บทที่ 237 จะต้องมีสักวันที่จะได้ไปเมืองหลวง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 237 จะต้องมีสักวันที่จะได้ไปเมืองหลวง
บทที่ 237 จะต้องมีสักวันที่จะได้ไปเมืองหลวง

เหยาซูดึงสติกลับมา และเริ่มเปลี่ยนประเด็นใหม่

สองสามวันนี้เหยาเอ้อหลางกลับหมู่บ้านตระกูลเหยา

ในบ้านของเหยาซูจึงเหลือแค่อาซือและเถิงเอ๋อเพียงสองคน ทำให้นางรู้สึกสงบมากในชั่วพริบตา

เด็กทั้งสองคนล้วนเป็นเด็กที่เชื่อฟังโดยไม่ต้องกังวลใจ กลางวันเหยาซูจะทำอาหารมื้ออร่อยให้พวกเขา บางครั้งก็พาอาซือและเถิงเอ๋อไปเยี่ยมร้านสักรอบ ซึ่งทำให้รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายมาก

เช้าตรู่วันนี้ หลังจากเถิงเอ๋อมาถึงได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงกีบม้าดังมาจากด้านนอก

เด็กหนุ่มคนหนึ่งขี่ม้ามาหยุดอยู่หน้าลานเล็ก และตะโกนถามว่า “มีคนอยู่หรือไม่? ที่นี่คือบ้านของหลินเหราใช่หรือไม่?”

เหยาซูไปดูร้าน ภายในบ้านจึงมีแค่เด็ก ๆ เท่านั้น ครั้นอาซือได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงวิ่งออกมาจากลานบ้าน

เด็กหญิงตัวน้อยยืนอยู่หน้าประตู และพูดด้วยเสียงสดใสว่า “ที่นี่บ้านตระกูลหลิน ท่านมีธุระอันใดหรือเจ้าคะ?”

ผู้มาเยือนตอบรับ จากนั้นก็หยิบจดหมายที่ดูหนาเตอะฉบับหนึ่งออกมาจากสัมภาระด้านหลัง และพูดว่า “นี่คือจดหมายจากเมืองหลวง ดูสิว่าใช่ของพวกเจ้าหรือไม่?”

ครั้นอาซือได้ยินคำว่า ‘เมืองหลวง’ สองพยางค์นี้ ดวงตาก็เปล่งประกายทันที จากนั้นก็วิ่งมาตรงหน้าม้า และรับจดหมายจากมือของผู้นั้น

เมื่อนางเห็นตัวอักษรอันคุ้นเคยบนจดหมายฉบับนี้ จึงพูดด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “เป็นของบ้านเรา!จดหมายของเรา! ขอบคุณพี่ชายเจ้าค่ะ!”

เด็กหนุ่มคนนั้นรีบขี่ม้าจากไป ส่วนอาซือถือจดหมายกลับเข้าไปในห้องอย่างเบิกบานใจ

นางรีบเดินมาตรงหน้าของเถิงเอ๋อ และพูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่เถิง! พี่เดาสิ ใครเขียนจดหมายมา!”

เถิงเอ๋อยิ้ม “พี่อาจื้อเขียนมาใช่หรือไม่?”

เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก “อื้อ! ด้านบนเขียนว่า ‘ถึงน้องสาวของข้า’ ท่านพี่เขียนจดหมายถึงข้า!”

อาจื้อและคนอื่นจากไปเป็นสิบวันแล้ว สองสามวันนี้เถิงเอ๋อมักจะมาเล่นกับอาซือเสมอ ครั้นเห็นเด็กน้อยบ่นคิดถึงอาจื้อแทบตลอดเวลา จึงรู้ว่าเธอคิดถึงพี่ชายของนางมาก

ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทางดีอกดีใจของนาง เถิงเอ๋อก็อดดีใจด้วยไม่ได้

เขายื่นหน้าไปใกล้ และพูดกับอาซือว่า “รีบเปิดอ่านสิ พี่อาจื้อเขียนว่าอย่างไรบ้าง?”

อาซือพาเถิงเอ๋อไปนั่งบนเตียง ซานเป่ากำลังเล่นสิ่งของที่อยู่ในมืออย่างจริงจังอยู่อีกด้าน ไม่ได้เข้ามาใกล้พี่ชายและพี่สาวแต่อย่างใด

“ซานเป่า ท่านพี่ส่งจดหมายมา ข้าจะอ่านให้เจ้าฟังนะ”

ขณะที่พูด นางได้แกะซองจดหมายอย่างคาดหวัง และนำปึกกระดาษนั้นออกมา

อาซือเปิดดูและมองเจี่ยงเถิงด้วยความดีใจ “พี่เถิง ในนี้มีจดหมายสี่ฉบับ! พี่เถิง ข้า ท่านแม่ แม้แต่พี่รองก็ยังมี!”

เถิงเอ๋อรับจดหมายที่อาซือยื่นให้เขาและเริ่มอ่านมัน

ในจดหมายอาจื้อยังคงเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเขา ถามถึงสาเหตุของการป่วยในคราวที่แล้ว ตอนนี้ดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่? ทั้งยังบอกว่าตัวเองไม่สามารถพาเขาไปขี่ม้าในค่ายป้องกันเมืองได้ วันหน้าถ้ามีโอกาสเราค่อยไปอีกครั้ง หวังว่าฤดูหนาวครั้งนี้จะได้กลับบ้าน เช่นนี้พวกเขาจะได้ไปเที่ยวด้วยกันอีก

เถิงเอ๋อไม่เคยมีสหายสนิทมาก่อน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการได้รับจดหมายจากสหาย

เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่กระดาษธรรมดาแผ่นหนึ่ง เนื้อหาในกระดาษก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่เถิงเอ๋อกลับดีใจอย่างมาก

เขาอ่านเนื้อหาในจดหมายอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะวางลง

อาซืออ่านของนางจบแล้ว จึงเอ่ยถามว่า “พี่เถิง จดหมายของพี่เขียนว่าอย่างไร?”

ดวงตาของเถิงเอ๋อคู่นั้นยกโค้งจนเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว “พี่อาจื้อบอกว่า เขาสนุกกับการได้นั่งบนหลังม้าที่วิ่งไปจนถึงเมืองหลวง ต่อไปถ้ามีโอกาสเขาจะสอนข้าขี่ม้า”

อาซือเองยิ้มเช่นกันและพูดกับเขาว่า “เจ้าฟังนะ ท่านพี่ยังกำชับข้าว่าจะต้องออกไปเล่นกับเจ้าบ่อย ๆ ‘เถิงเอ๋อสุขภาพไม่ดี จะต้องวิ่งเยอะ ๆ กระโดดเยอะ ๆ ร่างกายถึงจะแข็งแรง’ ประโยคนี้ เหมือนกับคำพูดของท่านแม่ไม่มีผิด!”

เถิงเอ๋อยื่นหน้าเข้าไปดูจดหมายที่อาจื้อเขียนให้อาซือ มีการเอ่ยถึงเขาอย่างที่ว่าไว้จริง ๆ

ในใจเด็กชายตัวน้อยปลาบปลื้มอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่าอาจื้อมีอายุมากกว่าเขาไม่ถึงหนึ่งปี แต่ในใจของเถิงเอ๋อเห็นอาจื้อเป็นพี่ชายคนสนิทไปแล้ว

เขาพูดกับอาซือว่า “เราเชื่อฟังที่พี่อาจื้อบอกแล้วออกไปเล่นข้างนอกกันเถอะ ที่พี่อาจื้อพูดก็มีเหตุผล”

เด็กทั้งสองคนต่างพากันดีอกดีใจ อยากจะป่าวประกาศความดีใจของตัวเองให้คนที่อยู่รอบตัวรับรู้แทบขาดใจ เพียงแต่เหยาซูและเหยาเอ้อหลางไม่อยู่

เถิงเอ๋อนั้นฉลาดหลักแหลม “เอ้อเป่า เมื่อครู่เจ้าบอกว่าจะอ่านจดหมายให้ซานเป่าฟังไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นก็อ่านให้เขาฟังสิ”

อาซือมัวแต่ดีใจจนลืมเรื่องนี้ไปสนิท คำพูดของเถิงเอ๋อตรงกับใจของนางพอดี

“ซานเป่า! มา! มานี่มา ข้าจะอ่านจดหมายให้เจ้าฟัง เป็นจดหมายที่ท่านพี่เขียนมา!”

ครั้นถูกพี่สาวสอดมือใต้วงแขน จากนั้นก็ลากมาข้างกาย เด็กทารกจึงได้เงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงพลางส่งเสียงด้วยความสงสัย

อาซืออุ้มน้องชายให้นั่งดี ๆ ไม่ว่าซานเป่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ นางก็ยังคลี่กระดาษจดหมายและอ่านเนื้อหาที่อ่านไปแล้วหลายรอบเมื่อครู่ด้วยเสียงที่ดังฟังชัดอีกหนึ่งรอบ

เมื่ออ่านจบนางก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ซานเป่า เข้าใจหรือไม่? พี่อ่านชัดเจนไม่?”

ปกติแล้วเหยาซูจะเล่านิทานก่อนนอนให้เด็ก ๆ ฟังเสมอ บางครั้งก็หยิบหนังสือหนึ่งเล่มให้อาจื้อและอาซืออ่านตาม ดังนั้นซานเป่าจึงไม่มีความคิดจะปฏิเสธเรื่องราวที่พวกผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง

เขาส่งเสียงคำว่า “พี่! พี่!” ออกมาสองครั้ง พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่เปื้อนไปด้วยน้ำลายออกมา

อาซือและเถิงเอ๋ออยู่เล่นกับอาจื้อตลอดช่วงเช้า ทั้งสองคนยังปรึกษากันอยู่เลยว่าจะตอบกลับจดหมายของอาจื้ออย่างไร

เด็กสาวตัวน้อยพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านพี่เขียนที่อยู่ของบ้านท่านปู่เซี่ยไว้ตรงท้ายจดหมายด้วย เราแค่นำจดหมายไปส่งที่ศาลาพักม้า เขียนในจดหมายให้เรียบร้อยว่าไปส่งที่ใด ส่งให้ใคร ก็จบแล้ว”

เถิงเอ๋อค่อนข้างเป็นกังวล “ถ้าไปส่งเมืองหลวง จะต้องใช้เวลาสามถึงสี่วัน มันจะไม่หายหรือ?”

อาซือเกิดความลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้…ท่านพี่ส่งจดหมายมาถึงเราได้ ถ้าเราส่งก็น่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรหรอกกระมัง?”

ทั้งสองคนตัดสินใจว่าจะรอให้เหยาซูกลับมาก่อน ให้นางช่วยถามให้

อาซือนึกขึ้นได้ทันทีว่า “ถ้าเราสองคนไปส่งจดหมายด้วยตัวเองได้ก็คงดี เมืองหลวงก็ไม่ไกล ท่านพี่บอกว่าขี่ม้าราวสามถึงสี่วันก็ถึงแล้วนี่”

เถิงเอ๋อยิ้มด้วยเข้าใจหมายของนาง “เอ้อเป่าเองก็อยากไปเที่ยวเมืองหลวงใช่ไหม?”

เด็กหญิงตัวน้อยแสดงสีหน้าคาดหวัง “ใช่! หรือว่าพี่เถิงไม่อยากไป? ท่านพี่บอกว่าถนนในเมืองหลวงล้วนถูกปูด้วยหินสีเงิน! ถนนก็ทั้งกว้างทั้งใหญ่และสะอาดมาก ยังไม่มีเมืองไหนที่มีการปูพื้นด้วยหินสีเงินเลยนะ?”

เถิงเอ๋อเองก็ไม่เคยไปเมืองอื่น แต่ถนนในมณฑลไม่ต่างกับในเมืองสักเท่าไร โดยส่วนใหญ่จะแคบและเล็ก ส่วนเส้นทางหลักก็ไม่ได้ถูกปูด้วยหินสีเงิน

เขาพยักหน้าและพูดว่า “เมืองหลวงจะต้องดีกว่าแน่นอน”

อาซือหยิบจดหมายออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็ชี้ไปบนข้อความด้านบน และพูดว่า “พี่ดูสิ ท่านพี่ยังบอกอีกว่าเขาเห็นคนขายนกอยู่ริมถนน ถูกขังอยู่ในกรง ลำตัวสีเหลือง ส่งเสียงร้องจิ๊บ ๆ น่ารักอย่าบอกใครเชียว ข้ายังไม่เห็นเห็นนกชนิดนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นนกอะไร…”

นางพูดด้วยความเศร้าใจอีกว่า “น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็น ทำได้แค่ให้ท่านพี่ช่วยเลี้ยงให้ข้าสักตัว… ตอนนี้เรามาเขียนจดหมายตอบกลับกันดีหรือไม่?”

เถิงเอ๋อพยักหน้า ครั้นเห็นท่าทางคาดหวังอย่างมากของนาง เขาจึงพูดปลอบใจน้องสาว “เอ้อเป่ามีความอดทนมาก จะต้องมีสักวันที่เราจะได้ไปเมืองหลวง รอเราโตกว่านี้อีกหน่อย ข้าจะพาเจ้าไปด้วยกัน”

ดวงตาของอาซือคู่นั้นเปล่งประกาย นางคว้ามือของเถิงเอ๋อเอาไว้เขย่าพลางพูดว่า “พี่เถิงพูดจริงนะ? เราจะได้ไปเมืองหลวงด้วยกันใช่หรือไม่? เช่นนั้นพี่ต้องดูแลข้าให้ดีนะ ท่านแม่เคยกล่าวไว้ ว่าระหว่างทางมักมีคนชั่วไม่น้อย!”

นัยน์ตาของเด็กสาวเปล่งประกายระยิบระยับ เต็มไปด้วยเงาสะท้อนของเจี่ยงเถิง

เมื่อเถิงเอ๋อถูกนางคว้ามือไว้ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจความงดงามในบทกวีที่ว่า ‘ท่านขี่ม้าไม้ไผ่มาเยือน มาเล่นกับป่าเหมยเขียวล้อละเล่นรอบขอบบ่อ [1]’

เขาและอาซือรู้จักกันตั้งแต่เด็ก วันข้างหน้าจะต้องกลายเป็นคู่หูที่ดีต่อกัน ความรู้สึกนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก

เขาสัญญาจากใจจริง “อาซือเจ้าวางใจเถิด ข้าจะปกป้องเจ้าอย่างดี”

เด็กทั้งสองคนล้วนไม่ได้สังเกตว่าช่วงสองสามวันนี้เหยาซูยุ่งอยู่กับกิจการในเมือง เพื่อเตรียมการย้ายครอบครัวไปเมืองหลวง

แต่ต่อให้รู้ พวกเด็ก ๆ ก็ยังมองโลกในแง่ดี ทั้งสองคนคงไม่มีใครอยากทุกข์ใจจากการจากลาโดยไม่เจอกันอีกอย่างแน่นอน…

…………………………………………………………………………………………………..

[1] เป็นบทกวีของหลี่ไป๋ บรรยายถึงคู่รักที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก มีการเอาการละเล่นในวัยเด็กมาบรรยายซึ่งเป็นที่มาของสำนวน เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ (青梅竹馬) หมายถึง คู่รักซึ่งเป็นเพื่อนเล่นกันตอนเด็ก

สารจากผู้แปล

เอาใจช่วยให้ได้ไปเจอพี่อาจื้อที่เมืองหลวงนะคะ

ไหหม่า(海馬)