บทที่ 219 ปู่ (1)
เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แม้แต่จวงเย่ว์ซีที่อยู่ด้านข้างก็ชะงักงันด้วยเช่นกัน

นี่มันอะไรกัน

เหตุใดพี่ชายนางจึงวิ่งหนีนางไปกับหญิงอื่นไปได้เล่า

ภายในตรอก

กู้เจียวมองไปยังอันจวิ้นอ๋องอย่างหงุดหงิด “เจ้าจงใจรึ แถมเจ้ายังเลียนแบบการเดินของเขาอีกด้วย!”

อันจวิ้นอ๋องหลุดหัวเราะ “อืม ใช่ ข้าจงใจ”

ชั่วขณะที่โดนคว้าไว้เขาก็รู้แล้วว่านางคว้าผิดคน เพราะนางไม่ได้เดินเร็วเกินไปอะไรนัก ทว่านางกลับขวางฝูงชนล้นหลามให้เขาอย่างระมัดระวัง นางพุ่งนำหน้าไปบังให้เขา

หากแต่เขากลับไม่ได้เรียกนางไว้ และยังหลอกนางอีกด้วย

เดิมทีคิดจะเดินไปให้ไกลกว่านี้หน่อยค่อยเปิดเผยตัว ทว่าเขาทนไม่ไหวจริงๆ

ใบหน้าน้อยๆ ของกู้เจียวทะมึนยิ่ง

อันจวิ้นอ๋องเอ่ย “ข้าเป็นคนไข้ของเจ้านะ เจ้าเป็นหมอของข้า เจ้าตีข้าไม่ได้นะ”

กู้เจียวกำหมัดแน่น ข่มอารมณ์โทสะของตัวเองเอาไว้ นางไม่สนใจเขา แล้วหันหลังเดินหนีไป!

อันจวิ้นอ๋องสาวเท้าตามไป

ขบวนนางโลมเดินผ่านพ้นไปแล้ว ท้องถนนกลับมาเงียบงันลงอีกครั้ง

จากนั้นทั้งคู่ก็ปรากฏตัวขึ้นตามๆ กัน

จวงเย่ว์ซียกชายกระโปรงวิ่งไปหาอย่างอดรนทนไม่ไหว ก่อนจะเกาะแขนเขาแล้วเอ่ย “ท่านพี่! เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ”

“ไม่มีอะไรหรอก ขึ้นรถเถอะ” อันจวิ้นอ๋องเอ่ยกับนาง

“แต่ว่า…”

จวงเย่ว์ซีอยากจะถามตอนนี้ให้กระจ่างแจ้ง ทว่าอันจวิ้นอ๋องกลับยกมือขึ้นลูบผมนางเบาๆ

ดวงใจจวงเย่ว์ซีพลันอ่อนยวบ นางจับมือพี่ชายขึ้นรถม้าทันที

ก่อนจะไปอันจวิ้นอ๋องยิ้มมองกู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังแวบหนึ่ง “แม่นางกู้ ไว้เจอกันใหม่นะ”

กู้เจียว “…”

เซียวลิ่วหลัง “…”

รถม้าเคลื่อนไปไกลแล้ว มุมถนนอันว่างเปล่าเหลือเพียงเซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวและบรรยากาศอันกระอักกระอ่วน

กู้เจียวครุ่นคิดแล้วเอ่ย “ถ้าข้าบอกว่าข้าจับมือผิดคน เจ้าจะเชื่อหรือไม่”

เซียวลิ่วหลัง “เหอะ เหอะ”

สามีเจ้าโกรธมาก โกรธจนง้อไม่หายเลยด้วย!

ระหว่างทางกลับบ้าน ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาสักคำ

กู้เจียวกำลังง่วนอยู่กับการทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเองในใจ นางคว้าผิดตัวไป กลัวว่าสามีจะรอนางนานท่ามกลางสายลมหนาวถึงเพียงนี้

เซียวลิ่วหลังกำลังหงุดหงิด ยิ่งนางไม่พูด เขาก็ยิ่งโมโห

เขาเองก็อธิบายไม่ถูกเช่นกันว่ากำลังโมโหอะไร!

ในที่สุดยามที่ก้าวข้ามธรณีประตูมา เขาจึงส่งเสียงออกมา “เขาบอกว่าเจอกันใหม่หมายความว่าอย่างไร”

กู้เจียวส่งเสียงอ๋อเอ่ยตอบ “เขาเป็นคนไข้ในโรงหมอ อีกไม่กี่วันก็ต้องมาตรวจแล้ว”

นึกไม่ถึงว่ายังจะมีความสัมพันธ์ของหมอกับผู้ป่วยอีกด้วย!

เซียวลิ่วหลังกำหมัดแน่น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนปกติ “เขาป่วยเป็นอะไร”

กู้เจียวเอ่ย “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคนป่วย ข้าบอกเจ้าไม่ได้”

ดียิ่งนัก พวกนางมีความลับเล็กๆ ระหว่างกัน

“เจียวเจียว~”

เสี่ยวจิ้งคงชะโงกศีรษะน้อยออกมาจากช่องประตูห้องฝั่งตะวันตก

เพียงไม่นานกู้เจียวก็ไม่มีเวลามาให้เซียวลิ่วหลังซักถามเรื่องอันจวิ้นอ๋องแล้ว ยามนี้นึกไม่ถึงว่าเสี่ยวจิ้งคงจะยังไม่นอน แค่มองก็มุดตัวออกมาจากผ้าห่ม

กู้เจียวเดินไปหา นางอุ้มเจ้าเด็กน้อยขึ้นมา แล้ววางขนมเกลียวกรอบไว้บนโต๊ะ มือขาวกำเท้าเล็กเย็นเฉียบของเขาเอาไว้ แล้วยัดตัวเข้าไปในผ้าห่ม “เหตุใดจึงยังไม่นอนอีกเล่า”

เสี่ยวจิ้งคงถูกห่อไว้แน่นหนา นิ่งงันเหมือนลูกหนอนไหมแสนเชื่อง “รอเจียวเจียว”

กู้เจียวเอ่ยตอบ “ซื้อถังหูลู่ไม่ทัน มีแค่ขนมเกลียวกรอบ จะลองชิมดูสักอันหรือไม่”

“อื้ม!” เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

กู้เจียวถือขนมเกลียวกรอบป้อนเขา เขากินเสียจนน้ำมันเต็มปาก พออกพอใจจนตาหยี

“เอาอีก” เขาบอก

“กินอีกไม่ได้แล้ว” กู้เจียวเทน้ำร้อนให้เขาบ้วนปาก “นอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยกิน”

เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย เพียงไม่นานก็หลับตาเข้าสู่นิทรากรนคร่อกไปแล้ว

หลังจากเซียวลิ่วหลังอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็มานอนข้างเจ้าเด็กน้อยทว่าเขากลับพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ

กว่าจะหลับก็นานพอดู แต่ก็ดันมาฝันอีก

ในฝันเขากำลังขี่ม้าชมดอกไม้ ภาพนั้นลืนลางไม่ชัดเจน กว่าเขาจะลืมตาขึ้นจากพันธนาการอันมหาศาลนั้นได้ก็พบว่าตัวเองกลับมาที่จวนแล้ว

เขานอนอยู่บนเตียงที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า เบื้องหน้าเป็นภาพที่ทั้งแปลกตาและคุ้นชิน

ภายในห้องมีบ่าวยืนคอยรับใช้อยู่ ทว่าไม่ได้พบกันมานานมาก เขาจึงจำชื่อพวกเขาไม่ได้แล้ว

องค์หญิงซิ่นหยางในชุดคลุมสีเหลืองอ่อนตลอดร่าง เดินมาหาด้วยสีหน้าอ่อนโยน “อาเหิง เจ้าฟื้นแล้ว!”

เขามององค์หญิงซิ่นหยางตกตะลึง องค์หญิงซิ่นหยางนั่งลงบนเตียงเขา แล้วยกมือลูบหน้าผากเขาพลางเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “เป็นอะไรไปรึ เหตุใดจึงมองแม่เช่นนี้เล่า เจ้าจำแม่ไม่ได้หรือ”

นางร้อนใจดั่งไฟเผา รีบตะโกนไปนอกประตูว่า “หมอหลวง! รีบตามหมอหลวงมาที!”

หมอหลวงมาแล้ว ก่อนจะจับชีพจรให้เขา แล้วตรวจร่างกายอีกหน แล้วเอ่ยกับองค์หญิงซิ่นหยาง “ทูลฝ่าบาท ท่านโหวน้อยไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ น่าจะเสียขวัญจึงได้เป็นเช่นนี้”

ในแววตาขององค์หญิงซิ่นหยางมีแต่ความกังวล “อาเหิง อาเหิงไม่เป็นไรกระมัง เจ้าอย่าทำข้าตกใจสิ บอกแล้วว่าเจ้าอย่าไปสอบเคอจวี่เป็นขุนนางในวัง สอบเคอจวี่มันมีอะไรดีกัน หากเจ้าอยากเป็นขุนนางแม่ช่วยเจ้าได้ เจ้าไม่ต้องสอบเลย!”

“สอบระดับเตี้ยนซื่ออย่างนั้นรึ” เขามองคนทั้งห้องอย่างตกตะลึง “สอบระดับเตี้ยนซื่อผ่านไปแล้วหรือ”

องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “ผ่านไปแล้วน่ะสิ เจ้าทะเลาะกับคนอื่นในการสอบเตี้ยนซื่อ ไม่ทันระวังจึงล้ม สลบอยู่หลายวันเชียว”

ไม่มีอัคคีภัยเมื่อสี่ปีก่อน เขาโตมาจนถึงตอนนี้อย่างปลอดภัย

“เจียวเจียวเล่า” เขาถาม

“เจียวเจียวเป็นใครรึ” องค์หญิงซิ่นหยางถาม “เจ้าแต่งงานกับหลินหลังแล้วนะ เจ้าอย่าไปถูกใจสตรีอื่นอีกเชียว หลินหลังจะเสียใจเอา”

“เจียวเจียว” เขาเลิกผ้าห่มขึ้นก่อนลงจากเตียง

“ขาข้า…” เขามองขาทั้งสองข้างของตัวเองอย่างเหลือเชื่อ เขาเดินได้ ไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรเลย

จริงสิ ไม่มีอัคคีภัยย่อมไม่ได้เร่ร่อนไปในหมู่บ้านนั้น และไม่ได้รับบาดเจ็บ

องค์หญิงซิ่นหยางร้อง “เจ้าคลุมเสื้อสักตัวสิ ข้างนอกหนาวนะ!”

เขาไปที่ตรอกปี้สุ่ยอย่างรวดเร็ว แล้วมาที่บ้านของเขากับกู้เจียว ทว่าเขาผลักประตูเรือนออกอย่างแรง ด้านในกลับว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย

จิตใจเขาพลันหนักอึ้ง

เขาไปเคาะประตูเรือนของจี้จิ่วอาวุโส

ทว่าคนที่มาเปิดประตูกลับไม่ใช่จี้จิ่วอาวุโส แต่เป็นบุรุษแปลกหน้าคนหนึ่ง

เขาไปบ้านท่านปู่จ้าวต่อ “ท่านปู่จ้าว ข้าเอง ลิ่วหลัง!”

ท่านปู่จ้าวกับอาซ้อจ้าวมองเขาอย่างฉงน “เจ้าเป็นใครน่ะ”

เขาไปบ้านข้างๆ ของบ้านข้างๆ ต่อ “ท่านป้าจาง ข้าเอง! ข้าลิ่วหลังเอง!”

ท่านป้าจางสีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง

เขาไม่เคยมาที่นี่เลย ไม่มีใครรรู้จักเขา

เขารู้สึกชาหนึบไปทั้งร่าง

เขานึกถึงโรงหมอขึ้นมา จึงรีบรุดไปราวกับไฟรน

เมี่ยวโส่วถังยังอยู่ แต่คนของเมี่ยวโส่วถังก็ล้วนแต่ไม่รู้จักเขาเช่นกัน

ในที่สุดเขาก็พบกับเงาร่างเล็กอันคุ้นเคยในห้องโถงใหญ่

เขารีบสาวเท้าไปหานาง กำลังจะเอ่ยเรียกนางว่าเจียวเจียว นางกลับใช้สายตาไม่รู้จักมองเขา แล้วเอ่ยกับหมอด้านข้างว่า “คนไข้มาแล้ว เจ้ารับหน่อย”

นางเดินผ่านหน้าเขาไป และไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่ครั้งเดียว

จู่ๆ ความรู้สึกอึดอัดใจอย่างยากจะอธิบายก็พลุ่งพล่านขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจเขา เหมือนมีบางอย่างทิ่มแทงดวงใจเขาไว้

ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี เขาพลันสะดุ้งตื่นทั้งอย่างนั้น