บทที่ 219 ปู่ (2)
จากนั้นเซียวลิ่วหลังจึงพบว่าเป็นเพียงแค่ความฝัน

เขาไม่ได้กลับไปที่จวน เขายังอยู่ในบ้านที่อยู่ที่ในตรอกปี้สุ่ย ข้างกายมีเสี่ยวจิ้งคงที่นอนกรนคร่อกอยู่ซ้ำยังนอนกางแข้งกางขา แถมขาข้างหนึ่งก็ยังมาพาดอยู่บนอกเขาด้วย

มิน่า เขาจึงรู้สึกอึดอัดในฝันถึงเพียงนั้น เพราะโดนเจ้าหนูนี่ใช้เท้ามาทับไว้นี่เอง

เซียวลิ่วหลังยกเท้าน้อยๆ ของเจ้าหนูน้อยออก

ค่อนคืนหลังเขาก็ไม่หลับอีกเลย

พอได้หลับตาลงความรู้สึกทิ่มแทงใจที่กู้เจียวไม่รู้จักเขาก็ถาโถมขึ้นมา

ความรู้สึกนี้ทั้งแปลกหน้าและควบคุมไม่ได้ อยากจะกดมันลงไปก็ไม่ได้

วันรุ่งขึ้น พอกู้เจียวตื่นแต่เช้ามา เซียวลิ่วหลังก็ไม่อยู่แล้ว

เสี่ยวจิ้งคงนอนหลับฝันหวาน ไม่รู้เลยว่าพี่เขยนิสัยไม่ดีทิ้งไปตอนไหน

หลิวเฉวียนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากทางนี้จึงมาเคาะประตูเรือน “เจียวเหนียง ข้าเอง”

กู้เจียวเปิดประตูให้เขา “ลุงหลิว มาแต่เช้านัก”

หลิวเฉวียนยิ้มเอ่ย “ลิ่วหลังมาหาข้า บอกว่าเขามีธุระต้องออกไปก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะไปส่งพวกกู้เหยี่ยนไปเรียนเอง มื้อเช้าข้าทำเสร็จแล้วเช่นกัน จะเอาไปเดี๋ยวนี้เลย”

อ๋อ เขาไปแล้ว แต่กลับจัดการเรื่องในบ้านเสียเรียบร้อยเชียว

กู้เจียวไม่ได้คิดอะไรมาก “ขอบคุณมาก”

อันที่จริงนางไปส่งก็ได้ แต่หลิวเฉวียนขับรถม้าเป็น เจ้าเด็กผู้ชายสามคนนั่งรถม้าไปเรียนได้

หลังจากพวกเขาไปเรียน กู้เจียวก็ไปโรงหมอ

วันนี้มีผู้บาดเจ็บสาหัสอีกสองรายได้ออกโรงหมอ เป็นวันที่น่ายินดียิ่ง

พอเช้ามาไม่ได้เจอเซียวลิ่วหลัง ก็เอาแต่รู้สึกว่าเหมือนขาดอะไรไป

ทว่าทางอีกด้านหนึ่ง ท่านโหวกู้ก็จะออกบ้านเช่นกัน

ตั้งแต่แม่นางเหยาไปตรอกปี้สุ่ยก็ไม่ยอมย้ายกลับมาอีกเลย มีกู้เจียวขวางไว้เขาจะสู้ก็ไม่ได้ จะแย่งก็แย่งไม่ชนะ เมื่อก่อนยังเรียกได้ว่าแม่นางเหยาเชื่อฟังเขาบ้าง แต่ตั้งแต่มีกู้เจียวเขาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกลดตำแหน่งในสายตาและหัวใจของแม่นางเหยาแล้ว

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การ

เขาต้องไปหาแม่นางเหยาเพียงลำพัง

เขาต้องกะเวลาที่กู้เจียวไปโรงหมอให้แม่นยำ แต่เวลานี้เขาก็ต้องไปศาลาว่าการเช่นกัน

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจโดดงาน!

หากไม่นับเรื่องความสามารถในการทำงานของเขา เขาเองก็นับว่าเป็นขุนนางที่ทุ่มเทคนหนึ่ง ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดดงานในชีวิตการเป็นขุนนาง

แต่เพื่อภรรยา เขาทำได้!

เขาถือโอกาสทบทวนใคร่ครวญครู่ใหญ่ หลังจากรับแม่นางเหยากลับมาแล้วเขาจะได้ไปเยี่ยมกู้จิ่นอวี๋ที่กรมอาญาด้วย

กู้จิ่นถูกขังไว้เนิ่นนานเพียงนี้แล้ว คงจะลำบากไม่น้อยแน่

เขาออกเดินทางด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม ทว่าเพิ่งจะออกประตูจวนมาก็พลันชะงักไป

ชายชราสวมเสื้อผ้าเนื้อธรรมดายืนอยู่หน้าประตู รูปร่างกำยำและสูงใหญ่กว่าเขา ผมเผ้าหงอกขาวสีเงิน ทว่าดูมีชีวิตชีวาและกำลังวังชามาก

ห่อผ้าในมือท่านโหวกู้ร่วงหล่นลงพื้น นี่เป็นของขวัญที่เขาเตรียมให้แม่นางเหยา

“ทะทะทะท่านพ่อ ท่านกลับมาได้อย่างไร”

จากตื่นเต้นเขากลายเป็นอ้ำอึ้งขึ้นมาทันที

ท่านเหล่าโหวกวาดสายตาไปมองบนใบหน้าท่านโหวกู้ “เวลานี้ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องไปศาลาว่าการรึ”

วันนี้ไม่ต้องประชุมเช้า แต่ศาลาว่าการไม่ได้หยุดทำการ

ท่านโหวกู้เหงื่อเย็นแตกพลั่กๆ “ขะ…ข้ากำลังจะไปขอรับ”

ท่านเหล่าโหวมองเครื่องประดับเพชรนิลจินดาที่โผล่ออกมาบนพื้นแวบหนึ่ง “เอาของพวกนี้ไปด้วยน่ะรึ”

ท่านโหวกู้ที่ติดอ่างในตอนแรก ยามนี้กลายเป็นใบ้ไปแล้ว

เขาโชคร้ายอะไรเพียงนี้ โดดงานครั้งแรกก็โดนพ่อตัวเองจับได้เสียแล้ว…

ระหว่างทางที่ท่านเหล่าโหวกลับเมืองหลวงได้ยินข่าวลือของจวนติ้งอันโหวมาเป็นกระบุงโกย กำลังโมโหได้ที่ ท่านโหวกู้ที่ดันมาโดนจับได้ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการตายเลยสักนิด

ท่านโหวกู้ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เขายกแขนขึ้นบังหน้า “หน้าข้าเพิ่งจะหาย!”

ท่านโหวกู้มีครอบครัวแล้ว โดยปกติแล้วท่านเหล่าโหวไม่ตีเขาแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะทนไม่ไหว

“โอ๊ย”

“โอ๊ยยย”

“อ้ากกก”

หนึ่งเค่อต่อมาก็มีเสียงร้องโอดโอยเสียงดังของเขาดังลอยมาจากในเรือนท่านโหวกู้

หวงจงที่อยู่ไม่ไกลยกมือปิดหน้าอย่างจนใจ “…”

เฮ้อ

ทนดูต่อไม่ได้แล้ว

กู้ฉังชิงที่อยู่ในค่ายทหารรู้ข่าวว่าท่านปู่กลับมาที่จวนก็รีบกลับไปที่จวนทันที

ในขณะเดียวกัน กู้เฉิงเฟิงที่อยู่ในสำนักบัณฑิตชิงเหอก็ได้ยินบ่าวรับใช้รายงานเช่นกัน “อะไรนะ ท่านปู่ข้ากลับมาแล้วรึ”

บ่าวรับใช้เอ่ยด้วยตัวสั่นงันงก “ใช่ขอรับ ท่านชายรอง ท่านเลิกเรียนแล้วอย่าได้เตร็ดเตร่ไปไหนนะขอรับ ต้องพาคุณชายสามกลับมาที่จวนนะขอรับ!”

พากู้เฉิงหลินกลับจวนอย่างนั้นรึ งานยากเสียแล้ว

ท่าทีของกู้เฉิงหลินหมู่นี้ยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากกู้เฉิงเฟิงเห็นการผ่าตัดที่มีเลือดสดๆ กับตาตัวเองแล้วก็กินเนื้อไม่ได้อีกเลย เขามักจะเยาะเย้ยตัวเองว่าเดี๋ยวได้เป็นพระแน่ ผลสุดท้ายมีอยู่วันหนึ่ง ที่เรือนก็มีเณรน้อยมาหาจริงๆ

เป็นเสี่ยวจิ้งคงนั่นแหละ

กู้เฉิงหลินพักรักษาตัวที่เรือนของกู้เจียว หมู่นี้เสี่ยวจิ้งคงมาอยู่บ่อยๆ จึงยากจะเลี่ยงที่จะเจอเขาได้

เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้จักกู้เฉิงเฟิงและไม่รู้เรื่องบุญคุณและความสัมพันธ์ของเขากับกู้เจียว เขาคิดว่ากู้เฉิงหลินเป็นแค่คนไข้ธรรมดาเท่านั้น

เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กมีน้ำใจ เขาเห็นกู้เฉิงหลินหงอยเหงาเศร้าสร้อย อารมณ์แปรปรวน ก็จะท่องพระสูตรให้ฟัง “เมื่อก่อนตอนที่ข้าอารมณ์ไม่ดี อาจารย์ก็จะสวดมนต์ให้ข้าฟัง พออ่านจบข้าก็อารมณ์ดีแล้ว!”

กู้เฉิงหลินเอาแต่เหม่อลอย ไม่สนใจเขา

เสี่ยวจิ้งคงทึกทักเอาเองว่าเขาเห็นด้วย

เขาตั้งอกตั้งใจรื้อเอาจีวรเณรน้อยและปลาไม้น้อยของเขาออกมาอย่างเต็มที่ สวมลูกประคำและหมวกพระ นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น ก่อนจะเริ่มสวดมนต์ให้กู้เฉิงหลิน

กู้เฉิงหลินยังไม่หลุดจากภวังค์ แต่ฟังไปฟังมานึกไม่ถึงว่าจะนั่งตัวตรงขึ้นมา มีน้ำตาใสไหลจากดวงตาเขา ทว่าในใจเขากลับสงบลงได้

“พระโพธิสัตว์…สามารถช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์ได้จริงๆ รึ” เขาถามอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ

เสี่ยวจิ้งคงตอบอย่างจริงจัง “แน่นอนสิ! อาจารย์เขาบอกมาแบบนี้เลย!”

กู้เฉิงหลินลุกพรวดขึ้น แล้วค้อมกายให้เสี่ยวจิ้งคงอย่างเคารพนบนอบ “ข้าจะออกบวช ขออาจารย์น้อยปลงผมให้ข้าที”

เสี่ยวจิ้งคง “อ๋อ”

เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึกๆ ออกไปหามีดโกนที่ใช้โกนขนขาให้คนไข้มาด้ามหนึ่ง ก่อนจะเริ่มปลงผมให้กู้เฉิงหลิน

เขาไล่โกนจากซ้ายไปขวา ทางซ้ายเกลี้ยงแล้ว กำลังจะไปโกนทางขวา กู้เฉิงเฟิงก็โผล่พรวดเข้ามา

เขาเห็นภาพกู้เฉิงเฟิงเข้าก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา “พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ!”

เสี่ยวจิ้งคงหันมามองกู้เฉิงหลิน ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าใสซื่อ “ข้ากำลังปลงผมให้เขาน่ะสิ เขาจะออกบวช”

กู้เฉิงเฟิง “…!!!”

เขาเพิ่งจะกี่ขวบเอง ปลงผมให้คนอื่นได้แล้วรึ พวกเจ้านี่มันจริงๆ เลย คนหนึ่งก็กล้าเอียงหัวให้ อีกคนก็กล้าโกนหัวให้!

กู้เฉิงเฟิงทั้งเจ็บปวดใจทั้งทิ่มแทงใจพลางเอ่ย “ท่านปู่กลับมาแล้ว ให้เจ้ารีบกลับจวน!”

กู้เฉิงหลินพนมมือประกบกันไหว้แบบพุทธ “ข้าออกบวชแล้ว ไม่ใช่ท่านชายจวนโหวอะไรอีกแล้ว และไม่รู้จักท่านปู่ของโยมแล้ว เรื่องในโลกโลกีย์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า…ผมนี่ต่อกลับไปได้หรือไม่ ฮือ”

กู้เฉิงหลินกลับจวนโหวด้วยกึ่งๆ หัวล้านข้างหนึ่ง อีกข้างผมยาวเฟื้อย

เมื่อเห็นสภาพที่ยากจะอธิบายของกู้เฉิงหลินแล้ว ท่านเหล่าโหวที่ไม่เคยสะทกสะท้านแม้ฟ้าถล่มดินทลายก็พลันพ่นน้ำชาพรวดออกมาทันที!