม่เป็นไร แต่หากช่วยมากเกินไปก็ขัดกับมรรคจิตของเขา

หานเจวี๋ยคิดอยู่เงียบๆ

ตอนนี้เอง มีเสียงหนึ่งส่งเข้ามาในหูของหานเจวี๋ย

“สหายเต๋าซุนเฉวียน ออกมาพบกันสักหน่อยเป็นไร”

พุทธะอาภรณ์ขาว!

หานเจวี๋ยส่งเสียงตอบไปว่า “รอก่อน ข้ายังมีเรื่องต้องสะสาง”

“ได้”

พุทธะอาภรณ์ขาวขาวตอบรับ

จากนั้นก็รอไปอีกครึ่งปี

………………………………………………………………