เจินเหิงเป็นชายหนุ่มที่มีความโดดเด่นมากจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงรังสีที่แผ่ออกมาหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งเจี่ยหยวน อีกทั้งภูมิหลังที่ดีของเขา เพียงแค่ดูท่าทางอันสงบนิ่งและทัศนคติแสนจะถ่อมตนของเขาในตอนนี้ เมื่อยามที่กล่าวขอโทษออกมาช่างออกมาจากใจจริง เท่านี้เพียงพอแล้วที่จะชนะความรู้สึกของผู้อื่น
เจียงอันเฉิงนึกไปถึงบุตรชายที่ซนเหมือนลิงของเขา แล้วมองไปยังบุตรชายของผู้อื่นที่งดงามดุจหยกก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา แท้จริงแล้วที่พี่เจิน มักจะวิพากษ์วิจารณ์บุตรชายของตนเป็นเพียงการถ่อมตัวเท่านั้นเอง
เจินซื่อเฉิงสังเกตท่าทางของเจียงอันเฉิง จึงได้กระตุกหนวดอย่างรู้สึกภูมิอกภูมิใจ บุตรชายของเขาแม้ว่าจะดูไม่ได้เรื่องราวเท่าไรนักในสายตาเขา แต่ก็สามารถนำมาโอ้อวดได้ไม่อายใคร
หลังจากเอ่ยขอโทษเรียบร้อยแล้ว เจินซื่อเฉิงก็รู้สึกว่าภารกิจของตนเสร็จสิ้น จึงได้เริ่มสนทนากับเจียงอันเฉิงอย่างผ่อนคลาย
เจินเหิงที่อยู่ด้านข้างนั่งฟังอย่างสงบ
ส่วนนายท่านรองเจียงก็ได้แต่นั่งฟังโดยไม่อาจแทรกบทสนทนาเข้าไปได้
แต่สิ่งนี้ไม่ได้รู้สึกแปลกใจสำหรับเขาเลย เนื่องจากผู้ที่สามารถสนทนากับพี่ใหญ่ได้อย่างสนุกสนานเช่นนี้ หากเขาร่วมสนทนาด้วยแล้วรู้เรื่องก็คงจะแปลก
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอุปสรรคให้นายท่านรองเจียงไม่อาจสนทนาต่อไปได้ ด้านเจินซื่อเฉิงเองก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าตนไม่ได้เพิกเฉยในเรื่องที่บุตรชายของตนพูดจาตบหน้าบุตรชายของอีกฝ่าย
นายท่านรองเจียงจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ไม่ว่าจะสนทนาไปด้วยกันได้หรือไม่ แต่การที่สามารถนั่งพูดคุยกันได้เช่นนี้ก็นับว่าก้าวหน้าแล้ว ในครั้งแรกอาจจะดูไม่สนิทสนม แต่ครั้งที่สองคงจะดีกว่านี้ บรรดาขุนนางไม่มีใครที่จะคบหากันอย่างจริงใจ เพียงแค่เวลามีปัญหาสามารถไปขอความช่วยเหลือได้ก็พอแล้ว
หลังจากนั่งสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีบ่าวรับใช้เดินตรงเข้ามากระซิบที่ข้างหูของนายท่านรองเจียงสองสามประโยค
สีหน้าของนายท่านรองเจียงเปลี่ยนไปทันที เขาลุกขึ้นยืนยกมือคารวะเจินซื่อเฉิงกล่าวว่า “ใต้เท้าเจินขอรับ ดูเหมือนข้ามีเรื่องด่วนจะต้องออกไปจัดการสักหน่อย ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”
เจินซื่อเฉิงรีบลุกขึ้นยืนยิ้มแล้วตอบกลับว่า “ท่านเจียงเชิญไปจัดการธุระเถิด ธุระนั้นสำคัญกว่า”
หลังจากที่นายท่านรองเจียงจากไปอย่างเร่งรีบ บรรยากาศภายในห้องโถงก็ผ่อนคลายลงกะทันหัน
จากนั้นพวกเขาก็สนทนากันไปเรื่อยเปื่อย เจินซื่อเฉิงชี้มาทางเจินเหิงแล้วกล่าวว่า “ในวันนี้ที่ข้าพาบุตรชายมา นอกจากต้องการพาเข้ามาขอโทษคุณชายใหญ่แห่งจวนเจียงแล้ว ยังต้องการจะให้เขามาทำความรู้จักกับน้องเจียงด้วย ในอนาคตหากพบเจอกันข้างทางจะได้รู้จักกัน ไม่เช่นนั้นคงจะเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้า”
เมื่อเจียงอันเฉิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก
คิดไม่ถึงว่าพี่เจินจะดีกับเขาถึงเช่นนี้ ถึงขนาดพาบุตรหลานเดินทางมาแนะนำให้รู้จัก ซึ่งหมายความว่าตั้งใจจะผูกมิตรภาพอันยาวนานกับตน
เจินเหิงจึงรีบโค้งคำนับเจียงอันเฉิง “หลานคารวะท่านลุงขอรับ”
ส่วนลึกของหัวใจอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้กับความฉลาดปราดเปรื่องของบิดาตน
ในเมื่อทั้งสองตระกูลวางแผนที่จะมีความสัมพันธ์อันดีงามต่อไปเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติที่รุ่นลูกหลานของทั้งสองฝ่ายจะพบปะกัน อาทิเช่น จวนหย่งชังปั๋วที่อยู่ข้างจวนตงผิงปั๋ว ในรุ่นบิดามารดาทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกันดังนั้นทั้งสองตระกูลจึงคุ้นเคยกันดี บรรดาบุตรสาวบุตรชายจึงไม่รู้สึกรังเกียจซึ่งกันและกัน
ทว่ากลับได้ยินเจียงอันเฉิงกล่าวขึ้นว่า “น่าเสียดายเหลือเกิน วันนี้บุตรชายข้าออกไปทำงานแล้ว จึงไม่อาจออกมาทักทายพี่เจินกับหลานได้”
“อ้อ ไม่รู้ว่าหลานชายไปทำงานอยู่ที่ใด” เจินซื่อเฉิงเอ่ยถาม
เจียงอันเฉิงไม่ใช่คนที่ชอบโอ้อวด แต่บัดนี้เขากล่าวออกมาอย่างภูมิอกภูมิใจว่า “บุตรชายข้าทำงานอยู่ที่หน่วยองครักษ์จินอู๋เพื่อเลี้ยงปากท้อง”
เจินซื่อเฉิงยิ้มขึ้นเล็กน้อย “หลานชายมีงานที่ดีทีเดียว ยินดีด้วยนะน้องชาย”
“ไม่หรอกขอรับ เปรียบเทียบกันแล้วยังห่างไกลกับคุณชายเจินอยู่มาก”
ทั้งสองคนเอ่ยชื่นชมผลัดกันไปมา เจินซื่อเฉิงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อวันนี้ลูกของเราไม่สะดวกจะพบเจอกัน คงจะต้องเปลี่ยนวันอื่นเสียแล้ว”
“ไว้วันใดที่บุตรชายข้าได้หยุดพักผ่อน ข้าจะพาเขาไปคารวะพี่เจินที่จวน” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ดูเหมือนเจียงอันเฉิงจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้เขาจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าลืมไปเสียสนิทเลยว่ายังมีบุตรสาวอีกคนประเดี๋ยวจะให้นางมาทำความรู้จักพี่เจินและหลานสักหน่อย”
จากนั้นก็ได้ยินเจียงอันเฉิงสั่งให้คนรับใช้ไปตามคุณหนูสี่มา บัดนี้เจินเหิงอยากจะเข้าไปกอดและหอมแก้มบิดาของตนเหลือเกิน
ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดจริงๆ!
เจินซื่อเฉิงเหลือบมองดูบุตรชายแล้วเผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ลูกพ่อ ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้แล้ว หากว่าแม่นางยังไม่รู้สึกชื่นชมเจ้าก็คงทำได้แต่ไสหัวไปไกลๆ นาง
สองพ่อลูกสบตากันสื่อสารกันทางสายตา ไม่นานต่อมาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนอกประตู หญิงสาวร่างกายอรชรเดินเข้ามาด้านใน
หลังจากชำเลืองมองดูผู้คนในห้องโถงอย่างรวดเร็ว เจียงซื่อก็โค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านลุงเจิน”
เมื่อได้ยินว่าบิดาของนางเรียกนางให้มาพบกับเจินซื่อเฉิง ในใจลึกๆ ของเจียงซื่อก็รู้สึกไม่เต็มใจนัก
แม้ว่าคดีลอบวางเพลิงนาวาใหญ่ที่แม่น้ำจินสุ่ยจะจบสิ้นไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้ลงมือทำอย่างแท้จริง ด้วยระยะเวลาอันสั้นนี้ นางจึงไม่อยากจะเข้าสนทนากับผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนคดีเช่นเจินซื่อเฉิง
ถึงอย่างไรเจียงซื่อก็รู้ดีว่าหากนางทำตัวผิดปกติไปก็ยิ่งไม่ดีต่อตัวเอง ดังนั้นจึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับต้อนรับแขกแล้วเดินเข้ามาอย่างสง่างาม
นางทำความเคารพเจินซื่อเฉิง จากนั้นสายตาก็จับจ้องไปที่เจินเหิง
มือที่ไขว้หลังเอาไว้ของเจินเหิงประหม่ายิ่งนัก แต่การแสดงออกทางสีหน้าของเขายังคงสงบและพยักหน้าต้อนรับอย่างมีมารยาท
เจินซื่อเฉิงหัวเราะขึ้นเสียงดังแล้วกล่าวว่า “คุณหนูสี่ นี่คือบุตรชายของข้าเอง อายุน่าจะแก่กว่าเจ้าปีสองปี ต่อจากนี้เรียกเขาว่าพี่ก็ได้”
เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้ที่ติดตามเจินซื่อเฉิงมาในครั้งกระนั้นกลับกลายเป็นบุตรชายของเขาและปรากฏตัวอยู่ในจวนของตน ดูเหมือนเจียงซื่อจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
ครั้งแรกที่เจอกันนับว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ส่วนครั้งที่สอง ชายหนุ่มแกล้งทำตัวเป็นบ่าวรับใช้และติดตามเข้ามาในจวนของนาง ไม่นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญแต่แปลกประหลาดยิ่งนัก ประกอบกับในครั้งนี้ หากนางพยายามจะบอกกับตนเองว่าไม่มีความหมายอื่นแฝงอยู่ก็คงจะทำได้ยาก อีกอย่างหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้นางได้ยินท่านพ่อเคยกล่าวว่าใต้เท้าเจินมีความปรารถนาจะสู่ขอนางให้แก่บุตรชายคนโต
เมื่อเป็นเช่นนี้ดูเหมือนว่าผู้ที่อยากจะสู่ขอนางอาจจะเป็น…
ใบหน้าของเจียงซื่อร้อนผ่าวขึ้นทันใด แต่ท่าทางการแสดงออกของนางยังคงสงบเงียบ นางหันไปทางเจินเหิงแล้วกล่าวทักทายว่า “ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ พี่เจิน”
จากความคิดของเจียงซื่อแล้ว นางเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายมากเท่าไรก็ยิ่งต้องห้ามความรู้สึกและการแสดงออกของตนเอง ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจผิดได้
หัวใจของเจินเหิงเต้นแรงโครมคราม แต่เมื่อมองเห็นท่าทางของหญิงสาวที่ดูสงบนิ่งเย็นชา เขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าในครั้งที่แล้วตนแกล้งทำเป็นบ่าวรับใช้ แต่ใบหน้าก็ยังคงสงบนิ่งเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
เจินเหิงผู้ชาญฉลาด แท้จริงแล้วเขาเข้าใจถึงคำตอบแต่ก็ยังไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน ดังนั้นจึงได้แสดงรอยยิ้มอันสดใสออกมาแล้วกล่าวว่า “น้องเจียงซื่อเกรงใจเกินไปแล้ว” กล่าวจบก็ได้ถอยกลับไปด้านข้างของเจินซื่อเฉิง แสร้งทำเป็นมีมารยาทอย่างไรอย่างนั้น
เฉินซื่อเฉิงยิ้มแล้วหรี่ตามองไปทางเจียงซื่อ “เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูสี่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคดีลอบวางเพลิงนาวาใหญ่ที่แม่น้ำจินสุ่ยหรือไม่”
เจียงซื่อสะดุ้งเล็กน้อยแต่นางยังคงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “พี่รองของข้าคือหนึ่งในบรรดาผู้ที่ตกน้ำ แน่นอนว่าข้าต้องได้ยินเรื่องนี้”
“น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณหนูสี่ไม่ได้เข้ามาช่วยสืบคดีด้วย ไม่เช่นนั้นคดีนี้อาจจะคลี่คลายได้โดยง่าย”
เจินเหิงได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขารู้ดีว่าบิดาของตนชื่นชมในความสามารถของคุณหนูเจียง แต่คาดไม่ถึงว่าจะชื่นชมถึงเพียงนี้ หากคุณหนูเจียงเข้าร่วมไขคดีนี้ด้วยก็อาจจะไขคดีได้อย่างงั้นหรือ ต่อให้เป็นเพียงเรื่องตลก หากว่าเผยแพร่ออกไปคงจะพากันตกตะลึง
เจินเหิงอดไม่ได้ที่จะมองไปทางเจียงซื่อ
ภายใต้คิ้วอันได้รูปและดวงตาสดใสคู่นั้นของหญิงสาว เมื่อได้ยินคำพูดของเจินซื่อเฉิงเมื่อครู่ แววตาของนางกลับไม่ได้สั่นคลอนแม้แต่น้อยเพียงยิ้มออกมาเบาๆ ว่า “ท่านลุงเจินอย่าได้ล้อหลานเล่นเลยเจ้าค่ะ คดีที่แม้แต่ท่านยังคลี่คลายไม่ได้ ผู้ใดเล่าจะคลี่คลายได้เล่า”
เจินซื่อเฉิงส่ายหน้า “สตรีมีความละเอียดอ่อนและการสังเกตที่ไม่เหมือนผู้ใด น่าเสียดายเหลือเกินที่ไม่มีโอกาสร่วมมือกัน อาทิเช่น ก่อนหน้านี้ ข้าเคยไขคดีแปลกๆ ผู้ที่จัดฉากนั้นขึ้นมาช่างละเอียดอ่อนมากเหลือเกิน อีกทั้งฆาตกรยังเป็นสตรี”
เจียงซื่อยิ้มขึ้นเบาๆ “หากว่าทุกคนในโลกคิดได้เหมือนท่านลุงเจิน สตรีเช่นพวกเราคงอยู่อย่างสบายใจขึ้นมากนัก”
หากยังจะข่มขู่ให้นางกลัวเช่นนี้ นางจะฆ่าคนปิดปากจริงๆ แล้ว!