ตอนที่ 84-3 มารวมตัวกันทําไม?
ทันใดนั้นดาบยาวของจ้าวหยูก็ถูกพัดปัดทิ้งไปทําให้สาวใช้ผู้นี้ถึงกับหน้าซีดเผือดด้วยความตื่นตระหนกนางเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเด็กและมีความรู้สึกภาคภูมิใจเสมอมาเพราะไม่เคยได้รับความพ่ายแพ้เช่นนี้ มาก่อนแต่ถึงอย่างไรก็ตามนางก็ยังต้องการที่จะต่อสู้ต่อไปจึงเอื้อมมือขึ้นขณะที่หลี่เว่ยหยางกล่าวด้วยเสียงอัน ดังว่า
“หยูเอ๋ออย่าหยาบคาย! นี่คือองค์ชายเจ็ด!”
เมื่อได้ยินดังนั้นจ้าวหยูจึงรู้สึกประหลาดใจมากและรีบหยุดการกระทําของตนเองพลางจ้องมองไปยังบุรุษหนุ่มผู้รูปหล่อเหลาด้วยความลังเลใจ
ชายผู้นี้แต่งกายด้วยชุดสีน้ําเงินและมีผมที่สีดําสนิทซึ่งถูกมวยและครอบด้วยมงกุฎลูกปัดมังกรคู่สีม่วงและไข่มุกสีทองแห่งทะเลหนานไร่ที่หายากมากประดับอยู่ตรงกลาง
อีกทั้งใบหน้าของเขานั้นช่างหล่อเหลา และยังมีนัยน์ตาคู่นั้นที่เปล่งประกายเหมือนแสงจันทร์ที่สว่างและสงบโดยที่ลึกลงไปเผยให้เห็นความหนาวเย็นที่น่าประหลาดใจ ซึ่งเมื่อมองภาพรวมแล้วเขามีความแตกจากถุชนคนธรรมดาทั่วไปด้วยรัศมีของความเป็นผู้สูงศักดิ์ที่เจิดจรัสจนผู้คนแทบไม่กล้าลืมตาขึ้นเพื่อมองดู
อย่างไรก็ตามในขณะนี้เขากําลังยิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่มันไม่เคยเป็นเช่นนั้น ราวกับว่าคนนอกที่ได้เห็นมันจะต้องรู้สึกประหลาดใจมากที่องค์ชายเจ็ดจะเปิดเผยรอยยิ้มเช่นนี้ให้ผู้คนได้เห็น
“เซียนจุกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าเป็นข้าเองที่ผิดเช่นนั้นหรือ?” แม้จะกล่าวด้วยรอยยิ้มแต่ทว่าเงาที่อยู่ในรอยยิ้มบนใบหน้าของหัวเป่าหยูนั้นไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความโกรธก็ไม่สามารถแยกแยะได้
หากเป็นคนอื่น ๆ พวกเขาคงจะรีบคุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัวเพื่อขอความเมตตา แต่หลี่เว่ยหยางคงไม่มีวันที่จะทําเช่นนั้น
“องค์ชายเป็นผู้ใหญ่ที่ใจกว้าง ดังนั้นคงไม่ถือสาผู้น้อยอย่างข้าสําหรับความผิดที่กระทําไปโดยไม่ได้ตั้งใจในครั้งนี้!”
หัวเป่าหยูจ้องมองไปยังดวงตาคู่นั้นของนางที่ช่างลึกล้ํา ถึงแม้จะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจกับคํากล่าวนั้นอยู่บ้างแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า
“ในตอนแรกตั้งใจจะมาดูว่าเซียนจูปลอดภัยและสบายดีหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นคนที่วุ่นวายมากเกินไป”
หลี่เว่ยหยางยิ้มพลางกล่าวว่า
“เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์นี้แล้ว ข้ายังมิได้ขอบคุณท่านด้วยตัวเองเลย”
เห็นได้ชัดว่าทั่วเป่าหยุไม่สนใจด้วยคํากล่าวของเขาที่ว่า
“มันเป็นเพียงแค่การให้ลูกบ๊วยเพื่อเป็นการตอบแทนลูกพีช หากเซียนจไม่ได้ช่วยข้าเอาไว้ก่อน ข้าก็คงจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเจ้า”
จากนั้นเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ ๆ และกล่าวพร้อมกับจับจ้องที่ใบหน้าของนาง
“รู้แล้วหรือยังว่าวันนั้นใครเป็นคนซุ่มโจมตีเจ้า!”
หลี่เว่ยหยางส่ายหัวและกล่าวว่า
“ทุกคนที่องค์ชายจับได้ล้วนฆ่าตัวตายด้วยยาพิษ ส่วนหมิ่นเต่อกับข้าก็ได้ควบม้าหนีไปจน หลงทางอยู่ใน ป่าจนกระทั่งเราพบทางออกในตอนเช้า และเพราะเกรงว่าผู้อื่นจะเข้าใจผิดจนทําให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียจึงจําเป็น ต้องไปขอความช่วยเหลือจากท่าน”
หัวเป่าหยยิ้มและกล่าวอย่างตรงประเด็นว่า
“เซียนจุข้าคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วเสียอีก เหตุใดท่านยังมิกล่าวความจริงกับข้า”
หลี่เว่ยหยางเลิกคิ้ว
“ท่านทราบได้อย่างไรว่าสิ่งที่ข้ากล่าวมิใช่ความจริง?”
ทั่วเป่าหยุไม่แสดงออกอย่างอื่นนอกจากกํามือของตนเองแน่น และความเจ็บปวดจากการถูกเล็บจิกเข้าไปในเนื้อนั้นทําให้เขามีอาการสงบลงเล็กน้อย
โดยไม่รู้ว่าความรู้สึกน้อยใจเช่นนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด บางที่อาจจะเกิดจากการพบกันครั้งแรกที่เด็กสาวเจ้าเล่ห์ซึ่งดูแล้วช่างมีไหวพริบได้เข้ามาในสายตาของเขาแล้วในตอนนั้น
และเมื่อได้พบกันอีกครั้งในเมืองหลวงบางทีมันอาจจะเป็นความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งอาจจะเป็นข่าวที่คิดไปเองแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะในชีวิตของเขาไม่เคยพบกับหญิงสาวที่มีลักษณะเช่นนี้มาก่อนจึงอดไม่ได้ที่จะเริ่มไล่ตามความรู้สึกนั้น
แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอันที่จริงแล้วนางไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย ยิ่งไปกว่านั้นนางเห็นเขาเป็นเพียงแค่คนอื่น
ซึ่งมันทําให้เขาสามารถจินตนาการได้ว่า ที่นางช่วยเขาในครั้งนั้นมันเป็นเพียงเพราะมันมีผลประโยชน์ร่วมกันแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่วางไว้ตรงหน้าเขาแล้วในตอนนี้
แต่หัวเป่าหยูก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี บางทีเขาอาจถูกผู้คนชื่นชมและเอาอกเอาใจมานานเกินไปและเมื่อได้มาพบกับผู้หญิงคนนี้ที่ไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย และถึงขั้นที่กล้าปิดบังความจริงจากเขาทําให้องค์ชายผู้สูงศักดิ์อดที่จะทิ้งไม่ได้
อีกด้านหนึ่งหัวเป่าเจิ้นก็เดินทางมาถึงวัดด้วยเช่นกัน ทําให้เจ้าอาวาสผู้ชราต้องรีบออกไปต้อนรับหัวเป่าเจ๊นที่กําลังหัวเราะพลางกล่าวว่า
“ท่านนักบวชอยราได้มากพิธีเลย ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อสวดมนต์เท่านั้น”
เนื่องจากบุรุษผู้นี้เป็นถึงองค์ชาย อย่างไรก็ตามเจ้าอาวาส ผู้ชราก็ยังคงจะต้องทําตามพิธีอันดีงงามเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาได้โดยรีบสั่งให้นักบวชพาเขาไปเดินชมบริเวณวัด
จากนั้นหัวเป่าเจิ้นก็มุ่งหน้าไปยังวิหารชั้นในโดยมีนักบวชที่คอยนําทางกล่าวว่า
“องค์ชาย นี่คือห้องโถงที่ประดิษฐานราชาแห่งสวรรค์”
หัวเป่าเจิ้นเงยหน้าขึ้นมองและเห็นสี่ราชันย์สวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่คิ้วขมวดและมีดวงตาที่โกรธเกรี้ยวดูดุร้ายอย่างน่ากลัวเนื้อหันไปเห็นแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งแขวนอยู่บนเสาในห้องโถง
บรรทัดแรกอ่านว่า “ลมและฝน”
บรรทัดที่สองเขียนว่า “ประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองและประชาชนมีความสงบสุข”
เขายิ้มจาง ๆ จากนั้นก็เดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่นักบวชกล่าวว่า
“ข้างหน้าคือวิหารเหลาฮันถัง”
หัวเป่าเจิ้นไม่ได้อธิษฐานหรือจุดธูปเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจมาสวดมนต์ขอพรตามที่กล่าวอ้างโดยเขาได้กล่าวขึ้นมาว่า
“ข้าได้ยินมาว่าครอบครัวของท่านอํามาตย์หลื่อยู่ที่วัดนี้ด้วยใช่หรือไม่?”
ด้วยคํากล่าวนั้นนักบวชหนุ่มจึงรู้สึกประหลาดใจมาก จากนั้นได้สังเกตการแสดงออกของ องค์ชายพลางกล่าวด้วยความเคารพว่า
“ใช่แล้ว…ตอนนี้หลี่ฮูหยินกับบุตรสาวสองสามคนอยู่ในวัด”
“โอ? บุตรสาวคนใดหรือ?” หัวเป่าเจิ้นกําลังเล่นกับแหวนหยกที่นิ้วหัวแม่มือในมือพร้อมกับเอ่ยถาม
นักบวชคาดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยถามอย่างละเอียดเช่นนี้ ขณะที่กล่าวอย่างระมัดระวังว่า
“เอ่อ…ขอประทานโทษด้วยที่อาตมาไม่ทราบเรื่องนี้”
เมื่อหัวเป่าเจิ้นเห็นใบหน้าของนักบวชที่ดูระแวดระวังก็อดยิ้มไม่ได้
“นักบวชท่านสบายใจได้ ข้ารู้จักกับท่านอํามาตย์หลี่มาก่อน ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไม่เข้าไปในวิหารเพื่อทักทายพวกเขา เช่นนั้นข้าจะไปดูหลี่ฮูหยินเสียหน่อย”
เดิมที่นักบวชมีความกังวลด้วยท่าทางแปลก ๆ เช่นนั้น แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเขาแค่ต้องการพบกับฮูหยินหลี่จึงสงบลงพลางว่า
“องค์ชายได้โปรด
ในขณะที่เดินไปนักบวชก็มีความคิดว่า วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่…อันดับแรกคือองค์ชายเจ็ดมาอย่างเป็นความลับและตอนนี้องค์ชายสามก็มาด้วย แล้วองค์ชายเหล่านี้มารวมตัวกันเพื่ออะไร?