บทที่ 298 เหมือนท่านแม่ที่ตายไปแล้ว

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 298 เหมือนท่านแม่ที่ตายไปแล้ว

บทที่ 298 เหมือนท่านแม่ที่ตายไปแล้ว

“อร่อย… อร่อยมาก นี่เป็นบะหมี่ที่อร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมาเลย”

แม้แต่น้ำหยดสุดท้ายตรงก้นชามก็ไม่เหลือ เด็ก ๆ กินอิ่มจนพุงป่อง ลูบท้องด้วยสีหน้าพึงพอใจ

พวกเขาไม่เคยอิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย

เด็กคนหนึ่งกินหมดก็เริ่มร้องไห้

เสี่ยวเป่ายื่นขนมอบให้เขา “อย่าร้อง ๆ ถ้าไม่อิ่ม เสี่ยวเป่าจะให้ขนมอบอีกอัน”

เด็กชายยังคงสะอื้น “อิ่ม… อิ่มแล้ว เพียงแต่… เพียงแต่คิดว่าจะไม่ได้กินอิ่มเช่นนี้อีก ข้าจึงนึกเสียใจ”

ความรู้สึกหลังจากได้กินจนอิ่มมันดีมากเลย ฮือ…

เขาเอื้อมไปหยิบขนมอบที่เสี่ยวเป่าส่งมา เรอหนึ่งทีก่อนจะกล่าวขอบคุณ

“พวกท่านเป็นคนดี ดูแลเสี่ยวอันที่กำลังป่วย ทั้งยังให้พวกเรากินจนอิ่ม หืม… กลิ่นหอมมาก หอมกว่าขนมที่ร้านอวี้ฝูที่ข้าชอบไปแอบดมกลิ่นเสียอีก”

ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นเด็ก แม้จะเอาตัวรอดได้เก่งกว่าเด็กที่มีบิดามารดาคอยดูแล แต่นั่นก็เพราะพวกเขาล้วนเป็นเด็กกำพร้า ถึงได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าเด็กคนอื่น ๆ หากมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือพวกเขาเพียงน้อยนิด พวกเขาก็จะซาบซึ้งสุดหัวใจ

เสี่ยวเป่ามอบขนมอบให้พวกเขาคนละชิ้น

เด็ก ๆ เปิดใจให้เสี่ยวเป่ามากกว่าพวกผู้ใหญ่ที่เหลือ เพียงแต่… เสือสองตัวที่อยู่กับนางน่ากลัวเกินไป QAQ

เสี่ยวเป่าลูบหัวเสือตัวใหญ่ทั้งสอง “เฮยอู๋ฉาง ไป๋อู๋ฉาง พวกเจ้าออกไปหาของกินกันก่อนเถิด”

เสือสองตัวคำรามต่ำแล้วเยื้องย่างจากไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“พวกมันชื่อว่าเฮยอู๋ฉางกับไป๋อู๋ฉาง”

เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น “ข้ารู้ เฮยอู๋ฉางกับไป๋อู๋ฉางเป็นสัตว์ดุร้ายอันตรายถึงชีวิต”

นางตั้งชื่อเสือสองตัวนี้ได้เหมาะมาก เฮยไป๋อู๋ฉางก็คือยมทูตขาวดำ ถึงสัตว์ร้ายอย่างเสือสองตัวนี้จะดูไม่มีท่าทีดุร้ายเหมือนเสือทั่ว ๆ ไป ทว่ามันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี

เมื่อพยัคฆ์ตัวใหญ่สองตัวจากไป เด็ก ๆ พลันรู้สึกสบายใจขึ้น

แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้านั่งใกล้เสี่ยวเป่าอยู่ดี เนื้อตัวพวกเขาสกปรก ขณะที่นางงดงามราวกับเทพธิดาตัวน้อยในตำนาน พวกเขากลัวว่าจะทำให้นางสกปรกไปด้วย

พอเสื้อคลุมขนสัตว์ถูกนำมาให้เด็ก ๆ สวม พวกเขาก็โบกมือเป็นพัลวัน

“ไม่ได้ ๆ พวกเราต่ำต้อย จะใส่เสื้อผ้าพวกนี้ได้อย่างไร!”

เสื้อผ้าหนานุ่มพวกนี้สวมแล้วคงจะอุ่นน่าดู แต่พวกเขาเนื้อตัวสกปรกจึงไม่อาจสวมมันได้ตามที่ใจปรารถนา

เสี่ยวเป่า “พวกเจ้ารับไปเถอะ มันทำจากขนแกะ ไม่แพงเลยสักนิด”

“ขนแกะ?!”

ดวงตาของเด็ก ๆ เบิกกว้างทันที

เนื้อแกะยังไม่เคยกิน แต่พวกเขาเคยเห็นขนแกะ พวกมันล้วนเป็นของที่ผู้คนไม่ต้องการและมักจะโยนทิ้ง

“เป็นแกะจากเผ่าหมาน ขนแกะที่นั่นทั้งเยอะและหนามาก ทำเป็นเสื้อคลุมอุ่นยิ่งนัก พวกเจ้ารีบสวมเถิด อากาศหนาวขนาดนี้ ผิวพวกเจ้าโดนความเย็นจนแห้งแตกไปหมดแล้ว”

นางจับมือเด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งที่ดูเหมือนอายุจะมากกว่านางไม่เกินสองปี

เด็กหญิงตัวเล็กหดแขนกลับอย่างรวดเร็ว แล้วพยายามซ่อนมือตนไว้

“อย่าขยับ ผิวเจ้าโดนหิมะกัดเยอะมากเลย”

ยังมีชาวบ้านผู้ยากไร้อีกจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการมือเท้าพุพอง เพราะถูกหิมะกัดจนทั้งเจ็บทั้งคัน

ฤดูหนาวของทุกปี ท่านแม่ของเสี่ยวเป่ามักจะโดนหิมะกัดมือเป็นประจำ ท่านแม่ต้องอดทนกับความเจ็บปวด แม้นางจะใช้พลังวิญญาณช่วยรักษา แต่ก็บรรเทาความเจ็บปวดของท่านแม่ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นางปล่อยมือเด็กหญิงตัวเล็กแล้ววิ่งไปหาของบางอย่าง

ก่อนจะถือกล่องไม้ธรรมดา ๆ ใบหนึ่งกลับมาด้วย

กล่องไม้ใหญ่กว่าฝ่ามือนาง สูงประมาณสองนิ้ว

“นี่คือเครื่องประทินผิวใช้ทามือ มันจะช่วยไม่ให้ผิวแห้งแตก ข้าทาให้พวกเจ้านะ”

เสี่ยวเป่าเดินไปหาพวกเขาแล้วนั่งขัดสมาธิลงข้าง ๆ พลางจับมือเด็กหญิงขึ้นมาบรรจงทาลงบนมือนาง

สัมผัสเย็น ๆ ค่อย ๆ ซึมลงบนผิว เสี่ยวเป่าพยายามทาอย่างเบามือที่สุด การกระทำอ่อนโยน รอยยิ้มอ่อนหวาน รอยยิ้มนั้น… เหมือนจะแผ่ซ่านเข้าไปถึงหัวใจนาง

ไยถึงได้… ถึงได้มีคนอ่อนโยนเพียงนี้นะ

แหมะ…

น้ำตาไหลเม็ดใหญ่ร่วงหล่น เสี่ยวเป่าเงยหน้ามองนางอย่างสับสน

เกิด… เกิดอะไรขึ้น

“เจ็บมากเลยหรือ”

“อดทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวเสี่ยวเป่าจะเป่าให้ ใช้สิ่งนี้มือที่แห้งแตกนี้จะคันน้อยลง”นางกล่าวพลางทำแก้มพองเพื่อเป่าบราวนี่ออนไลน์

เด็กหญิงตัวเล็กปาดน้ำตาพลางส่ายหัว “ไม่เจ็บ เพียงแต่… เพียงแต่…”

เสี่ยวเป่ามองนางเหมือนจะสื่อว่า “เพียงแต่อันใดเล่า รีบพูดมาเร็ว!”

“เพียงแต่ท่านอ่อนโยนมาก”

เจ้าก้อนแป้งยกยิ้มเขินอาย

ทว่าชั่วพริบตาต่อมา สิ่งที่ได้ยินทำให้นางถึงกับสำลักน้ำลาย “เหมือนท่านแม่ที่ตายไปแล้วของข้าเลย”

เด็กหญิงคนนั้นพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

เสี่ยวเป่า “…”

คนที่เหลือ ”…”

พูดได้ดีมาก แต่ไม่พูดจะดีกว่า

เพื่อนร่วมชะตากรรมของนางตกใจจนแทบสำลักกับเหตุการณ์พลิกผันในครั้งนี้

แต่นางร้องไห้จริงจังจนเสี่ยวเป่าต้องยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเช็ดน้ำตา

“อย่าร้องไห้ หากเจ้า… หากเจ้าไม่รังเกียจว่าเสี่ยวเป่าอายุยังน้อย อื้อ!!!”

ราวกับรู้ว่าเสี่ยวเป่าจะพูดสิ่งใดต่อจากนั้น หนานกงหลีก็ปิดปากของเจ้าตัวเล็กไว้ทันเวลาพอดี

หากเจ้ากลายเป็นแม่คนในเวลานี้ เช่นนั้นเสด็จพี่ก็ต้องมีหลานสาวที่โตขนาดนี้โดยไม่ทันตั้งตัวน่ะสิ!

เจ้าเด็กโชคร้ายผู้นี้ก็ช่างกล้าพูดจริง ๆ

“อย่าได้คิดจะพูดต่อนะ เข้าใจหรือไม่”

เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“เสี่ยวเป่าก็แค่อยากจะปลอบใจนาง”

“แค่ปลอบใจก็ไม่ได้ โตแล้วคิดให้เยอะหน่อย!”

เสี่ยวเป่า : ไม่พูดก็ไม่พูด

นางยังคงใช้เครื่องประทินผิวที่หามาได้ทามือให้เด็กคนอื่น ๆ ต่อไป

ในที่สุดเจี่ยเจินก็รักษาเด็กหญิงจนอาการทรงตัวแล้ว

“นางอาการคงที่แล้ว แต่จะต้องกินยาต่อไปจนกว่าจะหายดี”

เด็ก ๆ เงียบกริบโดยมิได้นัดหมาย ทุกคนรู้ว่ายามีราคาแพง แล้วเด็กกำพร้าอดมื้อกินมื้อ ขอทานประทังชีวิตอย่างพวกเขาจะเอาเงินที่ใดไปซื้อยา

ทันใดนั้นเด็กคนหนึ่งก็คุกเข่าลง ปรากฏว่าเป็นเด็กที่โตสุดในกลุ่ม อายุประมาณสิบสี่ปี แต่ผอมแห้งเหมือนเด็กสิบขวบ

“ได้โปรดช่วยเสี่ยวอันด้วยเถิด ข้ายอมขายตัวให้พวกท่าน พวกท่านจะใช้งานข้าเป็นวัวเป็นม้าไปตลอดชีวิตเลยก็ได้!”

ก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด เขาก็ไม่เคยคิดที่จะขายตัวเป็นทาส

แม้จะยังเป็นเด็ก แต่เขาก็รู้ดีว่าทาสคือชนชั้นต่ำต้อยที่สุดในสังคม

ผู้เป็นนายสามารถทุบตี ดุด่า หรือแม้แต่ฆ่าทาสของตนได้ตามใจชอบ โดยที่ไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ต่อให้ผู้เป็นนายจะพลั้งมือฆ่าทาสตายทั้งคน แล้วแอบฝังศพไว้ที่หลังจวน เพียงเท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดรู้เห็นแล้ว

ก็แค่ทาสคนเดียว ผู้ใดจะมาสนใจ?

แม้พวกเขาจะเป็นขอทาน แต่หากถูกฆ่าก็จะมีคนจากทางการมาตรวจสอบ

ยกเว้นกรณีของเสี่ยวอัน โชคไม่ดีที่คู่กรณีของนางเป็นขุนนางผู้มีอำนาจในเมือง

พวกเขารู้ดีว่าการร้องขอความเป็นธรรมในสถานการณ์เช่นนี้มันไร้ประโยชน์ ไม่แน่ว่านายอำเภออาจถูกยัดเงิน ถึงตอนนั้นนอกจากจะไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว แม้พวกเขาอยากหนีก็คงหนีไปไหนไม่พ้น

แต่ตอนนี้เพื่อช่วยเสี่ยวอัน เขาจึงกัดฟันตัดสินใจทำเช่นนี้

อันที่จริงส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาเห็นว่าถึงคนพวกนี้จะเป็นชนชั้นสูง แต่หาใช่คนเลวร้าย

หากเขาขายตัวเป็นทาสให้คนพวกนี้ อย่างน้อยก็พอช่วยเสี่ยวอันได้ เพราะหากเขาขายตัวเป็นทาสให้ผู้อื่น เขายังต้องลุ้นอีกว่าจะได้เงินมาซื้อยาให้เสี่ยวอันหรือไม่

เพราะเขามันตัวต่ำต้อยและไร้ค่า