นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 106 สวีฉางหลินขาดความรักมาก
เหล่าไท่ไท่ทราบดีว่าบุตรสาวตัวเองเป็นคนดื้อดึงจึงไม่เถียงกับนางมาก ตะบึงตะบอนเก็บเสื้อผ้าเสีย “เจ้าไม่ใส่ก็ช่างเถอะ ข้าจะให้พี่สาวคนโตเจ้าใส่ สิบกว่าปีแล้วนางก็ยังไม่เคยได้ใส่ชุดใหม่เลย”
ครั้นเอ่ยถึงบุตรสาวคนโต เหล่าไท่ไท่ก็อดถอนใจไม่ได้
บุตรสาวคนโตอยู่บ้านแม่กินไม่อิ่มใส่ไม่อุ่น แต่งไปบ้านแม่สามี นั่นก็ต้องทนรองรับอารมณ์ตลอดเวลา
เฮ้อ นางให้กำเนิดบุตรสาวสามคน บุตรสาวคนโตช่างมีชะตาอาภัพนัก
ครั้นโจวกุ้ยหลานเห็นสีหน้าเหล่าไท่ไท่กลายเป็นไม่ดี ก็ทราบว่านางคิดถึงความลำบากของพี่สาวคนโต ดังนั้นจึงเอ่ยกับนางว่า “เช่นนั้นท่านแม่ก็ให้นางเถอะ เสื้อผ้าของท่านแม่ข้าก็ซื้อผ้าไว้แล้ว”
“หา? เจ้ายังซื้อผ้าอีก? ทำไมเจ้าถึงถลุงเงินเช่นนี้? ไอ้หยา ท่านปู่สวรรค์ของข้า เจ้าจะเอาชีวิตข้าหรือ!” เหล่าไท่ไท่ตบหน้าขาตัวเอง ทันใดนั้นใบหน้าอมทุกข์ของเหล่าไท่ไท่ในเมื่อครู่ก็กลายเป็นเอะอะมะเทิ่งในทันที
เหล่าไท่ไท่อายุปูนนี้แล้ว ทำไมบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนรวดเร็วปานนี้?
ไม่ใช่ว่าอายุมากจะปล่อยวางนิ่งเฉยหรือ? ทำไมเหล่าไท่ไท่ถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ แถมยังอารมณ์ร้อนอีก?
“ข้าก็บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าจะทำชุดหน้าหนาวกับผ้าห่มน่ะ? ซื้อเยอะหน่อยยังจะถูกลงอีกเยอะ อย่างกับได้เปล่าแน่ะ แล้วทำไมข้าจะไม่เอา? ถ้าไม่เอาจริงๆ นั่นจะไม่ใช่คนโง่หรือ?”
โจวกุ้ยหลานพูดถูกจุดนิสัยเอาแต่ได้ของเหล่าไท่ไท่ เบนเรื่องว่าได้ผลประโยชน์ทันที
และก็เป็นอย่างที่คิด เหล่าไท่ไท่อารมณ์ดีแล้ว ชะโงกหน้าเข้ามา กระซิบถามโจวกุ้ยหลาน “พับหนึ่งถูกไปเท่าไร?”
โจวกุ้ยหลานชูนิ้วชี้ขึ้น
เหล่าไท่ไท่เบิกตาโต “ถูกไปหนึ่งร้อยอีแปะ? ไอ้หยา นั่นถูกไปไม่น้อยเลยนะ!”
“ไม่บอกเจ้า!” ครั้นโจวกุ้ยหลานกล่าวจบก็อดหัวเราะขึ้นไม่ได้ รีบเก็บนิ้วชี้แล้วขยับไปนั่งห่างอีกหน่อย กลัวว่าเหล่าไท่ไท่จะโมโหตีนาง
แล้วก็เป็นจริง เหล่าไท่ไท่ไม่ทำให้นางผิดหวัง โบกมือจะตีนางทันที
โจวกุ้ยหลานขดตัวเป็นก้อน “ข้าแต่งงานแล้วนะ ท่านแม่ยังจะตีข้าอีก!”
“ที่ตีก็คือเจ้านั่นแหละ! กล้าหลอกให้ข้าตกใจหรือ ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม!” เหล่าไท่ไท่ตะบึงตะบอนย้อนมาประโยคหนึ่ง ยังคิดจะตีอีกแต่เห็นท่าทางโจวกุ้ยหลานแล้วจึงชะงักงันเก็บมือ
เห็นเหล่าไท่ไท่เก็บมือทั้งสองแล้ว โจวกุ้ยหลานถึงได้นั่งเหยียดตัวตรงยิ้มตาหยี
แต่การเอะอะเมื่อครู่กลับทำให้เจ้าก้อนน้อยตกใจตื่น ลืมตาขึ้นเห็นผู้หญิงสองคนนั่งหันหลังให้ เมื่อเห็นพวกนางกำลังสนทนากันอยู่จึงหลับตาลง สะลึมสะลือผล็อยหลับไปอีกครั้ง
“ท่านแม่ ผ้ากับฝ้ายก็ซื้อมาแล้ว รอแต่ท่านแม่ไปทำที่บ้านข้าเท่านั้น ถ้าขนของลงเขายังต้องผ่านครึ่งหมู่บ้าน ถ้าคนเห็นจะพากันนินทากันอีก”
วันนี้โจวกุ้ยหลานมีจุดประสงค์ในการมา นั่นก็คือรับเหล่าไท่ไท่ไปตัดเสื้อผ้าที่บ้านนาง และปรับเปลี่ยนอาหารของเหล่าไท่ไท่ด้วย
“เจ้าใช้เงินไปเท่าไรเนี่ย ยังมีให้พี่ชายเจ้ายืมอีกหรือ? ข้าบอกว่าก่อนนะ พี่สาวทั้งสองของเจ้าไม่มีสักอีแปะ ข้าก็ได้แต่หวังกับเจ้าแล้ว!”
เหล่าไท่ไท่เอ่ยพลางกังวล
หลายวันก่อนนังเด็กนี่ยังบอกว่าจะให้นางยืมสิบตำลึง วันนี้กลับมาบอกนางว่าซื้อของมากมาย เงินจะยังพอหรือไม่ยังยากจะเอ่ย
โจวกุ้ยหลานไม่พูดมาก ยื่นมือล้วงถุงเงินจากอกออกมาถุงหนึ่ง แล้ววางไว้บนโต๊ะ พยักพเยิดกับเหล่าไท่ไท่ “เปิดดูสิ”
ครั้นเห็นถุงเงิน ดวงตาทั้งคู่ของเหล่าไท่ไท่ก็เริ่มเปล่งประกาย ยื่นมือไปหยิบถุงเงินไว้ในมือ
หลังจากลูบถุงเงิน นางก็อดถอดทอนใจไม่ได้ “ผ้าดีอย่างนี้ ลูบแล้วยังลื่นมือ!”
“ก็ใช่สิ นี่เป็นของที่เถ้าแก่ใหญ่ให้มาเชียวนะ” โจวกุ้ยหลานเขยิบเข้าไป กล่าวกับเหล่าไท่ไท่
เหล่าไท่ไท่จุๆ ปาก “ไม่งั้นข้าตัดมาทำที่รัดผมให้เจ้าเถอะ?”
“อย่าเชียวนะ! ข้ายังต้องใช้มันใส่เงินอีก!” โจวกุ้ยหลานตกใจ รีบห้าม
นางไม่สงสัยในการทำให้เป็นจริงในถ้อยคำนี้ของเหล่าไท่ไท่สักนิด
“ผ้าดีขนาดนี้ เอามาทำถุงเงินสิ้นเปลืองเปล่า…”
เหล่าไท่ไท่ยังคงอาลัยอาวรณ์นิดๆ แต่เมื่อทอดถอนใจเสร็จก็เปิดถุงออก เมื่อเห็นเงินที่อยู่ข้างใน ดวงตาคู่น้อยๆ ก็ฉายแววละโมบขึ้นมา
นางก้มหน้า นับในถุงรอบหนึ่ง เหมือนว่าจะเป็นสิบตำลึง แต่นางนับผิดไปหรือเปล่า?
อื่ม เช่นนั้นก็นับอีกรอบ!
โจวกุ้ยหลานมองเหล่าไท่ไท่นับครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ข้างๆ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเตือนนาง “ประเดี๋ยวมีคนมาก็รู้ว่าท่านแม่มีเงินเยอะหรอก ข้าจะดูสิว่าถึงตอนนั้นท่านแม่จะบอกเขายังไง ถ้าถูกขโมย…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เหล่าไท่ไท่ก็รับผูกถุงเงินแน่น เก็บไว้ในอกตัวเอง ลงจากเตียงเตาแล้วผลักโจวกุ้ยหลานออกไปข้างนอก
“เจ้ารีบออกไปเลย! ข้าจะเก็บเงิน!”
โจวกุ้ยหลานยังไม่ทันรับคำก็ถูกเหล่าไท่ไท่ผลักออกข้างนอกแล้ว จากนั้นเหล่าไท่ไท่ก็รีบคล้องประตูอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ ท่านแม่ ข้ายังเป็นลูกแท้ๆ ของท่านแม่หรือไม่?”
“ลูกแท้ๆ แล้วยังไง? มีคนมากมายที่เลี้ยงงูเห่า?” เหล่าไท่ไท่ไม่ยอมแก้ ตะโกนออกมาจากห้อง
โจวกุ้ยหลานลูบแขนที่ถูกทำจนเจ็บของตัวเอง เบะปาก แต่ครั้นหมุนตัวก็เห็นสวีฉางหลินที่กำลังหาบน้ำมองนางอยู่พอดี
“ดูอะไร รีบๆ หาบน้ำให้เสร็จเราจะได้กลับ”
โจวกุ้ยหลานอีหลักอีเหลื่อเล็กน้อย ถูกมารดาแท้ๆ รังเกียจแล้วยังถูกผู้ชายของตัวเองเห็นเข้าอีก
“สตรีออกเรือน น้ำที่สาดออก” ริมฝีปากบางของสวีฉางหลินเอ่ยขึ้น
โจวกุ้ยหลานอยากแย้ง แต่สวีฉางหลินละสายตาจากนางแล้ว เบี่ยงตัวหาบน้ำเข้าห้องครัว
นางตามเข้าไปด้วย เมื่อถึงห้องครัว นางเห็นสวีฉางหลินกำลังเทน้ำลงตุ่ม ตุ่มนั้นใกล้จะเต็มแล้ว
“ท่านแม่ของเจ้าก็ทำอย่างนี้กับเจ้าหรือ?” จู่ๆ โจวกุ้ยหลานก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้
เมื่อถามจบ นางถึงนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่เคยพบแม่สามีเลย
นางจากสวีฉางหลินกับเจ้าก้อนน้อยก็ยังไม่เคยพบครอบครัวแม่สามีสักคน
สวีฉางหลินกลับไม่รู้สึกอะไร น้ำเสียงราบเรียบ “ข้าเป็นลูกชาย นางย่อมดีต่อข้า แต่ นางจากไปตั้งแต่สิบปีที่แล้ว”
หา ยังเป็นบุตรไม่มีมารดาอีก มิน่าล่ะถึงได้ไม่ร่าเริงแบบนี้
“แล้วท่านพ่อเจ้าล่ะ?” โจวกุ้ยหลานถามต่อ
คราวนี้สวีฉางหลินช้อนตาขึ้นน้อยๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับคืนสู่ความปกติก่อนจะตอบ “ตายแล้วเหมือนกัน”
นี่…
สวีฉางหลินยังเป็นลูกกำพร้าด้วยหรือนี่…
บวกกับแม่ของเจ้าก้อนน้อย บางทีก็อาจตายไปแล้ว…
พอคิดอย่างนี้ จู่ๆ โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกว่าสวีฉางหลินน่าเวทนาโดยแท้!
ชีวิตอย่างนี้ จะขาดแคลนความรักขนาดไหนกัน…
ถึงช่วงนี้นางจะนับว่าดีกับเขา แต่ก็นับไม่ได้ว่าดีมาก…
โจวกุ้ยหลานรู้สึกแน่นอก สายตาที่มองสวีฉางหลินแฝงความอนาทรห่วงใยเล็กน้อยด้วย
“ไม่เป็นไร ต่อไปเราครอบครัวเดียวกันก็อยู่กันอย่างมีความสุขเถอะ” โจวกุ้ยหลานปลอบเขา
แต่…แม่ของเจ้าก้อนน้อย แท้จริงแล้วจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ?
มือสวีฉางหลินที่กำลังวางถังชะงักทีหนึ่ง จากนั้นก็ “อื่ม”