ระหว่างทางกลับจวน ดูเหมือนเจินเหิงจะนิ่งเงียบไปเล็กน้อย
เจินซื่อเฉิงไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป เขากลอกตามองบุตรชายของตนแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เดินทางไปจวนตงผิงปั๋วเพื่อสู่ขอนางสักหน่อย เจ้าก้มหน้าก้มตาเหมือนเสียอกเสียใจทำไมกัน”
รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปากของเจินเหิง “ท่านพ่อ การสู่ขอนั้นอย่าได้เพิ่งไปพูดถึงเลย”
“หืม?”
“ไว้รอก่อนดีกว่า” เจินเหิงก้มหน้าหลับตาลง จากนั้นเหลือบไปเห็นหนังสือที่กองอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้า จึงได้เอื้อมมือไปหยิบมันมาแล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “รออีกสักหน่อยเถิด”
เขาค่อนข้างจะแน่ใจว่าบัดนี้หากไปสู่ขอนาง คงจะถูกนางปฏิเสธเป็นแน่ ทางด้านของบิดาคงไม่เท่าไร แต่หากถูกปฏิเสธถึงสองครั้งสองครา คาดว่ามารดาตนคงจะไม่ยอม และนี่คือโอกาสสุดท้ายของเขา เขาจะไม่ยอมเสี่ยงอย่างแน่นอน
……
ในเรือนรองแห่งจวนตงผิงปั๋ว ณ บัดนี้เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้น
ในมือของนายท่านรองเจียงถือไม้เท้าวิ่งไล่คุณชายสามเจียงหยวนบุตรชายของตนอลม่าน
“เจ้าลูกนอกคอก หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“หากท่านไม่ตีข้า ข้าก็จะหยุด” เจียงหยวนแตกต่างไปจากเจียงชังอย่างชัดเจน บัดนี้เขาอายุได้สิบสี่ปีซึ่งเป็นวัยที่กำลังต่อต้าน เขาต่อรองกับบิดาพลางวิ่งหนีไปทั่ว
นายท่านรองเจียงโมโหเหลือเกิน
เขาและเซียวซื่อทำทุกวิถีทางในการเฝ้าระวังและปิดบัง คาดไม่ถึงว่าบุตรชายคนเล็กนี้จะไปเล่าเรื่องข่าวลือที่ด้านนอกให้แก่บุตรชายคนโตฟังจนสิ้น ปรากฏว่าเจียงชังที่เดิมทีสุขภาพกลับมาแข็งแรงดีแล้วเมื่อได้ยินเรื่องนี้ขึ้นก็เป็นลมล้มพับไปอีกครั้ง หลังจากที่ตื่นขึ้นมาก็ทำท่าทางเซื่องซึม แม้แต่เอ่ยเรียกก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
นายท่านรองเจียงยิ่งคิดยิ่งโมโหเสียเหลือเกิน ไม้กระบองในมือของเขาฟาดออกไปถูกหลังของเจียงหยวน เจียงหยวนสะดุ้งและรีบวิ่งหนีออกไปที่นอกเรือน พลางร้องด้วยเสียงอันน่าสังเวช นายท่านรองเจียงวิ่งไล่ตามไปที่ลานบ้าน ใบหน้าของเขาสีดำคร่ำเครียดและเหนื่อยหอบ
บรรดาบ่าวรับใช้ที่อยู่ในลานพากันนิ่งเงียบ รอจนกระทั่งนายท่านเจียงเดินออกไปแล้วจึงได้พากันกระซิบกระซาบขึ้นว่า
“คุณชายรองเพิ่งจะทำชื่อเสียงสร้างหน้าสร้างตาให้จวน เหตุใดบัดนี้คุณชายสามจึงกลับไปเป็นเช่นคุณชายรองได้เล่า”
“อะไรกัน คุณชายสามก็เป็นเช่นนี้มาตลอดมิใช่หรือ เพียงแต่ก่อนหน้านี้มีคุณชายรองเป็นตัวเปรียบเทียบเท่านั้นเอง”
“เรื่องของนาย บ่าวอย่างพวกเจ้าจะพูดให้มากความไปทำไม รีบไปทำงานเร็วเข้า”
คุณชายสามหรือเจียงหยวนได้บอกเล่าเรื่องข่าวลือภายนอกออกไปต่อหน้าเจียงชังจนสิ้น ทำให้เจียงชังโมโหเสียจนเป็นลมล้มพับไป เรื่องนี้ไปถึงหูของเจียงซื่อแต่นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
เนื่องจากพี่ใหญ่คนนั้นที่ศึกษาตำราเก่งกาจและมีอัธยาศัยดี หลังจากได้ดำรงตำแหน่งเป็นทายาทของตงผิงปั๋วซื่อจื่อแล้วก็ทำตัวเมินเฉยไร้ความรู้สึกต่อบิดาของนางยิ่งนัก
“คุณหนูสี่จะออกไปข้างนอกหรือขอรับ” เมื่อคนเฝ้าประตูเห็นเจียงซื่อก็เอ่ยทักทายด้วยท่าทางอบอุ่น
คุณหนูสี่ได้รับหยกสมปรารถนาที่ประทานมาจากฮ่องเต้ ส่วนคุณชายรองก็ได้เป็นถึงองครักษ์จินอู๋ ได้ยินมาว่าขุนนางขั้นเอกระดับสามยังสนิทสนมกับนายท่านใหญ่ด้วย คนในจวนล้วนรู้ดีว่าบัดนี้บ้านใหญ่เป็นที่น่าภูมิใจของจวน ดังนั้นเมื่อพบกับนายในบ้านใหญ่ ท่าทางและทัศนคติจึงได้เปลี่ยนไปทันที
เจียงซื่อเองดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงสิ่งนี้ แต่ท่าทางของนางที่มีต่อบ่าวรับใช้ในจวนก็ดูไม่แตกต่างไปจากเมื่อก่อน นางเพียงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินจากไป
ในครั้งนี้นางเดินทางออกจากจวนเพื่อจะไปพบกับอาเฟย
เมื่อหลายเดือนก่อนเจียงซื่อได้เปิดร้านเครื่องประทินโฉมขึ้น และมอบให้ซิ่วเหนียงจื่อเป็นคนจัดการ เดิมทีนางไม่ได้คาดหวังว่าจะทำเงินได้มากมายจากการค้านี้ เพียงแค่มีสถานที่ที่อำนวย ดังนั้นนางจึงได้ทำมันไปอย่างลวกๆ คาดไม่ถึงว่ามีเซียงลู่[1]กลิ่นหนึ่งได้รับความนิยมสูง และทำเงินได้จำนวนมาก
เจียงซื่อไม่ได้สนใจเรื่องของเงินทองมากมายนัก เมื่อเห็นว่าร้านขายเครื่องประทินโฉมทำเงินได้ นางก็มอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับอาเฟย เพื่อให้เขาไปสานสัมพันธ์ผูกมิตรหาพวกพ้องเอาไว้
อันธพาลเช่นอาเฟย สหายของเขาก็ล้วนเป็นคนประเภทเดียวกัน แต่อย่าได้ดูถูกคนเหล่านี้เชียว ในช่วงวิกฤตคนเหล่านี้มักจะเข้ามาช่วยเหลือได้เป็นอย่างดี
เจียงซื่อเดินทางมาถึงเรือนที่เช่าเอาไว้ ซึ่งพบว่าอาเฟยรออยู่ที่นั่นแล้ว
“คุณหนู!” เมื่อพบว่าเจียงซื่อเดินทางมา อาเฟยก็ยังไม่กล้าที่จะเงยหน้ามอง หัวใจของเขาเต้นโครมครามอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อครึ่งปีก่อน เขาเป็นเพียงคนร่อนเร่พเนจรที่คนทั่วไปมองดูแล้วก็รู้สึกเหยียดหยามและรังเกียจ ส่วนตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าในอนาคตจะเป็นเช่นไรได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ แต่บัดนี้แม้เขาจะยังคงเป็นอันธพาลอยู่ แต่ไม่ใช่พวกคนที่ต้องดิ้นรนเพื่อปากท้องไปวันๆ แต่กลับใช้ชีวิตในการกินการดื่มอิ่มหนำสำราญกับสหาย
ในเช้าตรู่ของแต่ละวันที่เขาลุกขึ้นจากเตียง อาเฟยอยากจะตะโกนออกมาเหลือเกินว่าข้าช่างฉลาดจริงๆ ที่พนันเดิมพันเช่นนี้ การติดตามคุณหนูเจียงทำให้มีอาหารกินไม่ขาดปาก
เจียงซื่อเหลือบมองดูอาหมานแล้วกล่าวว่า “อาหมาน เจ้าออกไปคอยดูอยู่ด้านนอก”
อาหมานพยักหน้าแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ในใจกับรู้สึกตื่นเต้น ดูเหมือนคุณหนูจะก่อเรื่องอีกแล้ว
อาเฟยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ดูเคร่งขรึมและตั้งใจฟังอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนูขอรับ ครั้งนี้มีคำสั่งอะไรหรือ”
“เครือข่ายสหายของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” เจียงซื่อเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับอาเฟยตั้งแต่ในตอนแรกเป็นการบีบบังคับ ต่อมาล้วนได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และจนถึงบัดนี้อาเฟยทำหน้าที่ได้สำเร็จเป็นอย่างดี จึงทำให้ความสัมพันธ์กลมกลืนกันมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
กล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และมีความเชื่อถือต่อกันอย่างมากในระยะเวลาอันสั้นนี้
อาเฟยตบหน้าอกของตนเองแล้วกล่าวว่า “คุณหนูวางใจเถิด สหายของข้าเหล่านั้นอาจจะไม่สามารถทำเรื่องใหญ่โตอันใดได้ แต่การให้พวกเขาไปสืบเรื่อง จับตามองใครหรือเผยแพร่ข่าวลือ แม้กระทั่งจับตัวคน รับรองว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
เจียงซื่อนิ่งเงียบแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ใช้คนลงมือให้น้อยที่สุด และต้องหาคนที่ไว้ใจได้เท่านั้น เจ้าหาได้กี่คน”
เมื่อได้ยินคำว่าใช้คนไม่มาก อาเฟยก็รู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น “หากต้องการคนที่ปากปิดสนิทและเชื่อถือได้มีอยู่สามคน ไม่ทราบว่าคุณหนูต้องการให้สหายเหล่านั้นทำสิ่งใด”
“อืม สามคนหรือ น่าจะเพียงพอแล้ว”
เจียงซื่อบอกสิ่งที่ต้องการให้อาเฟยไปทำออกมาว่า “ข้าต้องการให้พวกเจ้าจับตามองใครบางคน”
“ผู้ใด?”
“จูจื่ออวี้ จูเส้าชิงฝ่ายขวาแห่งศาลต้าหลี่ ซู่จี๋ซื่อสำนักฮั่นหลิน”
อาเฟยได้ยินดังนั้นก็แทบทรุด
เขารู้ว่าคุณหนูไม่ใช่คนธรรมดา ดูเถิด! เพียงแค่นางอ้าปากก็ขอให้ตนไปจับตามองจูเส้าชิงฝ่ายขวาแห่งศาลต้าหลี่ ซู่จี๋ซื่อสำนักฮั่นหลิน ไม่ใช่พวกคุณชายที่ทำตัวไร้สาระไปวันๆ แต่กลับเป็นซู่จี๋ซื่อ!
ตำแหน่งซู่จี๋ซื่อในดวงใจของทุกคนแห่งราชวงศ์ต้าโจว เป็นตำแหน่งที่ไม่มีผู้ใดเหมือน ต่อให้อาเฟยซึ่งเป็นอันธพาลข้างถนน ก็รู้ดีว่าซู่จี๋ซื่อหมายถึงสิ่งใด
ซู่จี๋ซื่อจะเลือกมาจากบรรดาจิ้นซื่อคนใหม่ เข้าสู่สำนักฮั่นหลินศึกษาเป็นเวลาสามปี อนาคตกว้างไกล มีกฎที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรทางการของต้าโจวว่า ผู้ที่ไม่ใช่จิ้นซื่อจะไม่ถูกรับเข้าสำนักฮั่นหลิน และผู้ที่ไม่ใช่คนของสำนักฮั่นหลินจะไม่เข้าไปดำรงตำแหน่งในเน่ยเก๋อ[2]ได้
ดังนั้นทุกคนที่เป็นซู่จี๋ซื่อล้วนนับได้ว่าเป็นเสาหลักของประเทศ
เหตุใดคุณหนูจึงให้พวกเขาจับตามองซู่จี๋ซื่อเล่า
ในใจของอาเฟยคิดว่าคนอย่างซู่จี๋ซื่อไม่ต้องพูดถึงว่ามีความสามารถเพียงใด แต่ทุกวันเขาก็ทำเพียงไปรับราชการที่ศาล มีอะไรให้น่าจับตามองกัน
เอ๋ หรือว่าเป็นชายหนุ่มในดวงใจของคุณหนู
แววตาของอาเฟยที่มองมายังเจียงซื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เจียงซื่อจึงกล่าวออกมาเบาๆ ว่า “เขาคือพี่เขยคนโตของข้า”
แค่กๆๆ! อาเฟยกระแอมขึ้นอย่างแรง
เจียงซื่อเหลือบตามองดูอาเฟยด้วยท่าทางประหลาดใจ
อาเฟยกลับมาทำสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวว่า “ไม่มีปัญหาขอรับคุณหนู ท่านต้องการให้พวกเราจับตามองเขาในด้านใด หรือว่าเขาคนนั้นมีบ้านเล็กบ้านน้อยลับหลังพี่สาวของคุณหนูกัน”
“ไม่ว่าจะเป็นด้านใด เพียงแค่เขาไม่อยู่ในจวน พวกเจ้าจะต้องคอยจับตามอง”
อาเฟยรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย “แต่ว่าที่สำนักฮั่นหลินพวกเราไม่อาจเข้าไปได้”
“จงจับตามองอยู่ด้านนอกประตู นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าจะต้องมารายงานข้าทุกสามวัน ข้าต้องการรู้รายละเอียดทุกอย่าง แม้กระทั่ง ทุกย่างก้าวของเขาว่าเดินทางไปที่ไหน”
หากรวมอาเฟยแล้วก็มีทั้งหมดสี่คน การจับตามองจูจื่ออวี้เพียงคนเดียวน่าจะเพียงพอ
“คุณหนูต้องการให้พวกเราจับตามองถึงเมื่อไหร่ขอรับ”
“จวบจนกระทั่งเข้าฤดูหนาว”
—————————-
[1] เซียงลู่ คล้ายน้ำตบบำรุงผิวในปัจจุบัน
[2] เน่ยเก๋อ องค์กรในระบบราชการ โดยนิตินัยแล้วเป็นห่วยประสานงาน แต่โดยพฤตินัยแล้วเป็นสถาบันสูงสุดในการปกครอง มีสถานะเหนือหกกรม