เรื่องในชาติที่แล้ว พี่สาวคนโตของนางถูกหย่าร้างเพราะคบชู้ เจียงซื่อไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่หลังจากวันเกิดของท่านย่า นางพยายามจะแอบสืบถาม กลับไม่พบสิ่งใดเลย บัดนี้เมื่อคิดไปคิดมา เจียงซื่อจึงรู้ว่าไม่สามารถยื่นมือเข้าไปที่จวนตระกูลจูได้ เช่นนั้นก็คงทำได้เพียงจับตามองจูจื่ออวี้
ในฐานะสามีของพี่สาวคนโต จูจื่ออวี้จึงเป็นคนใกล้ตัวของเจียงซื่อ ไม่ว่าเมื่อชาติที่แล้วมีความลับอะไรต่อกันมา ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้เป็นคนนอก การจับตามองเขาอาจจะไม่ได้อะไรขึ้นมาแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
เจียงซื่อดูรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
พี่สาวคนโตของนางถูกหย่าร้างเนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีชู้ จึงได้กลับมายังจวนเจียง นางได้ไปพบกับพี่สาวอยู่ครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นพี่สาวคนโตของนางท่าทางเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ถามสิ่งใดไม่ได้ความเลย นางได้แต่บอกว่า ‘ข้ามิได้ทำ’ มองไปแล้วทำให้ไม่สบายใจยิ่งนัก
นางไม่กล้าเอ่ยถามคำถามอื่นเพราะเกรงว่าจะไปกระตุ้นความรู้สึกของพี่สาว นางตั้งใจว่ารอให้พี่สาวคนโตของนางทำใจให้ได้ก่อนแล้วค่อยเอ่ยถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าผ่านไปไม่นาน หลังจากที่นางกลับมาในจวนก็ได้ข่าวว่าพี่สาวคนโตแขวนคอตายไปเสียแล้ว
หากในชาติที่แล้วนางบังคับให้พี่สาวพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา ผลสุดท้ายอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นตอนนี้ที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่สิ ที่จริงก็ไม่ใช่ว่านางไม่รู้อะไรอย่างสิ้นเชิง
เจียงซื่อจำได้ว่าเมื่อชาติที่แล้วสองคนพี่น้องได้พบกันเป็นครั้งสุดท้าย นางได้ฟังประโยคหนึ่งออกจากปากของเจียงอี
นั่นเป็นช่วงเวลาที่นางเดินทางไปปลอบโยนเจียงอีและกำลังจะเดินทางกลับ เมื่อมือของนางเอื้อมไปเปิดม่านผ้าฝ้ายหนาผืนนั้นขึ้นและเดินไปตรงประตู ทั้งลมทั้งหิมะโบกพัดเข้ามาด้านในจนทำให้นางตัวสั่นโดยปริยาย ฝีเท้าหยุดชะงักลงเล็กน้อย
ขณะนั้นเองก็มีเสียงร้องไห้ออกมาจากด้านในว่า “ข้าไม่ควรช่วยนาง!”
น้ำเสียงร้องไห้นั้นเบาบางมาก มันปลิวไปตามสายลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอก จนนางคิดว่าหูฝาดไปเอง
บัดนี้ ผ่านมาถึงหนึ่งชาติ เจียงซื่อก็ยังไม่แน่ใจว่าพี่สาวคนโตของนางได้กล่าวประโยคนั้นออกมาหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรนางจะไม่ปล่อยเงื่อนงำเหล่านี้ให้ผ่านไปเฉยๆ อย่างแน่นอน หากว่าพี่สาวของนางเอ่ยคำนั้นออกมาจริงๆ พี่สาวคนโตของนางช่วยผู้ใดเอาไว้ เหตุใดจึงกล่าวว่าไม่ควรช่วยนาง หรือว่าคนคนนั้นถูกคนอื่นช่วย
คำถามมากมายปรากฏขึ้นในความคิดของเจียงซื่อ นางได้ข้อสรุปว่าตามเหตุผลที่นางไม่เชื่อว่าเจียงอีจะทำผิดประเวณี ประโยคนั้นอาจจะบ่งชี้ให้เห็นว่าการที่พี่สาวคนโตของนางได้พบกับจุดจบของชีวิตเช่นนั้นเป็นเพราะช่วยคนคนหนึ่งไว้
และคนคนนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการไขปัญหาของเจียงอี
แววตาของเจียงซื่อเป็นประกายแวววาว นางจะต้องหาบุคคลคนนี้ให้พบ
“คุณหนูขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน” เมื่ออาเฟยเห็นว่าเจียงซื่อกำลังตกอยู่ในความคิดโดยไม่รู้สึกตัว จึงได้เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
“อืม ไปเถิด จำเอาไว้ว่าทุกสามวันจะต้องกลับมารายงานข้า ไม่ว่าจะมีความผิดปกติไปหรือไม่”
อาเฟยเป็นคนเฉลียวฉลาด เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของเจียงซื่อ เขาก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ขึ้นมาทันใด จึงเอามือตบหน้าอกของตนแล้วกล่าวว่า “คุณหนูวางใจเถิดขอรับ”
เมื่อเดินทางออกจากบ้านเช่านั้น เจียงซื่อก็ได้พาอาหมานไปยังร้านขายเครื่องประทินโฉม
ร้านเล็กๆ แห่งนี้ที่ถูกนางตั้งชื่อว่าลู่เซิงเซียง กลายเป็นร้านที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวานับตั้งแต่ก้าวเข้าไปในประตู มีสตรีเข้าออกอยู่เป็นระยะๆ
ร้านลู่เซิงเซียงอยู่ในความรับผิดชอบของอาเฉี่ยว รวมไปถึงการติดต่อกับซิ่วเหนียงจื่อและการตรวจสอบบัญชีล้วนมีอาเฉี่ยวเป็นผู้รับผิดชอบ
เมื่อไม่กี่วันก่อน อาเฉี่ยวได้มานั่งถอนหายใจต่อหน้านางกล่าวว่าร้านเครื่องประทินโฉมเปิดใหม่ที่อยู่ท่ามกลางร้านเก่าแก่เช่นนี้ นานวันไปอาจจะขาดทุนได้เรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสู้ปิดร้านไปเสียจะดีกว่า
เจียงซื่อมีความสามารถเรื่องของการสูดดมกลิ่น นางรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปของกลิ่น ซึ่งมีความได้เปรียบเฉพาะตัวในด้านกลิ่นหอมเหล่านี้ ในตอนนั้นนางจึงได้เขียนสูตรเซียงลู่ให้แก่อาเฉี่ยว และในไม่ช้ากลิ่นหอมนี้ก็เผยแพร่ออกไปมีชื่อเสียงโด่งดัง
ถึงจะเป็นเซียงลู่เช่นเดียวกัน แต่เซียงลู่ของร้านลู่เซิงเซียงมีกลิ่นหอมมากกว่าเป็นพิเศษ
ความหอมที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเหล่านี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากลู่เซิงเซียงเป็นเซียงลู่ที่ไม่เหมือนใคร มีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ จึงได้รับความนิยมขึ้นมา
เมื่อเข้าไปในร้าน เจียงซื่อไม่ได้ตั้งใจที่จะถอดหมวกเหวยเม่าออก นางมองผ่านผ้าบางๆ ออกไปนอกรอบ ร้านเล็กๆ แห่งนี้ได้รับการดูแลอย่างสะอาดสะอ้าน ของทุกสิ่งอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ สตรีนางหนึ่งใช้ผ้าสีน้ำเงินพันอยู่รอบศีรษะคอยต้อนรับแขกที่เดินทางเข้ามาในร้าน
ร้านเครื่องประทินโฉมเล็กๆ เช่นนี้ มีเพียงแค่เถ้าแก่และผู้ช่วยอีกหนึ่งคนก็เพียงพอแล้ว
ร้านลู่เซิงเซียงเริ่มต้นจากความว่างเปล่าไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ซิ่วเหนียงจื่อผู้ที่ได้เห็นและมีส่วนร่วมในทั้งหมดนี้ ดูเหมือนจะค่อยๆ ฟื้นตัวจากความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกสาวไป บัดนี้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
เจียงซื่อไม่ได้เข้าไปขัดจังหวะซิ่วเหนียงจื่อ แต่กลับพาอาหมานเดินทางจากไป ในใจของนางคิดอย่างเงียบๆ ว่า นางจะปรุงเซียงลู่กลิ่นใหม่ออกมาอีกสักสองกลิ่น เพื่อให้ร้านลู่เซิงเซียงโดดเด่นและเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นไปอีก
เงินทองเป็นพื้นฐานของคนเราโดยไม่ต้องสงสัย และดูเหมือนเจียงซื่อจะมีเรื่องต้องใช้เงินจำนวนมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่อาเฟยอย่างเดียวก็ต้องเลี้ยงดูคนมากมาย และสิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เงิน
หลังจากเดินทางออกมาจากร้านลู่เซิงเซียงได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ อาหมานก็ดึงชายเสื้อของเจียงซื่อไว้เบาๆ กล่าวว่า “คุณหนูเจ้าคะ ดูฮูหยินคนนั้นสิ บ่าวรู้สึกว่าหน้าตาคุ้นเคยยิ่งนัก”
ฝีเท้าของเจียงซื่อหยุดชะงักแล้วมองไปทางทิศทางซึ่งอาหมานชี้ไป พบว่ามีสตรีนางหนึ่งเดินเข้าไปที่ร้านลู่เซิงเซียงกับบ่าวรับใช้อีกคนหนึ่งที่ติดตามมา
เจียงซื่อดูเหมือนประหลาดใจเล็กน้อย
หญิงสาวที่ทำผมมวยคือคนรักของจี้ฉงอี้ อืม ตอนนี้นางควรจะเรียกว่าซิ่วซานไหน่ไนสินะ
แตกต่างจากหญิงสาวในชุดกระโปรงผ้าจิงไชอันสง่างามที่พบในทะเลสาบมั่วโยวในครั้งนั้น ตัวเฉี่ยวเหนียงในบัดนี้สวมชุดหรูหรา สวมเครื่องประดับสีทองบนศีรษะ ทุกอย่างก้าวของนางทำให้ไข่มุกและหยกที่ห้อยลงมาสั่นไหวเล็กน้อย แตกต่างไปจากเมื่อไม่กี่เดือนก่อนอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่ทำให้เจียงซื่อรู้สึกประหลาดใจไปกว่านั้นก็คือ เฉี่ยวเหนียงที่ได้แต่งงานเข้าไปในตระกูลผู้ดี บัดนี้สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
เจียงซื่อละสายตาของนางกลับมาและเดินเฉียดกับเฉี่ยวเหนียงไป
“เซียงลู่ที่นี่ดีขนาดนั้นจริงหรือ” เมื่อเฉี่ยวเหนียงเงยหน้ามองขึ้นดูป้ายลู่เซิงเซียงก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มเต็มไปด้วยความลังเล
ช่วงนี้นางเห็นได้ชัดว่าจี้ฉงอี้ไม่ค่อยกลับห้องสักเท่าไรนัก แม้ว่าเขามักจะกล่าวคำหวานกับนางอยู่เสมอ แต่นางกลับรู้สึกถึงความไม่สบายใจตามสัญชาตญาณของสตรี
ในวันนั้นที่สนทนากันไปเรื่อยเปื่อยในสวนดอกไม้ บังเอิญได้ยินบ่าวรับใช้ชมคุณหนูใหญ่ว่ามีกลิ่นกายหอมยิ่งนัก ได้ยินมาว่าซื้อเซียงลู่นั้นมาจากร้านเล็กๆ ที่เพิ่งเปิดใหม่ นางแอบจำชื่อร้านเอาไว้ ในที่สุดก็หาโอกาสออกมาซื้อได้สักที
เมื่อได้ยินเฉี่ยวเหนียงสงสัยในร้านของนาง อาหมานจึงยิ้มแล้วตอบขึ้นว่า “แน่นอน หากฮูหยินได้ลองแล้วจะรู้ คุณหนูของเราก็ใช้เช่นกัน”
“อาหมาน!” เจียงซื่อเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้ม
นับจากวันที่ยกเลิกการแต่งงานไป นางก็ไม่เคยคิดจะมีปฏิสัมพันธ์อันดีงามกับสองคนนี้อีกเลย
แรกเริ่มเฉี่ยวเหนียงตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อนึกถึงความหวังดีของอาหมาน นางจึงได้ยิ้มขึ้นก่อนจะก้มหน้าเล็กน้อยเดินตรงเข้าไปในร้าน
เมื่อตอนที่เดินกลับมา เจียงซื่อกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “พูดมากความเสียจริงเจ้า!”
อาหมานแลบลิ้นออกมาเบาๆ “ใครให้นางสงสัยคุณภาพของเซียงลู่เราเล่าเจ้าคะ อีกอย่างบ่าวรู้สึกว่าฮูหยินผู้นี้หน้าตาคุ้นเคยเสียจริง แปลกใจจังว่าเคยเห็นนางที่ไหนมาก่อน”
เมื่อเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ อาหมานก็นึกขึ้นมาได้ สีหน้าของนางซีดเซียวลงทันใด “คุณ คุณหนู นางคือ คือ…”
แววตาของเจียงซื่อมืดมนลง “นางเป็นเพียงแขกที่เดินทางมาร้านเซียงลู่ของเราเพื่อซื้อเซียงลู่เท่านั้น นอกจากนี้ไม่มีสิ่งอื่นใด”
อาหมานกะพริบตาและหุบปากลง
ไม่ว่าคุณหนูหมายถึงสิ่งใด แต่ดูท่าทางอันไม่แยแสของคุณหนูแล้ว นางก็รู้สึกว่ามีความสุขยิ่งนัก
เมื่อเจียงซื่อกลับมาถึงจวน ก็ได้หยิบพู่กันเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปให้เจียงอี