บทที่ 299 องครักษ์เงา

บทที่ 299 องครักษ์เงา

เมื่อเด็กคนอื่น ๆ เห็นเขาทำเช่นนั้นก็พากันคุกเข่าลงบ้าง

“ข้าด้วย จะแลกชีวิตของข้ากับเสี่ยวอันก็ได้”

“ข้าก็ด้วย…”

แม้ว่าเด็กเหล่านี้จะไร้ซึ่งความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่พวกเขาก็คอยช่วยเหลือประคับประคองกันและกันมาจนถึงตอนนี้ ความสัมพันธ์ที่พวกเขามีให้กันนั้นจึงแน่นแฟ้นเสียยิ่งกว่าพี่น้องแท้ ๆ

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกซาบซึ้งอย่างมิต้องสงสัย

เจี่ยเจินโบกมือราวกับรังเกียจ “ผู้ใดจะอยากได้เด็กน้อยที่ผมยังขึ้นไม่เต็มหัวอย่างพวกเจ้ากัน จะให้ข้าซื้อมาทำอันใด หาเรื่องเดือดร้อนให้ข้าเสียมากกว่า ไป ๆ ๆ อย่ามาสร้างปัญหาที่นี่”

ขณะทำท่าทางรังเกียจก็ยังมิลืมบอกให้เสี่ยวเป่าไปหยิบยามาอีกสองสามชนิด

“ตัวอย่างโรควันนี้นำมาใช้สอนลูกศิษย์น้อยของข้าได้พอดี ถือเสียว่าใช้ร่างของนางเป็นเงินค่ารักษาก็แล้วกัน”

พูดจบเขาก็ให้ความรู้เสี่ยวเป่า สอนวิธีจัดการบาดแผล สิ่งที่ต้องระมัดระวัง รวมถึงจุดที่ใช้ฝังเข็ม

เสี่ยวเป่านั่งคุกเข่าข้าง ๆ ฟังสิ่งที่เขาสอนอย่างใจจดใจจ่อ และหยิบสมุดพกกับพู่กันขึ้นมาจดบันทึก ท่าทางตั้งอกตั้งใจ

เจี่ยเจินพอใจกับพฤติกรรมใฝ่รู้ใฝ่เรียนของนางเป็นอย่างมาก

ทีแรกพวกเด็ก ๆ ต่างเสียใจกระทั่งรู้สึกสิ้นหวังที่ถูกเจี่ยเจินปฏิเสธ แต่พอเห็นว่าเขายังคงรักษาให้เสี่ยวอันต่อไป ทั้งยังไม่เรียกค่ารักษาจากพวกเขาแม้แต่น้อย พวกเด็ก ๆ ก็รู้สึกแปลกใจ

ทว่าทุกการกระทำของท่านหมอในตอนนี้แสดงให้เห็นแล้ว ว่าพวกเขาไม่ได้หูฝาดไปจริง ๆ

หลังจากที่ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง เด็กทุกคนก็คุกเข่าคำนับเจี่ยเจินและเสี่ยวเป่าด้วยความซาบซึ้งใจในบุญคุณ

เสี่ยวเป่ายิ้มให้พวกเขา “ข้าจะตรวจร่างกายให้พวกเจ้าด้วย อาจารย์สอนว่าความรู้แค่ทฤษฎีไม่เพียงพอ ต้องตรวจคนไข้เยอะ ๆ ด้วย”

แต่ว่าในสายตาของเด็กน้อยเหล่านั้น เสี่ยวเป่าเพียงแค่ต้องการจะช่วยพวกเขา

น่าเสียดายที่เจ้าตัวน้อยยังไม่ชำนาญการตรวจชีพจร นางจึงคอยถามคำถามต่าง ๆ กับท่านอาจารย์

เจี่ยเจินก็อธิบายให้นางฟังโดยมิได้รู้สึกรำคาญ

แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นเหตุไม่คาดฝัน แต่ว่าเสี่ยวเป่าก็ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ไปไม่น้อย

หากกลัวว่าตนเองจะจำไม่ได้ นางก็จะจดบันทึกลงในสมุดพก จากนั้นค่อยนำมาอ่านในภายหลัง

กว่าเจ้าเสือสองตัวจะกลับมาก็ล่วงเข้าเวลาดึกแล้ว มิหนำซ้ำพวกมันยังนำมื้อดึกกลับมาด้วย

มันคือกวางที่ถูกกัดจนตาย

หนานกงหลีปรบมืออย่างตื่นเต้น “ช่างประจวบเหมาะจริง ๆ เสี่ยวเป่าเลี้ยงเจ้ายักษ์สองตัวนี้ได้ดีจริงเชียว ออกไปหาอาหารก็ยังไม่ลืมนำกลับมาฝากคนที่บ้านด้วย ไม่เลว ๆ”

พยัคฆ์ทั้งสองเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปทางอื่น

หนานกงหลีเบิกตาพร้อมกับชี้ไปที่พวกมัน “…พวกมัน เมื่อครู่พวกมันกลอกตาใส่ข้าใช่หรือไม่ หา?!”

หนานกงฉีอวิ๋นพูดปลอบเสียงต่ำ “ไม่น่ากระมัง เสด็จอาเจ็ดคงจะตาฝาดไป”

“เป็นไปไม่ได้! ข้าเห็นชัด ๆ พวกเจ้า! พวกเจ้าว่าเมื่อครู่ไอ้เสือสองตัวนั้นมันกลอกตาใส่ข้าใช่หรือไม่”

เหล่าองครักษ์ “…”

พวกเขาเบนสายตาไปทางอื่นโดยพร้อมเพรียง ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

ตราบใดที่ท่านอ๋องมิได้เอ่ยชื่อ พวกเขาก็จะหลอกตัวเองต่อไปว่าท่านอ๋องมิได้ถามพวกตน

หนานกงหลี “…”

ในสายตาของพวกเจ้า ข้าไม่มีบารมี ไม่น่าเชื่อถือสักนิดเลยหรือ

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว จนพวกเด็ก ๆ ทนไม่ไหวพากันถอยกรูไปข้างหลัง

ก่อนหน้านี้เสือยักษ์ก็น่าหวาดกลัวมากพออยู่แล้ว บัดนี้ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตรวมทั้งซากกวางยิ่งทวีความน่าหวาดหวั่นให้มากขึ้นไปอีก!

เหล่าอู๋นำซากกวางไปจัดการอย่างอารมณ์ดี ส่วนเสี่ยวเป่าสั่งให้คนไปตักน้ำ จากนั้นก็นำผ้าที่ทำจากขนแกะชุบน้ำจนเปียก แล้วเช็ดทำความสะอาดขนบนตัวเสือทั้งสองตัว

เสี่ยวเป่าเป็นผู้ทำความสะอาดขนบริเวณปากเสือด้วยตัวเอง ประการแรกเป็นเพราะว่าไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ แค่อยู่ร่วมห้องเดียวกันกับพวกมันก็ใช้ความกล้ามากพอแล้ว ดังนั้นจึงลืมเรื่องเช็ดปากเสือไปได้เลย

ประการที่สองก็คือ เจ้าสองตัวนี้อนุญาตให้เสี่ยวเป่าเข้าไปใกล้แค่คนเดียว

เมื่อได้เห็นการกระทำขององค์หญิงน้อย พวกเขาพลันรู้สึกชื่นชมนางอย่างอดไม่ได้

กวางที่เสือล่ามานั้นตัวใหญ่มาก เหล่าอู๋จึงใช้วิธีหมัก โดยการยัดส่วนผสมอื่น ๆ ลงไปในท้องกวาง จากนั้นก็นำไปย่างบนตะแกรงบราวนี่ออนไลน์

คืนนี้ทุกคนรวมถึงบรรดาพวกเด็ก ๆ ล้วนได้กินจนอิ่มหมีพีมัน

ได้กินอาหารแสนอร่อยที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน มิหนำซ้ำยังได้กินจนอิ่มหนำโดยไม่ถูกรังเกียจ บรรดาเด็กน้อยที่รู้สึกว่าวันนี้ราวกับเป็นความฝันแอบอิงแนบชิดกันและกันจนกระทั่งผล็อยหลับไป ใบหน้ายามที่กำลังหลับใหลเต็มไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ

ดวงตะวันทอแสงในวันรุ่งขึ้น แม้ว่าบนพื้นจะยังมีหิมะปกคลุมอยู่ แต่กลับรู้สึกอบอุ่นอยู่ไม่น้อย

เหมันตฤดูใกล้จะผ่านพ้นไปแล้ว และวสันตฤดูกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า

“เสี่ยวอัน เจ้าตื่นแล้วหรือ กระหายน้ำหรือไม่”

“รู้สึกอย่างไรบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือไม่”

พวกเด็ก ๆ พากันล้อมเด็กหญิงตัวน้อยพลางเอ่ยถามไม่หยุด แววตาเปี่ยมไปด้วยความกังวล

พวกเสี่ยวเป่าก็ตื่นแล้วเช่นกัน

เจี่ยเจินเข้าไปดูอาการของเด็กหญิง ประเดี๋ยวส่ายศีรษะ ประเดี๋ยวก็พยักหน้า

“นางมิอาจหายดีได้ภายในเวลาสั้น ๆ จำต้องกินยาเพื่อพักฟื้นร่างกาย”

จากนั้นก็หยิบยาที่ใช้เมื่อวานออกมา “ใครจะช่วยต้มยาให้นาง”

“ข้า ๆ ๆ…”

“ข้าเอง”

เมื่อวานได้กินจนอิ่มหนำสำราญ ตอนนี้พวกเขาจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่ากว่าครั้งไหน ๆ

นอกจากนี้ยังได้เสื้อขนสัตว์ที่เหล่าใต้เท้ามอบให้ เมื่อคืนจึงเป็นการนอนหลับที่สบายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยมีมา

ทว่าพวกเขากลับรู้สึกไม่สบายใจที่เป็นผู้รับแต่เพียงฝ่ายเดียว ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาช่วยงานต่าง ๆ

เติมฟืนในกองไฟ ช่วยกันเก็บกวาดอารามร้าง และป้อนอาหารให้ม้า

แม้จะเหยียบพื้นหิมะด้วยเท้าเปล่า แต่พวกเขาก็ดูเหมือนไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด

ในที่สุดหนานกงฉีอวิ๋นก็ทนดูไม่ได้อีกต่อไป เขาใช้หนังสัตว์ทำเป็นรองเท้าให้พวกเด็ก ๆ ห่อหุ้มเท้าเอาไว้

แม้จะเป็นเพียงงานหยาบ ๆ แต่ทันทีที่พวกเขาสวมใส่ก็ยิ้มแย้มด้วยความดีใจ ทั้งยังหวงแหนและทะนุถนอมรองเท้าหนังสัตว์เป็นอย่างยิ่ง

เสี่ยวเป่านำของว่างของตัวเองออกมาแบ่งให้กับพวกเขา

ถึงแม้ว่าเด็กเหล่านี้จะเป็นขอทาน แต่กลับข่มกลั้นตัวเองได้เป็นอย่างดี ไม่เคยกล้ารับสิ่งของมาเยอะเกินควร

ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของหัวหน้าองครักษ์ จากนั้นเขาก็พาเด็กที่ดูโตสุดในกลุ่มไปถามที่มุมห้อง

“ก่อนที่พวกข้าจะมาที่นี่ ร่องร่อยในวัดแห่งนี้ เจ้าเป็นคนจัดการทั้งหมดเลยหรือ”

จากที่เขาสังเกตเห็นก็พบว่าเด็กคนนี้แม้จะอายุยังน้อย แต่กลับมีอุปนิสัยเป็นผู้นำ มิหนำซ้ำยังรู้วิธีใช้คนให้เหมาะกับงานโดยที่ไม่มีใครสอน และคอยมอบหมายให้เด็กคนอื่น ๆ ทำงานในสิ่งที่ตนเองถนัด

ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถบังคับตัวเองได้เป็นอย่างดี แม้องค์หญิงจะแบ่งข้าวของให้มากมายเพียงใด แต่เขาก็จะบอกให้บรรดาเพื่อน ๆ หยิบไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เด็กคนนั้นส่งเสียงและพยักหน้าเป็นการตอบรับ

ดวงตาของหัวหน้าองครักษ์มีประกายปรากฏขึ้นเล็กน้อย มีพรสวรรค์ใช้ได้เลยนี่!

ร่องรอยที่ถูกจัดการไปเมื่อวาน หากว่าตัวเขาไม่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีก็คงจะถูกหลอกไปแล้ว เจ้าเด็กนี่เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเชียว รู้จักกลบเกลื่อนร่องรอยเสียด้วย!

“เจ้าเรียนมาหรือ”

เด็กชายส่ายศีรษะ “เปล่าขอรับ หากไม่ปกปิดร่องรอยพวกนั้น แล้วถูกเจอตัวเข้าพวกเราจะลำบากเอา”

“ไม่เลว”

หัวหน้าองครักษ์ตบบ่าเด็กชายเบา ๆ จากนั้นก็เดินกลับไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งยังนำเรื่องนี้ไปบอกกับเซียวเหยาอ๋อง

“ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะฝึกองครักษ์เงาให้มาคุ้มครององค์หญิงน้อยพ่ะย่ะค่ะ”

เพียงแค่ประโยคเดียว หนานกงหลีก็เข้าใจความหมายของหัวหน้าองครักษ์ได้ในทันที

เด็กกลุ่มนี้ไม่มีครอบครัวหรือว่าฐานะใด ๆ ทั้งยังมีภูมิหลังที่สะอาดผุดผ่อง มิหนำซ้ำยังรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเสี่ยวเป่าหลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่กับนาง หากว่าฝึกฝนพวกเขาให้เป็นองครักษ์เงาก็ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

“ข้าจะลองไปถามเสี่ยวเป่าดู”