บทที่ 238 ฝ่าบาททรงคิดมากเกินไป

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 238 ฝ่าบาททรงคิดมากเกินไป
บทที่ 238 ฝ่าบาททรงคิดมากเกินไป

อีกด้านหนึ่ง

วันที่หลินเหราและเหยาเฉาได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ เป็นไปตามที่เหยาซูคาดหวังไว้ในใจ ทุกอย่างราบรื่น

วันนั้นเป็นการประชุมครั้งใหญ่ [1] ที่มีขึ้นทุกเจ็ดวันพอดี

ยังไม่ถึงยามเหม่า เซี่ยเชียนก็นั่งรถม้ามาถึงวังหลวงแล้ว รอจนการประชุมเสร็จสิ้น ก็เกือบจะยามเฉิน

องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้เขารับประทานอาหารเช้าอยู่ในวัง ระหว่างนั้นก็ส่งคนไปเรียกตัวหลินเหราและเหยาเฉาทั้งสองคน

เซี่ยเชียนนั่งอยู่ตรงข้ามกับองค์จักรพรรดิ มีเหยือกสุราขนาดเล็กหนึ่งใบ ชามขนาดเล็กที่ใส่ขนมทานเล่นสองถึงสามใบ และมีน้ำแกงที่เตรียมไว้สำหรับมื้อเช้าอีกหนึ่งถ้วยเล็กวางอยู่บนโต๊ะ

องค์จักรพรรดิและเซี่ยเชียนมีอายุไม่ต่างกันนัก ราวสามสิบต้น ๆ ซึ่งยังหนุ่มยังแน่นทีเดียว

ทั้งสองคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ คนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดคลุมมังกรสีเหลืองอร่าม อีกคนก็แต่งกายด้วยชุดเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ซึ่งทั้งสองคนต่างยังดูวัยเยาว์ แต่กลับเป็นถึงกษัตริย์และขุนนาง

กระทั่งได้ยินจักรพรรดิตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านขุนนางขี่ม้ากลับเมือง ระหว่างทางคงเหนื่อยแย่? นี่เป็นน้ำแกงเป็ดที่ลี่เฟยส่งมาให้ตั้งแต่เช้า ข้าไม่ชอบรสชาติที่เลี่ยน เช่นนั้นแล้วก็ขอยืมดอกไม้มาถวายพระโพธิสัตว์ [2] ท่านขุนนางกินเถอะ”

เมื่อเซี่ยเชียนเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิ กลับไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นน้อยไปกว่าที่แสดงต่อหน้าผู้อื่น ทั้งยังมีท่าทางเย็นชา เขาส่ายหน้าและเอ่ยปฏิเสธ “ฝ่าบาท ทำเช่นนี้ไม่ถูกระเบียบนะพะยะค่ะ”

ของบำรุงที่ตำหนักหลังส่งมา กลับให้เซี่ยเชียนผู้ซึ่งเป็นแค่ขุนนางดื่ม ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

จักรพรรดิเป็นคนสบาย ๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ชอบทำตามกฎระเบียบราชประเพณี เพียงแค่โบกพระหัตถ์ไปมาและพูดว่า “ข้าให้เจ้าดื่มก็ดื่มไปเถอะ มันก็แค่น้ำแกงที่ตำหนักหลังส่งมามิใช่หรือ? ไม่มียาพิษแน่นอน เหตุใดถึงดื่มไม่ได้เล่า”

ครั้นเห็นเซี่ยเชียนยังนิ่งไม่ไหวติง องค์จักรพรรดิจึงส่งสายพระเนตรไปยังคนที่รับใช้อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ก่อนจะตรัสสั่ง “เอาน้ำแกงชามนี้ไปแบ่งเป็นสองชามแล้วยกเข้ามา”

นางกำนัลยกชามนั้นออกไปเติมน้ำแกง ไม่นานก็ยกกลับมาประเคนด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด

องค์จักรพรรดิชี้ไปยังชามหยกสีขาวขนาดเล็กทั้งสองใบบนโต๊ะ จากนั้นก็ตรัสกับเซี่ยเชียนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจนใจ “ครานี้เปลี่ยนชามแล้ว คงไม่คิดว่าเป็นของกินที่ลี่เฟยส่งมาอีกกระมัง ข้าจะดื่มกับเจ้า ตกลงหรือไม่?”

ครั้นเซี่ยเชียนได้ยินองค์จักรพรรดิตรัสเช่นนี้ เขาก็พูดอะไรไม่ได้อีก ทำได้แค่ยกถ้วยลายครามขึ้นมา

น้ำแกงชามนี้น่าจะถูกตุ๋นไว้หลายชั่วยาม มันส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจ ไม่ได้เลี่ยนดั่งที่องค์จักรพรรดิทรงตรัสไว้

เซี่ยเชียนหยิบช้อนตักชิมหนึ่งคำ รสชาติของมันเหมือนกับน้ำแกงที่มารดาของตนเคยทำไว้เมื่อครั้งอดีต จึงได้ตักกินอีกหลายคำ ก่อนจะวางถ้วยลงในที่สุด

องค์จักรพรรดิโยนช้อนไปอีกด้านนานแล้ว หลังจากทรงดื่มได้เพียงสองคำก็ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะชำเลืองไปเห็นการกระทำของเซี่ยเชียน

พระองค์เอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านขุนนางรู้สึกว่าน้ำแกงนี้อร่อยใช่หรือไม่?”

เซี่ยเชียนเมินเฉยต่อสายพระเนตรขององค์จักรพรรดิ และประเมินอย่างตรงไปตรงมา “พอใช้ได้”

องค์จักรพรรดิหมดคำพูดไปชั่วขณะ จากนั้นก็กวาดถ้วยน้ำแกงไปอีกด้าน สะบัดแขนเสื้อ ใช้ตะเกียบคีบถั่วเข้าปากและเคี้ยวดังกรอบแกรบ พลางตรัสอย่างไม่พอใจ “หวานเลี่ยนถึงเพียงนี้แล้วยังจะใส่เม็ดเก๋ากี้! น้ำแกงของลี่เฟยชามนี้ถือว่าพอใช้ได้ ขาแกะที่ได้รับการบรรณาการจากทิศตะวันตกเมื่อตอนต้นปี ปลากะพงขาวที่จับได้ในทะเลสาบตะวันออกเหล่านั้น … ห้องเครื่องในวังตั้งใจรังสรรค์ขึ้นมา เจ้าบอกแค่ว่าพอใช้ได้ ท่านขุนนางช่างตบตาข้าได้เก่งยิ่งนัก”

เซี่ยเชียนปรายตามององค์จักรพรรดิที่ประทับนั่งในท่าสบายแวบหนึ่ง นัยน์ตาล้ำลึกฉายแววหมดคำพูดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าน้อยมิบังอาจ”

องค์จักรพรรดิเคยชินกับความทิฐิสูงของเขา จึงเลื่อนจานขนมที่วางอยู่บนโต๊ะไปตรงหน้าเขา “ข้าไม่ชอบกินของหวาน เอาสิ ให้เจ้าหมดเลย”

เซี่ยเชียนส่ายหน้า “กระหม่อมเองก็ไม่ชอบกินของหวาน”

องค์จักรพรรดิถึงกับสำลัก ทันใดนั้นก็ตั้งใจดึงหน้าขึงขังและเอ่ยขึ้น “ไม่ได้ ต้องกิน ข้าสั่งให้เจ้ากิน”

เซี่ยเชียนจึงปรายตามองอีกครั้ง ในขณะที่จะปฏิเสธ ก็ได้ยินองค์จักรพรรดิตรัสอีกครั้ง “หากไม่กินจะถูกตัดหัว”

เซี่ยเชียนไม่อยากจะโต้เถียงกับองค์จักรพรรดิวัยสามสิบกว่าผู้ยังไร้เดียงสาผู้นี้ จึงยื่นมือออกไป หยิบขนมที่ดูชิ้นเล็กที่สุดออกมาหนึ่งชิ้น จากนั้นก็เอาใส่ปาก

องค์จักรพรรดิผู้ซึ่งเคยชินกับการเอาอกเอาใจของเหล่าข้าราชบริพารมาตลอดทั้งวัน ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้เบิกบานใจที่เห็นเซี่ยเชียนทำตามคำสั่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ จึงทรงพระสรวลจนตาหยี จากนั้นก็ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว “ยามเจ้ายังเด็กก็มักจะชอบกินของหวาน ตอนนั้นห้องทรงอักษรมีการจัดเตรียมขนมให้แก่เหล่าเชื้อพระวงศ์ในช่วงเช้า เนื่องจากมันหวานเลี่ยนเกินไป ไม่มีใครกิน มีแค่เจ้าที่กิน”

เซี่ยเชียนฟังเขาเอ่ยถึงเรื่องในอดีต สีหน้านิ่งสงบ และพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบยิ่งกว่าเดิม “กระหม่อมไม่ชอบกินของหวานแล้ว แต่อารมณ์ของฝ่าบาทยังคงเหมือนในอดีต”

องค์จักรพรรดิเมินเฉยต่อคำพูดที่เหมือนมีหนามขนาดเล็กทิ่มแทงตนเบา ๆ เหล่านี้ จากนั้นก็ทรงพระสรวลอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านขุนนางรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่เปลี่ยน? หลังจากที่เสด็จพ่อสวรรคต ข้าก็เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน”

ครั้งเอ่ยถึงจักรพรรดิพระองค์ก่อน หัวคิ้วของเซี่ยเชียนได้ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย โดยไม่ได้พูดสิ่งใดอีก

องค์จักรพรรดิชำเลืองมองนางกำนัลที่ยืนรับใช้อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ทุกคนเข้าใจและถอยออกไป ภายในตำหนักจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน

กระทั่งได้ยินองค์จักรพรรดิทอดถอนใจ และตรัสกับเซี่ยเชียนว่า “อาเชียน แม้ว่าเราจะไม่ได้สนิทมากนัก แต่ก็ถือว่าเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเจ้าติดตามพี่ใหญ่ผู้ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท ข้าเองก็ถือว่าเป็นน้องชายที่แสนดีผู้หนึ่งเชียวนะ เคยช่วยเหลือพวกเจ้าไม่น้อย ปีนั้นตระกูลเซี่ยตกระกำลำบาก ซึ่งเป็นก้าวแรกในการโค่นล้มองค์รัชทายาท…หลายปีผ่านไป ผู้ริเริ่มก่อการจลาจลต่างถูกประหารชีวิต เจ้ายังโทษกล่าวข้าอีกหรือ?”

ในตอนนั้นเขาไม่ได้โดดเด่นท่ามกลางเหล่าเชื้อพระวงศ์ และไม่ได้มีความทะเยอทะยานจะช่วงชิงบัลลังก์แต่อย่างใด ทั้งยังให้การยกย่องและเคารพต่อพี่ใหญ่ผู้ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาท แม้แต่เซี่ยเชียนผู้ซึ่งเป็นสหายของพี่ใหญ่องค์รัชทายาทในตอนนั้น อายุยังน้อยแต่กลับเป็นคนที่เฉลียวฉลาด จึงรู้สึกว่าตนนั้นมิอาจเอื้อม

ถ้าตระกูลเซี่ยไม่ประสบกับหายนะครั้งใหญ่ พี่ใหญ่ผู้ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทไม่ถูกประทุษร้าย เกรงว่าตอนนี้ตำแหน่งของเซี่ยเชียน คงจะสูงขึ้นแล้วกระมัง?

การถูกเนรเทศมานานหลายปี ทำให้ความเกลียดชังได้สะสมอยู่ในตระกูลเซี่ยมาเนิ่นนาน

เขาไม่ขอให้เซี่ยเชียนให้อภัยจักรพรรดิองค์ก่อนที่หูเบาและเจ้าอารมณ์ แต่เรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา

ของหวานที่เดิมทีตั้งใจเตรียมมาให้เซี่ยเชียนเป็นพิเศษได้กลิ้งไปยังใต้เท้าของชายหนุ่ม และหยุดอยู่ที่รองเท้าหุ้มข้อ

องค์จักรพรรดิในพระภูษาคลุมมังกรสีเหลืองอร่ามได้ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ชี้หน้าบริภาษเซี่ยเชียนว่า “คนที่เจ้าควรเกลียดชังได้ตายไปหมดแล้ว! อาหารการกินเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ข้าให้เจ้า แต่งตั้งให้เจ้าเป็นขุนนางระดับสูง เจ้ายังกล้าชิงชังข้าอีกหรือ?! เซี่ยเชียน เจ้าช่วยมีเหตุผลได้หรือไม่!”

เซี่ยเชียนคุกเข่าลง ใบหน้ายังคงความเย็นชา เสียงที่เปล่งออกไปก็ยังเย็นชาเฉกเช่นเดิม “กระหม่อมมิบังอาจ”

องค์จักรพรรดิบันดาลโทสะจนเกือบสิ้นสติ ปลายพระดรรชนีที่ชี้ไปยังเซี่ยเชียนได้สั่นระริก หลังจากเหนื่อยหอบสองครั้ง ก็แสดงอาการกริ้วฉุนเฉียวจนไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูด ไม่สนใจแม้แต่ภาพลักษณ์น่าเกรงขามของการเป็นองค์จักรพรรดิ “ข้าว่าเจ้าบังอาจมากกว่า! เซี่ยเชียนหนอเซี่ยเชียน เจ้าช่างเหมือนกับก้อนหินในโถส้วม [3]เสียจริง นิสัยน่ารังเกียจและดื้อรั้น!ถ้าชอบคุกเข่าเช่นนี้ งั้นก็จงคุกเข่าต่อไปเถอะ!”

พูดจบพระองค์ก็ไม่สนใจจะเสวยพระกระยาหารตรงหน้าอีก ทิ้งเซี่ยเชียนให้คุกเข่าอยู่ที่เดิมต่อไป

องค์จักรพรรดิทรงพระดำเนินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ทว่ายังคงครุ่นคิดในใจ

ถ้าหันกลับมามองเขาเพียงแวบเดียว ต่อให้คุกเข่าแผ่นหลังของเซี่ยเชียนก็ยังยืดตรง

เสียงเคลื่อนไหวของคนทั้งสองดังมาก ไฉนเลยนางกำนัลที่รอปรนนิบัติอยู่นอกตำหนักจะไม่ได้ยิน? แต่ทุกคนก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตา ใครเล่าจะกล้าส่งเสียง

กระทั่งองค์จักรพรรดิทรงพระดำเนินออกมาหยุดอยู่หน้าตำหนักครู่หนึ่ง สายลมโชยพัดผ่าน พระองค์จึงตรัสเรียกคนที่อยู่ข้างกาย “เข้าไปเก็บชามที่หกเรี่ยราดให้หมด อย่าให้ใครบาดเจ็บเด็ดขาด”

นางกำนัลตอบรับ ก้มหน้าและหมุนตัวเดินจากไป

แต่กลับได้ยินองค์จักรพรรดิรับสั่งอีกครั้งว่า “ช้าก่อน”

นางกำนัลหันกลับไป รอคำสั่งต่อไปของเขาอย่างเงียบเชียบ

เหมือนกำลังสับสนไปชั่วขณะ หลังจากถอนหายใจหลายครั้งหลายครา องค์จักรพรรดิจึงได้กล่าวว่า “เข้าไปเตือนสักหน่อย คนที่ข้าเรียกตัวกำลังจะถึงแล้ว ถ้าเขายัง…”

ขณะที่พูด เขาก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อที่กว้างนั้นอย่างไม่สบอารมณ์

พระภูษาคลุมลายมังกรมีคุณภาพค่อนข้างดี ไม่ทิ้งร่องรอยไว้แต่อย่างใด กลับยิ่งทำให้ดูมีพลังมากขึ้น

“ช่างเถอะ! ข้าจะเข้าไปพูดกับเขาเอง!”

องค์จักรพรรดิที่เดิมทีพรวดพราดออกมาจากตำหนักด้วยความโกรธเกรี้ยว ก็ต้องกลับเข้าไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง

นางกำนัลเหล่านั้นต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด

ภายในตำหนัก เซี่ยเชียนยังคงอยู่ในอากัปกิริยาเดิม คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน แผ่นหลังก็ยืดตรงยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้

องค์จักรพรรดิเดินรุดขึ้นหน้าหลายก้าว ยืนห่างจากเซี่ยเชียนไม่ไกลนัก ก่อนจะตรัสว่า “เมื่อโอรสสวรรค์ทรงกริ้ว ศพนับร้อยจะบังเกิด! เจ้ารังเกียจข้ามิใช่หรือ อีกเดี๋ยวข้าจะให้เจ้าได้เห็น ว่าอะไรที่เรียกว่าน่ารังเกียจยิ่งกว่ากัน! หลินเหราอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่ฆ่าเขาหรอก!”

ทันใดนั้นเซี่ยเชียนก็หัวเราะเสียงต่ำโดยที่เขาไม่เห็น

เสียงหัวเราะนั้นคล้ายกับการบานเพียงชั่วค่ำคืนของดอกถานฮวา [4] ไม่สิ ยังสั้นกว่าการดำรงอยู่ของดอกถานฮวาเสียอีก

เขาตอบรับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่เคยชิงชังฝ่าบาท ฝ่าบาททรงคิดมากเกินไป”

…………………………………………………………………………………………………

[1] การประชุมครั้งใหญ่ (朝会) เป็นการรวมตัวของเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่และข้าราชบริพาร

[2] ยืมดอกไม้มาถวายพระโพธิสัตว์ ใช้เปรียบเปรยว่านำของที่ผู้อื่นให้มามอบให้กับอีกคนหนึ่งเป็นน้ำใจ

[3] ก้อนหินในโถส้วม หมายความว่า ทั้งเลวทรามทั้งมีทิฐิ

[4] ดอกราชินีรัตติกาล ดอกโบวตั๋น หรือ queen of the night เป็นดอกของพืชตระกูลกระบองเพชรชนิดหนึ่ง มีสีขาว กลิ่นหอม แต่บานได้เพียงหนึ่งคืนก็เหี่ยวแห้งไปในรุ่งเช้า

สารจากผู้แปล

เหมือนอดีตระหว่างฮ่องเต้กับเซี่ยเชียนจะหวานอมขมกลืนอย่างไรบอกไม่ถูกนะคะ ฝ่ายหนึ่งพยายามร้องขอการให้อภัย ส่วนอีกฝ่ายยังแค้นฝังลึกอยู่ในใจอย่างไรอย่างนั้น

/เหมือนมองเห็นเรืออยู่ไกล ๆ/

ไหหม่า(海馬)