บทที่ 104 แยกบ้าน (จบ)
เมื่อตัดสินใจแล้วโจวกุ้ยหลานก็ลุกขึ้นยืน กระแอมกระไอกล่าวกับเหล่าไท่ไท่ “ท่านแม่ เอากุญแจบ้านให้ข้าเถอะ สวีฉางหลินกับเสี่ยวเทียนรออยู่ที่หน้าประตูบ้าน ข้าจะไปเปิดประตูให้พวกเขานั่งกันก่อน”
“หา? เจ้าเด็กนี่ ทำไมไม่บอกแต่แรกเล่า?” เหล่าไท่ไท่ตกใจลุกขึ้นยืน
โจวกุ้ยหลานคิดไม่ถึงว่านางจะสะดุ้งหนักขนาดนี้ จึงพลอยตกใจไปด้วย “ข้าเห็นบ้านท่านลุงใหญ่เจอกับปัญหา ก็เลยไม่กล้าบอก…”
“ฉะนั้นเจ้าก็ให้พวกเขารออยู่ข้างนอกนานขนาดนี้ได้หรือ?” เหล่าไท่ไท่กระฟัดกระเฟียดโต้กลับ จากนั้นก็เอ่ยกับหลี่ซิ่วยิงทันที “พี่สะใภ้ ข้าจะกลับไปดูก่อน ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าค่อยกลับมาใหม่นะ”
หลี่ซิ่วยิงเช็ดน้ำตาตอบ “เจ้ากลับไปเถอะ ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวพวกเขาก็จะแยกบ้านแล้ว จบเรื่องก็คือจบ”
เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ เหล่าไท่ไท่ก็สงบใจได้
กำชับนางนิดหน่อยในตอนท้าย แล้วจึงพาโจวกุ้ยหลานเดินออกไปข้างนอกอย่างรีบเร่ง
จนกระทั่งออกจากบ้านโจวต้าซานแล้ว เหล่าไท่ไท่ถึงเริ่มตำหนิโจวกุ้ยหลาน “มีที่ไหนทำอย่างเจ้าบ้าง ให้พวกเขารออยู่ข้างนอกอย่างนั้นได้ยังไง? เจ้าไม่กลัวว่าฉางหลินจะอารมณ์เสียหรือ?”
“ข้าจะพูดแทรกขึ้นมาหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จะพูดต่อหน้าหวังหยู่ชุนว่าครอบครัวเรามีธุระจะให้ท่านกลับก็ไม่ได้กระมัง?” โจวกุ้ยหลานตอบ
อย่างไรเสียตอนนั้นครอบครัวท่านลุงใหญ่ก็กำลังมีเรื่องใหญ่โต จะด้วยความรู้สึกหรือด้วยเหตุผลเหล่าไท่ไท่ก็ไปตอนนั้นไม่ได้
และถึงจะบอกนาง ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี
เหล่าไท่ไท่สาวเท้าเร็วกว่าเดิม แล้วหันกลับมาถลึงตากับโจวกุ้ยหลานทีหนึ่ง “มีแต่เจ้าที่เลื่อนเปื้อน!”
เมื่อตำหนิติเตียนอย่างนี้แล้ว โจวกุ้ยหลานจึงไม่กล่าวอะไรอีก ตามเหล่าไท่ไท่กลับบ้านพร้อมกัน
พอถึงหน้าประตูก็เห็นเสี่ยวเทียนกำลังนั่งยองกับพื้นถือกิ่งไม้เขี่ยมดอยู่ ส่วนสวีฉางหลินนั่งอยู่บนกระสอบข้าวสาร เมื่อเห็นพวกเขากลับมาก็ลุกขึ้นยืนรอพวกนาง
ดูท่าคงรอมานานมากแล้ว
เหล่าไท่ไท่เดินไปสองสามก้าว มือไขกุญแจไปพลาง ปากก็ทักทายกับพวกเขาไปพลาง “รอนานแล้วสิ?”
“ไม่เป็นไรท่านแม่” สวีฉางหลินขานรับ
เหล่าไท่ไท่เปิดประตู แล้วเท้าไปหยิบถ้วยสามใบที่ห้องครัว จากนั้นจึงเทน้ำให้พวกเขาดื่ม สีหน้าไม่สู้ดีเล็กน้อย
“ครอบครัวลุงใหญ่เจ้ากำลังมีเรื่อง ข้าเองก็ปลีกตัวกลับมาไม่ได้ ทำให้พวกเจ้าต้องรออยู่ที่หน้าประตูตั้งนาน” ว่าแล้ว ในใจเหล่าไท่ไท่ก็รู้สึกเกรงใจเล็กน้อย
แต่ตอนนี้กลับไม่ได้โยนความผิดให้โจวกุ้ยหลาน อย่างไรก็เป็นบุตรสาวของตัวเอง นางรักของนาง
“ไอ้หยา ครอบครัวเดียวกัน จะพูดแบบนี้ทำไม?” โจวกุ้ยหลานกล่าวสืบต่อ ไม่อยากให้เหล่าไท่ไท่ติดใจกับเรื่องนี้อีก “ท่านแม่ นี่เป็นข้าวสารหนึ่งกระสอบ ท่านแม่กับพี่ชายกินกันก่อนเถอะ”
“หา?”
เหล่าไท่ไท่ตกใจลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เคลื่อนสายตาไปทางกระสอบใบใหญ่ที่สวีฉางหลินนั่งอยู่เมื่อครู่
กระสอบใบใหญ่ปานนั้นเป็นข้าวหมดเลยหรือ? ทำไมนางไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด?
เหล่าไท่ไท่สาวเท้าเดินไปเปิดถุงกระสอบออก ล้วงขึ้นมากำมือหนึ่ง แล้วแบออกมองตรงหน้า โอ้โฮ ข้าวสารขาวๆ จริงด้วย!
“กระสอบใบเบ้อเร่อเป็นข้าวหมดเลยหรือ?” เสียงเหล่าไท่ไท่สั่นนิดๆ
ไอ้หยา พระเจ้า นี่มันจะเรื่องใหญ่แล้ว ทำไมมีข้าวสารเยอะแยะขนาดนี้ได้? กระสอบเบ้อเร่อ ต้องหนักร้อยกว่าจินกระมัง?
“ข้ายังจะหลอกท่านแม่ได้หรือ?” เห็นท่าทางของเหล่าไท่ไท่แล้ว โจวกุ้ยหลานก็อารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ
จะว่าอย่างไรดีล่ะ ท่าทางที่เหล่าไท่ไท่แสดงออกนั่นแหละ ถึงจะเป็นความสุขขีสโมสรแบบพรั่งพร้อมสมบูรณ์
เจ้าก้อนน้อยยังเด็กเกินไป ไม่เข้าใจว่ารายได้ที่ครอบครัวพวกเขาหามามากน้อยอย่างไร และไม่ทราบว่าข้าวสารมากขนาดนี้หมายถึงพวกเขาสามารถกินอิ่มหนำสำราญ แต่ไหนมาสวีฉางหลินมีใบหน้าไร้อารมณ์มาตลอด ดังนั้นจึงมองไม่ออกว่าเขาดีใจมากขนาดไหน
มีเพียงเหล่าไท่ไท่ นั่นแหละถึงจะเรียกว่าอารมณ์มีสีสัน!
นี่สิถึงเป็นความรื่นเริงบันเทิงใจในการหาเงินมีเสบียงกรังที่แท้จริง!
“นั่นน่ะ พวกเจ้าพอกินไหม ทำไมเอามาตั้งเยอะแยะ?” เหล่าไท่ไท่ยิ้มหน้าชื่อตาบาน กล่าววาจากระท่อนกระแท่นเล็กน้อย
สำหรับเหล่าไท่ไท่ผู้น่ารักคนนี้ โจวกุ้ยหลานกลับไม่ได้ปิดบัง พลันเอ่ยปาก “ทีแรกยังอยากเอาแป้งมาให้พวกท่านอีก แต่กลัวว่าท่านแม่จะไม่อยู่บ้าน ก็เลยเอาข้าวสารมากระสอบหนึ่งก่อน ท่านแม่ ต่อไปพวกเราไม่ต้องอดอยากกันแล้วนะ กินข้าวสารได้แล้ว!”
“ดีจริง! ดีจริงๆ!” เหล่าไท่ไท่สะท้อนใจไม่หยุด
แต่พอหันไปทางสวีฉางหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ ในหน้าก็ขึงตึงทันที “พวกเจ้าอยู่อย่างมีความสุขก็พอแล้ว มีที่ไหนยังขนข้าวของมาบ้านแม่เยอะแยะขนาดนี้?”
กล่าวจบ เหล่าไท่ไท่ก็พยักพเยิดกับโจวกุ้ยหลาน บอกนางว่าสวีฉางหลินยังอยู่ที่นี่แน่ะ
แต่โจวกุ้ยหลานยังไม่ทันเอ่ยปาก สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นอย่างรู้จักดูสีหน้ามาก “ท่านแม่ จะกตัญญูต่อท่านแม่ก็สมควรอยู่แล้ว”
ลูกเขยเอ่ยปากแล้ว เหล่าไท่ไท่ยังจะพูดอะไรได้อีก?
ก็ต้องอวดพ่อลูกเขยคนเล็กคนนี้อยู่แล้ว!
“ไอ้หยา ยังเป็นฉางหลินที่ดี ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็ตีเมียไปนานแล้ว ฉางหลินเป็นคนดี แถมยังกตัญญู เอาใจเมียอีก กุ้ยหลานได้แต่งกับเจ้าช่างโชคดีจริงๆ!”
เหล่าไท่ไท่เริ่มอวดสวีฉางหลินอีกครั้ง พร้อมกดโจวกุ้ยหลานบุตรสาวแท้ๆ ของตนสักหน่อย
จะไม่ทำอย่างนี้ได้หรือ? บุตรสาวตัวเองไม่รู้จักดู ถึงอยากดูแลบ้านแม่ก็เถอะ แต่จะขนของมาที่บ้านต่อหน้าผู้ชายตัวเองอย่างเอิกเกริกแบบนี้ก็ไม่ได้!
ดีที่ฉางหลินเป็นคนดี ถ้าเป็นคนอื่น น่ากลัวว่าต้องตบตีเมียแล้ว!
“กุ้ยหลานเป็นคนดีมาก”
สวีฉางหลินกลับไม่ได้คล้อยตามคำพูดของเหล่าไท่ไท่ แต่ให้ท้ายภรรยาตัวน้อยของตนแทน
เหล่าไท่ไท่พึงพอใจกับคำตอบของเขามากขึ้นอีก
บุตรสาวของนางก็ต้องดีอยู่แล้ว และการที่พ่อลูกเขยคนนี้เห็นกระจ่างแจ้ง นั่นก็เพราะเขามีสายตาแหลมคม ดูคนเป็น!
ลูกเขยดีๆ อย่างนี้ นางพอใจเป็นที่สุด พลันว่ากลั้วหัวเราะ “ฉางหลิน เช่นนั้นเจ้าช่วยขนข้าวไปไว้ในห้องข้าได้หรือไม่?”
สวีฉางหลินไม่พูดพร่ำทำเพลงผุดลุกขึ้น ครั้นออกแรงมือก็แบกกระสอบข้าวขึ้นหลังเดินเข้าห้องของเหล่าไท่ไท่แล้ว หลังจากออกมา ยังหยิบถังกับไม้หาบไปหาบน้ำให้เหล่าไท่ไท่อีก
เหล่าไท่ไท่พาโจวกุ้ยหลานเข้านั่งในห้องของตัว เจ้าก้อนน้อยก็ตามเข้าไปด้วย
เขาที่ปกติต้องนอนกลางวันง่วงจนจะไม่ไหวแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงถอดรองเท้าให้เขา แล้วให้เขานอนอยู่บนเตียงเตาของเหล่าไท่ไท่
เหล่าไท่ไท่หยิบตะกร้าเข็มด้ายของตัวเองออกมา ข้างในมีชุดสตรีวางอยู่ชุดหนึ่ง
นางยื่นชุดหน้าให้โจวกุ้ยหลาน “ลองดู”
โจวกุ้ยหลานโบกไม้โบกมือ “ข้ามีเสื้อผ้า ข้าไม่เอาหรอก ท่านแม่เก็บไว้ใส่เองเถอะ”
“นังเด็กโง่ ข้าทำเสร็จแล้ว เจ้าจะลองสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ?”
“ข้าไม่ทะเลาะกับท่านแม่ ท่านแม่เก็บไว้เองเถอะ วันนี้ที่ข้ามาเพราะอยากคุยเรื่องชุดฤดูหนาวกับเรื่องผ้านวมกับท่านแม่” โจวกุ้ยหลานไม่อยากสาละวนกับเรื่องนี้กับเหล่าไท่ไท่
เวลาของนางเป็นเงินเป็นทอง อีกอย่าง ตอนนี้นางไม่ขาดเสื้อผ้าจริงๆ มีหลายตัวผลัดเปลี่ยนซักแล้ว กลับเป็นเหล่าไท่ไท่เสียอีก ชุดที่นางใส่ตรงนั้นปะที ตรงนี้ปะที