บทที่ 297 หนอนบ่อนไส้ในกองทัพทหารเกราะเหล็ก

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

บทที่ 297 หนอนบ่อนไส้ในกองทัพทหารเกราะเหล็ก

เมื่อมาถึงเค่ออวิ๋นไหล บรรดาพ่อครัวแม่ครัวก็รีบจัดการนำอาหารที่เตรียมไว้แล้วมาขึ้นโต๊ะทันที ทั้งโต๊ะมีครบทั้งรูป รส กลิ่น สี สมุนไพรนานาชนิด บวกกับของหวานสูตรพิเศษของจี้จือฮวน ทำให้ทุกคนพอใจมากจริง ๆ

“พี่ใหญ่ อาหารอร่อยมากเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยกินมาก่อนเลย”

“ชอบกินก็กินให้มาก ๆ หน่อย”

“ท่านก็กินด้วยสิเจ้าคะ ข้าอยากเอากลับไปให้ท่านแม่ลองชิมด้วย”

“พี่อยู่ในหมู่บ้านได้กินทุกวันเลย ฮูหยินล้วนลงครัวมาทำอาหารเอง แม้แต่วัตถุดิบฮูหยินก็เป็นคนเลือกเอง ไม่ต้องห่วงเรื่องกินของพี่หรอก”

“ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เรื่องอาหารเลย เสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวฮูหยินก็เป็นคนเตรียมให้ วันไหนแดดออกเครื่องนอนก็จะถูกนำออกไปตากรวมกัน สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด ๆ และเรียบร้อยได้ทุกวัน ดีกว่าตอนอยู่บ้านเสียอีก ไม่ต้องกังวลว่าเราอยู่ที่นี่จะอยู่ไม่สบายเลย”

“ไม่เพียงเท่านั้นนะ ฮูหยินยังสามารถรักษาโรคและช่วยชีวิตคนได้อีกด้วย เจ้าดูแขนข้าสิ ดูคล่องแคล่วกว่าเดิมอีกใช่หรือไม่?”

คนที่กลับมาจากสนามรบ คนใดบ้างที่ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บ ปัญหาทุกครั้งล้วนอาศัยการกัดฟันทนเอา แต่จี้จือฮวนจะพยายามช่วยรักษาอาการป่วยของพวกเขาอย่างเต็มที่ วิชาการแพทย์ก็ดีกว่าหมอทหารเฒ่าเมื่อก่อนเสียอีก

ท่านแม่ทัพได้แต่งกับภรรยาที่ดีเพียงนี้ ใคร ๆ ต่างก็อิจฉา

หลังจากได้ยิน บรรดาครอบครัวทหารก็แทบอยากจะคุกเข่าให้จี้จือฮวน เพื่อขอบคุณนางที่ดูแลญาติของตนดีเพียงนี้

ฉินต๋าเองก็คิดไม่ถึงว่าฮูหยินของเผยยวนจะเป็นคนเช่นนี้ เดิมคิดว่าเป็นเพียงฮูหยินที่อยู่แต่ในเรือน มีใบหน้าที่งดงามและนิสัยที่อ่อนโยนก็นับว่าไม่เลวแล้ว

เขาจึงอาศัยตอนที่ฮวาเซียงเซียงไปห้องครัวเพื่อดูอาหาร ฉินต๋าจึงดึงนางไปด้านหนึ่ง “เซียงเซียง เจ้าคิดว่าในกองทัพทหารเกราะเหล็กจะมีพวกที่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝงหรือไม่?”

ฮวาเซียงเซียงถือถั่วลิสงมาจานหนึ่ง เมื่อได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าไปมา “ไม่มีทางหรอกเจ้าค่ะ อาสามท่านไม่รู้อะไร ราชสำนักรังแกพวกเขาถึงเพียงนี้ พวกเขายังจะถูกใครซื้อตัวได้กันเจ้าค่ะ”

สีหน้าฉินต๋าค่อนข้างเคร่งเครียด

ฮวาเซียงเซียงวางถั่วลิสงลง “อาสาม เหตุใดท่านถึงถามเช่นนี้เล่า ท่านคิดว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”

ฉินต๋าพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนั้นจริง ๆ”

ฮวาเซียงเซียงมีท่าทางจริงจังขึ้นมา “หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?”

“ตอนแรกข้าก็ไม่ได้คิดว่ามันแปลก แต่มีสตรีคนหนึ่งในครอบครัวทหารกลุ่มนี้ที่ดึงดูดความสนใจของข้า เดิมข้าคิดว่าราชสำนักคงต้องการส่งหูตาเข้ามาในกองเรือของเรา และเมื่อเจ้าเขียนจดหมายมา ข้าจึงยังไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เพื่อต้องการมาดูก่อนว่าเผยยวนเป็นคนเช่นไรกันแน่

หลังจากที่เมื่อครู่ได้สัมผัสและพูดคุยแล้ว พวกเขาล้วนเป็นชายชาตรีที่ซื่อตรงและแน่วแน่ ข้าไม่เคยมองคนผิดมาก่อน ตอนนี้ดูเหมือนว่าคงต้องให้เผยยวนกับฮูหยินของเขาระวังสตรีเหล่านี้เอาไว้เสียแล้ว ในกลุ่มนั้นต้องมีสองสามคนที่ไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน”

ฮวาเซียงเซียงร้อนใจขึ้นมา “ท่านพูดให้ชัดเจนหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านพูดเช่นนี้ข้าไม่เข้าใจเลย”

“ตอนที่เราสกัดกั้นเรือเอาไว้ได้ สตรีเหล่านี้ล้วนสลบอยู่ หลังจากได้รับการช่วยเหลือแล้ว ก็ถูกจัดให้พักฟื้นที่เรือนด้านนอกตลอด พวกนางไม่ได้บอกว่าเป็นครอบครัวของกองทัพทหารเกราะเหล็ก บอกแต่เพียงว่าต้องการไปเมืองหลวงเพื่อเป็นช่างปักผ้า เห็นได้ชัดว่าถูกหลอกมา ต่อมาเมื่อจดหมายของเจ้ามาถึง พวกนางก็เริ่มตีสนิทกับคนในกองเรือ

ทั้ง ๆ ที่สตรีคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็มักนั่งพูดคุยกัน พูดไปพูดมาก็เอาแต่ร้องไห้ แต่มักจะมีคนหรือสองคนที่ทุกวันเวลาหน่วยลาดตระเวนเปลี่ยนกะ ก็จะหาเวลาไปคุยกับเด็กหนุ่มในกองเรือ ถามไถ่เรื่องภูมิประเทศว่าเป็นอย่างไร นี่ใช่เรื่องที่ผู้หญิงซีเป่ยทั่ว ๆ ไปจะถามที่ใดกัน?”

ฉินต๋าพักหายใจเล็กน้อย “ต่อมาเมื่อพ่อของเจ้ารู้ข่าวว่าเจ้าประสบกับอันตราย คราวนี้เขาจึงทนต่อไปไม่ไหวอีก จึงพาสตรีกลุ่มนี้กลับไปด้วยตัวเอง และพวกเราก็อธิบายให้พวกนางฟังแล้วว่าจะส่งพวกนางกลับไปหาญาติ ดังนั้นระหว่างทางพวกนางจึงไม่แสดงท่าทีมีพิรุธใด ๆ อีก

แต่วันนั้นตอนที่ข้ากับพ่อเจ้าหารือกันอยู่ก็ได้ยินว่ามีคนมาแอบฟัง และก็เป็นสตรีสองคนนั้นอีกเช่นเคย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พฤติกรรมที่ครอบครัวทหารธรรมดาจะพึงกระทำกัน แต่ในเมื่อพวกเรารับปากว่าจะพาคนกลับมาส่งอย่างปลอดภัย จึงไม่สามารถทำอะไรโดยพลการได้”

ฮวาเซียงเซียงเองก็เริ่มสงสัย “หรือจะมีคนฉวยโอกาสในช่วงชุลมุน ปะปนเข้ามาในกลุ่มครอบครัวทหาร? คนไหนกันเจ้าคะ ท่านช่วยชี้ให้ข้าดูหน่อยสิเจ้าคะ”

ขณะเดียวกันจี้จือฮวนก็กำลังมองไปที่ครอบครัวทหารคนหนึ่ง นางไม่มีญาติ ได้ยินว่าเมื่อสามปีก่อน พี่ชายของนางเสียชีวิตในสนามรบ จึงแต่งงานกับหมอเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ซีเป่ย เวลานี้นางนั่งอยู่คนเดียวที่มุมหนึ่ง และไม่เห็นว่านางจะกินอะไร

“อาหารไม่ถูกปากหรือ?”

สตรีผู้นั้นตกใจทันที “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าเพียงรู้สึกเมาเรือ เลยกินไม่ลงเจ้าค่ะ”

จี้จือฮวนพยักหน้ารับรู้ “เช่นนั้นข้าจะให้คนหยิบส้มมาให้ ดมกลิ่นแล้วจะได้รู้สึกดีขึ้น”

หญิงสาวเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”

ฉินต๋าเอ่ย “คนที่กำลังคุยกับเผยฮูหยินอยู่น่าสงสัยที่สุด สตรีคนอื่น ๆ ดูเหมือนจะถูกดึงไปเป็นพวก หากไม่อ้างว่าออกมาชมทิวทัศน์ ก็มักจะบอกว่าออกมาสูดอากาศ แต่จะมีนางอยู่ด้วยทุกครั้ง”

“ไม่ได้ ข้าต้องไปบอกฮวนฮวน”

“นี่ เรื่องนี้จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้เด็ดขาด ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือพวกนางล้วนเป็นครอบครัวของกองทัพทหารเกราะเหล็ก ใครจะเชื่อว่าคนในครอบครัวตัวเองจะเป็นหนอนบ่อนไส้กัน? เจ้าให้แม่ทัพเผยกับฮูหยินจัดการจะดีกว่า”

“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”

ฮวาเซียงเซียงออกมาก็ปรายตามองสตรีผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนจะดึงจี้จือฮวนมาคุยที่ด้านใน เล่าในสิ่งที่ฉินต๋าบอกเมื่อครู่ให้นางฟังอีกครั้ง

“พวกเจ้าต้องระวังเอาไว้นะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านอาสามที่เตือนด้วย” จี้จือฮวนมีแผนการอยู่ในใจแล้ว ก่อนจะเปิดม่านออกไปพร้อมทำสีหน้าปกติ

หลังจากกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงได้แยกย้ายกันขึ้นรถม้า โดยฮวาเซียงเซียงจะไปเมืองหลวงกับฉินต๋า หากมีอะไรให้ติดต่อกันทางจดหมาย

จี้จือฮวนมองความกังวลในแววตาของนางออก จึงหันไปยิ้มให้กับนาง แล้วจึงให้คนออกเดินทางไปหมู่บ้านตระกูลเฉิน

ไม่ว่าผู้ที่มาจะมีแผนการอะไร เมื่อมาถึงที่หมายแล้ว ก็จะเผยพิรุธออกมาเอง

คนของหมู่บ้านตระกูลเฉินรออย่างใจจดใจจ่อที่ทางเข้าหมู่บ้านนานแล้ว เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ใกล้เข้ามา คนที่จุดประทัดก็รีบจุดประทัด และกระถางไฟก็ถูกจุดขึ้น บ้างใช้ใบทับทิมจุ่มน้ำสะอาดขึ้นมาพรม เพื่อขับไล่เคราะห์ร้ายต่าง ๆ

จี้จือฮวนถูกเผยยวนอุ้มลงมาจากหลังม้า ทั้งสองคนมองดูเหล่ากองทัพทหารเกราะเหล็กที่ได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา และจี้จือฮวนก็ปรายตามองไปทางสตรีที่อยู่คนเดียวผู้นั้นเล็กน้อย

ไท่ซ่างหวงกับองค์หญิงใหญ่นั่งอยู่ที่หน้าประตูศาลบรรพชน มองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม

“ส่งจดหมายให้ถู่เจียแล้วใช่หรือไม่?”

กลุ่มทูตมาส่งนางที่ชายแดนของต้าจิ้น สุดท้ายกลับถูกลอบโจมตี ทำให้กลัวจนไม่กล้าเข้าเมืองหลวงและกลับไปที่จวนอีก หากนางยังไม่เขียนจดหมายกลับไปบอกอีก เกรงว่าลูกชายของนางคงคิดว่านางตายไปแล้วก็เป็นได้

“เขียนแล้ว ถูลี่เปิ่นบอกว่ารอจัดการเรื่องในแคว้นเรียบร้อยแล้วจะมาส่งข้าด้วยตัวเอง แต่ข้าเป็นห่วงท่านจึงได้ออกมาก่อน”

“เจ้าเด็กนั่นหน้าตาเหมือนเจ้าหรือไม่?” ไท่ซ่างหวงเอ่ยถาม

“เหมือนท่านข่าน” องค์หญิงใหญ่เอ่ยถึงตรงนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “แต่ครั้งนี้ที่ข้ากลับมายังมีอีกเหตุผลหนึ่งด้วย คิดว่าครั้งนี้หากถูลี่เปิ่นมาคารวะท่านที่ต้าจิ้น คงจะมาสู่ขอองค์หญิงของต้าจิ้นของเราด้วย”

เรื่องนี้ไท่ซ่างหวงรู้ดี อีกทั้งทางถู่เจียเองก็จะมีองค์หญิงแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์มาด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้สำนักหอดูดาวหลวงได้คำนวณชะตาดูแล้ว บอกว่าต้องหมั้นกับเซี่ยหยางถึงจะเหมาะสมที่สุด

.

.

.