บทที่ 298 จุดประสงค์คืออะไร

เพียงแต่ตอนนั้นที่พูดเรื่องนี้กัน หานกุ้ยเฟยไม่ตกลง เป็นตายอย่างไรก็ต้องให้ลูกสาวตระกูลหานเป็นภรรยาเอกของเซี่ยหยางให้ได้ เรื่องนี้จึงเตะถ่วงมาถึงตอนนี้

“รอคนมาแล้วค่อยว่ากันเถอะ” เมื่อคิดว่าอีกไม่นานจะได้พบลูกชายแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ก็กว้างขึ้น รู้สึกมีเรี่ยวแรงเหมือนสามารถเล่นไพ่ได้มากกว่าปกติถึงสองตาเลยทีเดียว!

จี้จือฮวนกับเผยยวนจัดเตรียมบ้านสำหรับครอบครัวทหารเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่อยู่ หลังจากบอกเรื่องที่พักเรียบร้อยแล้ว จี้จือฮวนจึงพาพวกนางไปทำความคุ้นเคยกับหมู่บ้านตระกูลเฉินด้วยตัวเอง และคอยสังเกตสตรีที่น่าสงสัยผู้นั้นไปด้วย

เห็นได้ชัดว่านางพยายามทำตัวเข้ากับทุกคน เพียงแต่สตรีที่สูญเสียครอบครัวคนหนึ่ง ทั้งยังถูกลักพาตัวไปและได้รับการช่วยเหลือกลับมา เมื่อเห็นคนอื่น ๆ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จะไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?

นางเอาแต่มองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

แต่ท่าทีเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นนางก็จะดึงพี่น้องที่สนิท ๆ มากระซิบกระซาบ หากไม่ได้เผยพิรุธจนถูกจับได้ตอนที่อยู่กองเรือ เกรงว่าคนทั่วไปก็คงไม่คิดว่านางผิดปกติไปจากคนอื่น

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจี้จือฮวนก็จะพานางไปหาสิ่งที่นางต้องการ

คงไม่เหมาะเท่าใดนักหากเผยยวนจะอยู่กับกลุ่มผู้หญิง แต่ตอนที่ทั้งสองกลับมาถึงหมู่บ้าน ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่ได้มาจากฉินต๋าแล้ว

ดังนั้นเผยยวนจึงแสร้งทำเป็นรวบผมให้จี้จือฮวน แต่กลับเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ระวังตัวให้มาก”

“วางใจเถอะ เรื่องของคนผู้นั้นปล่อยให้ผู้หญิงอย่างเราจัดการดีที่สุด” ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารเกราะเหล็ก ไม่เหมาะที่จะสั่งลงโทษครอบครัวทหารคนหนึ่ง

แต่หากให้นายหญิงของกองทัพทหารเกราะเหล็กจัดการกลับเป็นอะไรที่เหมาะสมที่สุด เมื่อมีคนกล้ายื่นมือเข้ามาในหมู่บ้านตระกูลเฉิน และต้องการใช้ครอบครัวทหารสร้างปัญหาภายในกองทัพทหารเกราะเหล็ก เช่นนั้นก็ต้องดูด้วยว่าที่นี่คือที่ใด

คนอย่างจี้จือฮวนเป็นใครกัน!

เผยยวนพยักหน้าให้แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เดิมควรเป็นวันรวมญาติที่มีแต่ความสุข ทว่ากลับมีคนส่งไส้ศึกมาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ได้

“เอาล่ะ เลิกกังวลได้แล้ว ที่นี่ยังมีข้าอยู่ แต่ตอนนี้งานที่เร่งด่วนของเจ้าก็คือฝึกทหารชั้นยอดขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่งเผื่อเอาไว้”

เผยยวนบีบมือของนางเบา ๆ ก่อนจะจากไป

เมื่อเห็นเขาจากไปแล้ว บทสนทนาของพวกผู้หญิงก็เริ่มขึ้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกนางอยากจะถามจี้จือฮวน

พวกเด็ก ๆ วิ่งตามกันมาทางด้านหลัง และแนะนำหมู่บ้านตระกูลเฉินให้พวกนางรู้จักอย่างกระตือรือร้น

บรรดาพี่ชายในครอบครัวสั่งว่าต้องเคารพจี้จือฮวนเหมือนที่เคารพท่านแม่ทัพ ดังนั้นพวกนางจึงอยู่เฉพาะในพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น ไม่นานก็กลับมาพักผ่อน มีเพียงคนที่อยากรู้อยากเห็นไม่กี่คนเท่านั้น ที่เดินไปก็คอยหันหลังกลับมามองเป็นระยะ

จากการพูดคุยเมื่อครู่ จี้จือฮวนก็จำชื่อของพวกนางทั้งหมดได้แล้ว รวมถึง ‘หลิงชุน’ ผู้น่าสงสัยคนนั้นด้วย

“พี่เฟินเฟิน ท่านว่าฮูหยินของท่านแม่ทัพเก่งกาจจริงหรือเจ้าคะ?”

เฟินเฟินถูกช่วยมาจากเป่ยป้าเทียน และเริ่มทำงานในโรงงานเวชสำอางมานานแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็ปาดเหงื่อเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นมา “ฮูหยินเป็นคนดีมาก และมีความสามารถมากเช่นกัน พวกเจ้าต้องตั้งใจเรียนรู้จากฮูหยินให้ดี แม้จะเรียนรู้ได้เพียงเล็กน้อย ทว่ากลับซีเป่ยไปก็เพียงพอให้พวกเราใช้ทำมาหากินได้แล้ว”

สาวน้อยได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นว่าฮูหยินอายุยังน้อยอยู่เลย อายุไล่เลี่ยกับพวกเราด้วยซ้ำ เหตุใดถึงมีความสามารถมากเพียงนั้นเล่าเจ้าคะ?”

“สามารถเป็นฮูหยินได้ต้องมีความสามารถอยู่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าลูกสาวของหัวหน้ากลุ่มกองเรือก็คือเถ้าแก่เนี้ยฮวาที่เจอวันนี้ สนิทกับฮูหยินของเรามาก หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์นี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อใดพวกเราถึงจะได้กลับมาพบกัน ใช่หรือไม่เจ้าคะ พี่หลิงชุน”

จู่ ๆ ก็ถูกเรียกชื่อขึ้นมา หลิงชุนจึงยกยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ “ใช่แล้ว ฮูหยินมีความสามารถมากจริง ๆ เพียงแต่ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ฮูหยินเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ กุลสตรีที่มาจากตระกูลใหญ่เช่นนาง เหตุใดถึงทำเรื่องเหล่านี้เป็นได้? ทั้งทำอาหารเป็น ทั้งรู้เรื่องการแพทย์”

“ฮูหยินทำเป็นหลายอย่างเลยแหละ ได้ยินว่าวิทยายุทธ์ก็ไม่ธรรมดา” เฟินเฟินหยิบเครื่องนอนออกมา “พี่น้องทุกท่านอยู่กันตามสบาย การติดตามท่านแม่ทัพกับฮูหยินนั้นถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว”

“เช่นนั้นเมื่อใดพวกเราถึงจะกลับซีเป่ยได้หรือเจ้าคะ? ข้าคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่แล้ว”

“ได้กลับแน่นอน ท่านแม่ทัพบอกว่า รออีกหน่อยพวกเราก็จะได้กลับแล้ว”

เมื่อเห็นว่าพวกนางเปลี่ยนเรื่อง หลิงชุนจึงถามแทรกขึ้นมา “จะว่าไปแล้วเมื่อครู่ตอนไปสำรวจในหมู่บ้าน เห็นมีเรือนหลายหลังปิดประตูเอาไว้ รอบ ๆ เลี้ยงสุนัขเฝ้าเอาไว้ด้วย เพราะอะไรอย่างนั้นหรือ?”

เฟินเฟินชะงักมือ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่ไม่ควรถาม อย่าได้ถามเป็นอันขาด ถามไปพวกเราก็ไม่รู้อยู่ดี”

“ใช่แล้ว ตอนนี้ที่นี่ก็คือค่ายทหาร พี่ข้าบอกว่านอกจากพวกเขาต้องเคารพกฎทหารแล้ว พวกเราก็ต้องเคารพกฎด้วยเช่นกัน สิ่งที่ไม่ควรมองก็อย่ามอง ไม่ควรถามก็อย่าถาม ไม่ควรไปก็ยิ่งอย่าไป”

หลิงชุนหลุบตาลง “ข้าเพียงแค่ถามด้วยความสงสัยก็เท่านั้น”

“อ๊ะ ฮูหยินกลัวว่าเจ้าจะยังมีอาการเมาเรือค้างอยู่ จึงให้คนเอาลูกอมมาให้เจ้าโดยเฉพาะ เจ้าอมเอาไว้ก็จะไม่ทรมานแล้ว”

หลิงชุนรับมาไว้ในมือ ก่อนจะมองไปด้านนอกอย่างครุ่นคิด

จี้จือฮวนเรียกพวกอาอินอาฝูให้มาหา “เหล่ากองทัพทหารเกราะเหล็กตัวน้อย ตอนนี้หากข้ามอบหมายภารกิจหนึ่งให้พวกเจ้า พวกเจ้าจะทำสำเร็จหรือไม่?”

อาฝูดวงตาเป็นประกายขึ้นมา “ภารกิจอะไรหรือขอรับ! ท่านน้าฮวนฮวน ท่านรีบพูดสิขอรับ!”

จี้จือฮวนเอ่ยอย่างครุ่นคิด “หากมอบภารกิจให้พวกเจ้า ต้องทำสิ่งนี้ให้สำเร็จและห้ามส่งผลต่อการเรียน ห้ามเปิดเผยกับคนนอก ห้ามทำอะไรโดยพลการ”

“ท่านแม่ ท่านรีบบอกมาสิเจ้าคะ ว่าจะให้พวกเราทำอะไร” อาอินเองก็ตั้งตารอเช่นกัน ช่วงนี้ท่องตำรากับท่านทวดทุกวันหัวนางจะโตอยู่แล้ว

จี้จือฮวนชี้ไปยังที่พวกผู้หญิงเหล่านั้นพักอาศัย และขอให้พวกเขาใช้เวลาว่างคอยจับตามองคนที่มาใหม่เหล่านั้น พวกนางต้องการทำอะไรก็ปล่อยให้พวกนางทำ โดยไม่ต้องไปขัดขวางพวกนาง แค่มารายงานนางทันทีก็พอ

อาอินหัวไวกว่าใคร เมื่อพวกอาฝูพยักหน้ารับคำและวิ่งจากไปแล้ว นางจึงเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “ท่านแม่สงสัยว่าในนั้นมีไส้ศึกหรือเจ้าคะ?”

อย่างไรเสียอาอินก็ไม่ได้เติบโตมาในหมู่บ้าน ดังนั้นเรื่องการส่งไส้ศึกเข้ามาในค่ายทหาร นางย่อมรู้ตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อได้ยินจี้จือฮวนสั่งเช่นนี้ สัญชาตญาณก็ทำงานโดยทันที

จี้จือฮวนก็ไม่ได้ปิดบังนาง เพราะอาอินนั้นเฉลียวฉลาดอย่างมาก มอบหมายเรื่องนี้ให้นางก็วางใจ

“ถูกต้อง”

อาอินตบหน้าอก “วางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะจับตาดูพวกนางไม่ให้คลาดสายตาเลยเจ้าค่ะ”

จี้จือฮวนยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เมื่อครู่นางสังเกตเห็นว่าหลิงชุนจ้องไปยังเรือนที่ขังท่านหญิงซ่างหยางอยู่พักใหญ่ คิดว่าต่อไปนางคงต้องหาวิธีเข้าไปตรวจสอบเป็นแน่

จี้จือฮวนจึงเดินตรงไปยังเรือนหลังนั้น

ความจริงแล้วที่นี่ไม่ได้มีคนเฝ้ามากมายอะไร เพราะถึงแม้จะออกจากที่นี่ไปได้ ก็ไม่สามารถออกจากหมู่บ้านตระกูลเฉินได้อยู่ดี ตรงกันข้ามยิ่งมีการป้องกันที่แน่นหนามากเท่าไรก็ยิ่งดึงดูดความสนใจได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่ใช่คนที่มีเจตนาบางอย่าง ใครกันจะหาเรื่องเข้าไปในที่ที่ประตูลงกลอนเอาไว้ให้ได้

หลังจากจื่อเยว่พิการก็ถูกขังอยู่ในเรือนเช่นกัน และมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องการกินการถ่ายของท่านหญิงซ่างหยาง ตอนนี้กรรมได้ตามสนองเซี่ยฉงฟางแล้ว และนางก็กำลังได้ลิ้มรสอย่างที่เผยยวนเคยรู้สึก การนอนอยู่บนเตียงโดยมีความรู้สึกครบถ้วน แต่กลับเคลื่อนไหวไม่ได้ ทุกวันต้องอยู่กับความทุกข์ที่ปรารถนาอยากจะได้เผยเกอ จี้จือฮวนคิดว่าเซี่ยฉงฟางต้องเกลียดตนเข้ากระดูกดำเป็นแน่

ประตูบานเก่าถูกผลักออก จื่อเยว่กำลังตากผ้าปูที่นอนด้วยมือที่สั่นเทา เมื่อเห็นจี้จื้อฮวนนางก็ขมวดคิ้วตามสัญชาตญาณ “เจ้ามาทำอะไร?”

จี้จือฮวนหัวเราะเบา ๆ “น่าขัน ที่ของข้า ข้าอยากมาเมื่อไรก็ย่อมได้ เจ้าเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับการที่ข้าจะมาหรือไม่มา? แค่ข้ายอมไว้ชีวิตเจ้า เจ้าก็คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มีเสียงแล้วอย่างนั้นหรือ?”

.

.

.