หยู่เหวินเห้าและกู้ซือรีบยืนขึ้น

มู่หรูกงกงชำเลืองไปมองกู้ซือครู่หนึ่ง “ใต้เท้ากู้นั่งสำนึกผิดต่อไปก่อนเถิด ยังไม่มีคำสั่งให้ท่านเข้าไป”

กู้ซือตะลึงงัน สุดท้ายแล้วฝ่าบาทก็ยังลำเอียงเรื่องลูกชาย ลูกชายของเขาไม่ทุกข์ใจหรอก

เขาทำได้เพียงคุกเข่าต่อไปเพื่อสำนึกไตร่ตรองการกระทำบุ่มบ่ามเมื่อคืนนี้

หยู่เหวินเห้าเดินเข้าไป อ๋องจี้และขุนนางเน่ย์เก๋อซุนถิงฟางอยู่ด้านใน

ซุนถิงฟางเป็นขุนนางตรวจตราห้องทรงพระอักษร ดังนั้นเขามักจะเข้าออกห้องทรงพระอักษรอยู่เป็นประจำ ฮ่องเต้หมิงหยวนให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

หยู่เหวินเห้าเข้าไปคารวะ “ลูกมาเข้าพบพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ!”

ฮ่องเต้หมิงหยวนมองเขาอย่างเย็นชารอยย่นที่ตายกขึ้น ไม่ยินดีอย่างยิ่ง “ฉาวโฉ่นักอ๋องผู้สง่างาม ดูสิว่าเจ้าก่อเรื่องวุ่นวายอะไรไป?”

หยู่เหวินเห้ายกมุมปากปรากฏรอยยิ้มที่ดูเหมือนคนโง่ “เสด็จพ่อ ท่านอย่าเพิ่งถามถึงความผิดเลย ลูกมีเรื่องจะมาบอกพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวอย่างเย็นชา: “อย่าเพิ่งพูดเรื่องเน่าเฟะของเจ้า ที่เรียกเจ้าเข้ามาเพราะมีภารกิจให้เจ้าทำ”

“ภารกิจ?” หยู่เหวินเห้าถาม “ภารกิจอะไรหรือ?”

ฮ่องเต้หมิงหยวนส่งสาสน์ให้เขา “ดูเองเถิด”

หยู่เหวินเห้ารับสาสน์มา สาสน์นี้เป็นของเจ้าเมืองเมืองถิงเจียง เขียนไว้ว่าที่เมืองถิงเจียงช่วงนี้มีโจรเคลื่อนไหว มีการเผา ฆ่า และปล้นสะดมในหมู่บ้านใกล้เคียงเมืองถิงเจียง มีผู้คนตายเพราะน้ำมือของโจรแล้วยี่สิบคน เมืองถิงเจียงจึงส่งสาสน์มาเพื่อขอกำลังทหารมาปราบโจร

หยู่เหวินเห้าชะงักก่อนกล่าว: “เสด็จพ่อถ้าจะขอทหารไปปราบโจร ก็มอบหมายให้ทหารม้าของกองทัพต้าอันที่อยู่ใกล้กับเมืองถิงเจียงไปก็พอแล้วไม่ใช่หรือ? ภารกิจราชการนี้ไม่มีความจำเป็นให้เขาต้องไปเลย

อ๋องจี้กล่าว: “น้องห้าเจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว ทหารม้าของกองทัพต้าอันถูกรวมกับกองทัพส่วยซือหมดแล้ว กองทัพใหญ่ในตอนนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว”

“เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” หยู่เหวินเห้ามึนงง ทำไมเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย?

ทหารม้ากองทัพต้าอันอยู่ในความปกครองของเขา ล้วนคัดมาจากการทำสงคราม ส่งพวกเขาไปกองทัพส่วยซือจะไม่พูดว่าเหมาะหรือไม่เหมาะสม กองทัพต้าอันคือศูนย์กลาง สามารถเข้ามาช่วยเมืองหลวงได้ และสามารถเรียกไปช่วยค่ายเฟิงถายได้

“น้องห้าจำไม่ได้หรือ?” อ๋องจี้หัวเราะ “เรื่องนี้ข้าเคยคุยกับเจ้าแล้ว แต่เจ้ากำลังยุ่งกับเรื่องกรมการพระนคร ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่ใส่ใจ”

หยู่เหวินเห้าส่ายหัวแล้วกล่าวสีหน้าจริงจัง: “ข้าจำได้พี่ใหญ่ท่านไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้า”

ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวขึ้น: “พูดหรือไม่พูดอย่างไรมันก็จบไปแล้ว ตอนนี้เกิดการโจรกรรมรุนแรงและรอบๆ เมืองถิงเจียงไม่มีทหารรักษาการณ์ หากจะพึ่งที่ทำการปกครองเพื่อปราบปรามโจรนั้นเป็นไปไม่ได้ กองทัพทหารที่อยู่ใกล้เมืองถิงเจียงมากที่สุดคือค่ายใหญ่นอกเมืองหลวงพวกเจ้าสองคนจงไปรวบรวมทหารและดูว่าใครไปบ้างเถิด”

อ๋องจี้หน้าถอดสี

หยู่เหวินเห้าเพียงครู่เดียวก็ทำความเข้าใจได้

ภัยจากโจรผู้ร้ายเกรงแค่อ๋องจี้จะรู้

เมื่อครู่เป็นเพราะพยายามจะแนะนำเขาสุดความสามารถ เสด็จพ่อจึงให้เขาเข้ามาและให้เขานำทัพไปปราบปรามโจรกรรม

ใช้สถานการณ์คับขันนี้มาแยกเขาออกไป เกรงว่าเมื่อคืนหลังจากออกมาจากจวนอ๋องฉู่ก็ถูกคนของจวนอ๋องจี้พาตัวไปสอบสวน

แต่เสด็จพ่อไม่ได้เจาะจงว่าเขาต้องไป ทำให้เขาผิดแผนไป

เป็นดังที่คาดไว้ เขาถอนหายใจออกมา: “เสด็จพ่อ ข้าอยากแบ่งเบาให้ราชสำนักแก้ปัญหาให้กับประชาชน แต่เพราะชายารองหลิวเสียชีวิต ทำให้ไม่ค่อยมีสมาธิ ไม่กล้ารับภารกิจใหญ่เช่นนี้ เสด็จพ่อให้น้องห้าไปเถิด

ฮ่องเต้หมิงหยวนส่งเสียงอืมตอบรับ มองเขาปราดหนึ่ง “คนตายไม่สามารถฟื้นได้ เจ้าก็อย่ายึดติดล่ะ นางแค่หมดบุญวาสนาแล้วคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์”

“พ่ะย่ะค่ะ” อ๋องจี้ลอบถอนหายใจ “เป็นเพียงความเมตตาสุดท้ายเสียใจชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น เสด็จพ่อได้โปรดวางใจลูกจะดีขึ้นในไม่ช้า เพื่อแบ่งเบาให้ราชสำนักแก้ปัญหาให้กับประชาชนต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หมิงหยวนพยักหน้าเบาๆ มองไปที่หยู่เหวินเห้า “งั้นภารกิจนี้……”

หยู่เหวินเห้าคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “เสด็จพ่อข้าขออนุญาตกล่าวทูล”

ฮ่องเต้หมิงหยวนดูรู้ว่าเขาไม่อยากไปเมื่อเขาก้มหน้าลง “พูด!”

หยู่เหวินเห้ากล่าว: “การไปที่เมืองถิงเจียงเพื่อปราบปรามการโจรกรรม จะว่าไกลก็ไม่ไกลว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ และใช้เวลาปราบปรามไม่แน่นอน ลูกดูสาสน์แล้วเมืองถิงเจียงก็ไม่รู้ว่าโจรซ่อนอยู่ที่ใด ดังนั้นการปราบปรามนี้อาจใช้เวลาหนึ่งเดือนสามเดือน ตอนนี้ลูกมีตำแหน่งเป็นเจ้ากรมการพระนคร ไม่สามารถแยกตัวออกไปได้นานขนาดนั้น……”

อ๋องจี้ไม่รอให้เขาพูดจบ แทรกขึ้น: “หากเป็นห่วงเรื่องที่ทำการปกครอง น้องห้าไม่ต้องกังวลผู้ช่วยเจ้ากรมสามารถดูแลแทนเจ้าได้ชั่วคราว”

หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างเย็นชา: “ใช่ เพียงแต่เกรงว่าการไปสามเดือนหน้าเดือนนี้ตำแหน่งเจ้ากรมการพระนครจะถูกเปลี่ยนคนนี้สิพ่ะย่ะค่ะ”

เขาเองก็ไม่อ้อมค้อมแล้วกล่าวตามตรง: “เสด็จพ่อ ไม่ใช่ว่าลูกไม่อยากไปปราบโจรนะพ่ะย่ะค่ะ แต่พระชายาเพิ่งตั้งครรภ์ อีกทั้งหมอหลวงบอกว่าครรภ์ไม่มั่นคงมีสัญญาณของการแท้งบุตร ลูกรู้สึกไม่สบายใจที่จะไปเมืองถิงเจียงพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หมิงหยวนเงยหน้ามองเขา “เจ้าว่าอย่างไรนะ? พระชายาฉู่มีครรภ์หรือ?

“กราบทูลเสด็จพ่อ ใช่พ่ะย่ะค่ะ!” หยู่เหวินเห้าตอบอย่างชัดเจน ความภาคภูมิใจที่ได้เป็นพ่อคนปรากฏอย่างเป็นธรรมชาติ

“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง!” ขุนนางเน่ย์เก๋อซุนถิงฟางยิ้มพลางเอามือแนบลำตัวกล่าว

“ขอบใจมากใต้เท้าซุน!” หยู่เหวินเห้ายิ้ม

ฮ่องเต้หมิงหยวนลุกขึ้นยืน น้ำเสียงติดแววกังวล “ให้หมอหลวงมาตรวจแล้วหรือยัง?”

หยู่เหวินเห้าตอบ: “กราบทูลเสด็จพ่อ เมื่อคืนเรียกหมอหลวงไปที่จวนเพื่อตรวจแล้ว ยืนยันว่าตั้งครรภ์จริงๆ แต่เพราะนางเคยถูกลอบสังหาร ทำให้ครรภ์ไม่มั่นคง ดังนั้นลูกจึงไม่สบายใจเกี่ยวกับนาง ขอให้เสด็จพ่อเลือกคนอื่นมารับตำแหน่งแม่ทัพเพื่อปราบปรามโจรเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หมิงหยวนตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ครรภ์ไม่มั่นคงตัวเจ้าไม่สามารถห่างจากนางได้ เรื่องการปราบปรามโจรกรรมก็มอบหมายให้พี่ใหญ่ของเจ้าแล้วกัน มู่หรู เจ้ารีบไปที่จวนอ๋องฉู่หารือกับหมอหลวงเฉาเรื่องการบำรุงรักษาครรภ์ของพระชายาฉู่เดี๋ยวนี้”

มู่หรูกงกงรับคำสั่งด้วยความยินดีก่อนรีบออกไป

เรื่องการปราบปรามถูกกำหนดให้เป็นอ๋องจี้ตั้งแต่แรกแล้ว

แต่เมื่อคืนอ๋องจี้ได้รู้ว่าหยวนชิงหลิงตั้งครรภ์ วันนี้จึงชิงเข้าวังมาก่อนเพื่อแนะนำเขา บอกเล่าความในใจเสด็จพ่อก็เห็นยินยอม ยังคิดว่าเขาใช้เรื่องการตายอย่างทารุณของชายารองมาเป็นข้ออ้างเพื่อหลบหลีกได้ ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเสด็จพ่อได้ยินว่าหยวนชิงหลิงตั้งครรภ์ก็เปลี่ยนความคิดทันที แล้วให้เขาไปรับตำแหน่งแม่ทัพปราบโจรเช่นนี้

ในยามคับขันนี้ เขาต้องออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ วางแผนกลยุทธ์ด้วยตนเอง ข้าจะออกจากเมืองหลวงเป็นเดือนๆ ได้อย่างไร?

แต่ความประสงค์กำหนดมาให้ เขาทำได้เพียงรับประสงค์นั้น

ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดกับหยู่เหวินเห้าด้วยความยินดี: “เจ้านำเรื่องที่พระชายาตั้งครรภ์ไปบอกไทเฮาท่านแม่ของเจ้าด้วยตัวเองเสีย ให้พวกนางดีใจกันเสียหน่อย

“พ่ะย่ะค่ะ!” หยู่เหวินเห้ารับคำก่อนออกไป

ไทเฮายังคงทุกข์ใจเรื่องการตายของชายารอง เมื่อหยู่เหวินเห้ามารายงานว่าพระชายาฉู่ตั้งครรภ์ ไทเฮาก็ดีใจจนน้ำตาแทบไหล แต่พอได้ยินว่าครรภ์ไม่มั่นคงก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “เหตุใดจึงไม่มั่งคง? หมอหลวงบอกสาเหตุที่แน่ชัดหรือไม่? ให้ยาบำรุงครรภ์แล้วหรือยัง?”

“เสด็จย่าวางใจเถิด หมอหลวงให้ยาแล้ว ส่วนความไม่มั่นคงของทารกในครรภ์ต้องโทษข้า” หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยความสำนึกผิด

“โทษเจ้า?” ไทเฮามองเขาชั่วขณะก็เกิดความเข้าใจผิด อุทานออกมาอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่รู้วิธีควบคุม ในจวนไม่ได้มีเมียทาสอยู่สักกี่คนเลยหรือ? เสด็จพ่อเจ้าพูดเจ้าไว้ไม่มีผิด มีแต่ก่อเรื่อง!”

หยู่เหวินเห้าตอบ: “เสด็จย่าพูดไปถึงไหนกัน? หลานหมายถึงที่ทารกในครรภ์ของนางไม่มั่นคงเป็นเพราะไม่กี่เดือนก่อนเกิดการเข้าใจผิด หลานเรียกคนมาเฆี่ยนนางตั้งสามสิบครั้งทำลายพลังชีวิต อีกทั้งตอนนั้นเสด็จปู่ร่างกายเจ็บป่วย พระชายาต้องรีบเข้าวังไปปรนนิบัติรับใช้ ให้นางใช้น้ำจื่อจินสำเร็จ

ไทเฮาลุกขึ้นยืนตกใจจนลูกตาแทบจะหลุดออกมา “น้ำจื่อจิน? พระเจ้าช่วย นางดื่มน้ำจื่อจินแล้วตั้งครรภ์ได้อย่างไร? นี่ถือว่าเป็นพรที่พระเจ้าประทานให้ ข้าไม่สนอย่างไรทารกนี้ก็ต้องปกป้องไว้ให้ได้ ถ้ามีอะไรผิดพลาดข้าจะลงโทษกับโรงหมอทันที!”