บทที่ 220 ลงโทษโหวชั่ว
ท่านเหล่าโหวยังคงไม่รู้ว่าแม่นางเหยาและลูกๆ กลับมาที่เมืองหลวงแล้ว เขานึกว่าพวกนางยังอยู่ที่หมู่บ้านเวินเฉวียนซานอยู่ จึงไม่ได้ให้ใครส่งข่าวให้พวกนาง
จากนั้นเขาก็เริ่มไต่สวนลูกชายกับหลานชายทั้งสามคน “ข่าวลือในเมืองหลวงพวกนั้นมันเรื่องอะไรกันแน่”
ตอนที่ไม่ถามก็ไม่รู้ พอถามแล้วก็ตกใจมากทีเดียว นึกไม่ถึงว่าหลายปีที่เขาไม่อยู่ที่เมืองหลวง จวนโหวจะเกิดเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้
เรื่องน่าตกใจเรื่องแรกคือตัวตนที่แท้จริงของกู้จิ่นอวี๋ นี่ก็น่าว้าวุ่นใจพอแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กที่อุ้มผิดมา
จากนั้นก็เป็นเรื่องของอนุหลิง
นี่เป็นคำอธิบายถึงสาเหตุที่กู้เฉิงหลินทำตัวน่าระอาเช่นนี้
อนุหลิงถูกเหล่าฮูหยินกู้จัดการแล้ว นางเป็นตายร้ายดีอย่างไรท่านเหล่าโหวไม่ได้ถาม เขาไม่มีเวลาว่างไปสนใจอนุแค่คนหนึ่ง
ส่วนหลานสาวที่แท้จริงคนนั้นไม่ยอมกลับจวน เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเช่นกัน
เด็กสาวคนนี้ไม่มีอะไรต้องให้ความสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ออกเรือนแล้ว ลูกสาวที่ออกเรือนแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป นางไม่ใช่คนของจวนโหวแล้ว
เรื่องที่กู้เฉิงหลินรังแกกู้เหยี่ยนผลสุดท้ายถูกกู้เจียวชกเรื่องนี้ สี่คนพ่อลูกต่างไม่ได้พูดถึงราวกับรู้ใจกัน
พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ซ้ำคนที่โดนต่อยก็เป็นพวกเขา
กู้เหยี่ยนร่างกายอ่อนแอ พอโดนโบยก็ตายแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำผิดอะไรก็ไม่เคยโดนโบยเลย
นอกจากนี้ก็ไม่ได้คาดหวังให้สตรีของจวนโหวมาอุ้มชูจวนโหว ตั้งแต่เด็กจนโตไม่ว่ากู้จิ่นอวี๋จะก่อเรื่องหรือไม่ ท่านเหล่าโหวก็ไม่เคยแตะต้องนางเลยแม้แต่ปลายเล็บ
ดังนั้นกู้เจียวก็ไม่ควรโดนโบยเช่นกัน
แต่แม้ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่จวนโหวก็วุ่นวายจนโกลาหลไปหมดแล้ว ที่โดดงานก็โดดงาน ที่ย้ายออกจากจวนก็ย้าย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ ต้องโดนลงโทษทั้งหมด!
ท่านโหวกู้โดนชกไปเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ต้องโดนอีกสักรอบ
ท่านโหวกู้ “…!!!”
ท่านยังเป็นพ่อข้าอยู่หรือไม่
ท่านเหล่าโหวมองไปยังกู้ฉังชิง “ในฐานะที่เจ้าเป็นพี่ใหญ่ ไม่ได้ดูแลควบคุมน้องชายสองคนให้ดี ควรลงโทษหรือไม่”
กู้ฉังชิงก้มหน้า “สมควรขอรับ”
ท่านเหล่าโหวเห็นความซับซ้อนในแววตาเขา จึงเอ่ยเสียงเข้ม “ดี หนึ่งร้อยแส้ทหาร”
กู้เฉิงเฟิงโดนโบยห้าสิบแส้ทหาร กู้เฉิงหลินก็เช่นกัน
กู้ฉังชิงเอ่ย “น้องสามบาดเจ็บหนักเพิ่งจะพักรักษาตัว โดนโบยไม่ได้ ข้าจะรับโทษแทนเขาเอง”
กู้เฉิงเฟิงรีบเอ่ย “ข้าก็รับโทษแทนน้องสามได้เช่นกัน!”
“ได้ เพิ่มไปคนละยี่สิบไม้” ท่านเหล่าโหวเอ่ยเสียงเย็นชาจบลงก็มองไปยังกู้เฉิงหลินที่มีผมยาวอยู่เพียงครึ่งหัว “อีกสิบแส้ที่เหลือ หากทนไหวก็แล้วไป หากทนไม่ไหวข้าจะคิดเสียว่าไม่มีหลานชายอย่างเจ้า!”
ท่านเหล่าโหวยังคงโหดเหี้ยมนัก!
ตอนที่กู้ฉิงชิงสั่งสอนน้องชายทั้งสองนั้น เหล่าฮูหยินกู้ยังไปร้องห่มร้องไห้โวยวายขู่ว่าจะแขวนคอตายด้วยซ้ำ แต่เมื่อท่านเหล่าโหวออกคำสั่งทันที แส้ก็ฟาดลงบนร่างลูกชายกับหลานชาย จนเหล่าฮูหยินกู้ไม่กล้าเอ่ยแม้สักคำ
ท่านโหวกู้ถูกฟาดจนไม่มีที่ให้ฟาดแล้ว
“พอแล้ว” ท่านเหล่าโหวเอ่ย “ไม่ต้องตีแล้ว ยังต้องเข้าวังไปขออภัยโทษอีก”
ท่านโหวกู้ที่เกิดมาพ่อก็ไม่รัก “…”
ท่านเป็นพ่อแท้ๆ ของข้าจริงๆ รึ!
ท่านเหล่าโหวพาลูกชายเข้าวังไปขออภัยโทษกับฮ่องเต้
ท่านเหล่าโหวคุกเข่าคำนับให้ แล้วประสานมือเอ่ย “สั่งสอนเลี้ยงลูกได้ไม่ดีเป็นความผิดของบิดา เด็กสาวคนนั้นก่อเรื่องใหญ่โตให้บ้านเมือง ล้วนเป็นเพราะลูกชายอกตัญญูผู้นี้ตามใจ กระหม่อมพาลูกชายอกตัญญูมาแล้วจะขอให้ฝ่าบาทลงโทษพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้มองใบหน้าบวมช้ำสภาพอนาถจนทนมองไม่ได้ของท่านโหวกู้
โดนชกเสียขนาดนี้แล้ว ไม่มีที่เหลือให้พระองค์ลงมือแล้วล่ะ
ฮ่องเต้กระแอมพลางโบกหัตถ์ “ช่างเถิด เรื่องนี้ท่านโหวกู้ไม่ได้ผิด เด็กคนนั้นก็แค่ไม่รู้ความ เพราะยังเด็ก ภายหน้าก็สั่งสอนดูแลให้มากหน่อยก็พอ”
สาเหตุที่กู้จิ่นอวี๋โดนลงโทษ ทางการบอกว่ายังคงเป็นการทำตราราชลัญจกรหยกแตก ผนวกกับโทษหลอกลวงกษัตริย์
ส่วนหลอกลวงกษัตริย์เรื่องเครื่องสูบลมหรือเรื่องปูนข้าวเหนียว ทางการไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งได้ผลลัพธ์อย่างการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวได้ง่าย ยามนี้ต่อให้ไม่มีหลักฐานของเครื่องสูบลม ในหมู่ชาวบ้านก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อยแล้วว่ากู้จิ่นอวี๋แอบอ้างเอาคุณูปการของคนอื่นมา
จะว่าไปแล้วอุบัติเหตุครานี้คนที่รับผิดชอบหลักไม่ใช่กู้จิ่นอวี๋ แม้ว่านางจะให้ภาพร่างที่ปรับปรุงแล้วมา แต่จะใช้หรือไม่นั้นกลับขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกรมโยธา
ผู้ตรวจของกรมโยธาพบว่าการแก้ไขของนางมีปัญหาตั้งแต่แรก ทว่าเขาไม่เพียงไม่ห้ามเท่านั้น ยังข้ามขั้นตอนทดลองใช้ที่ยามปกติควรมีไป ซ้ำยังจ้างคนงานผิดกฎหมายจำนวนมากมาทำงานอีก
ทว่าท่านโหวกู้ไม่อาจเอ่ยแก้ต่างให้กู้จิ่นอวี๋ให้พ้นโทษได้ เขาแสดงออกว่าความเสียหายทั้งหมดจะมีจวนติ้งอันโหวรับผิดชอบ อีกทั้งเขายังขอร้องให้ฮ่องเต้ถอดถอนตำแหน่งท่านหญิงระดับอำเภอของกู้จิ่นอวี๋ออกด้วย
ฮ่องเต้สะทกสะท้อนใจแล้วตรัส “เฮ้อ ท่านเหล่าโหวจะทำให้ลำบากไปไย เราถอดถอนตำแหน่งท่านหญิงของนางแล้ว เหลือท่านหญิงชั้นที่สองไว้ให้นางเถิด”
“ขอฝ่าบาทโปรดทรงยกเลิกที่ตรัสด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ท่านเหล่าโหวยังคงยืนกรานคำเดิม
ท่าทางของฮ่องเต้คือ ‘ในเมื่อเจ้ายืนกรานเพียงนี้ เช่นนั้นข้าจะไม่ไว้หน้าให้ก็คงไม่ได้’ จึงออกราชโองการถอดถอนตำแหน่งท่านหญิงชั้นที่สองกู้จิ่นอวี๋
ในที่สุดกู้จิ่นอวี๋ก็ได้ออกจากกรมอาญา ทว่านางก็ไม่ได้มีอารมณ์มามีความสุข
เมื่อครึ่งเดือนก่อนนางยังเป็นท่านหญิงขั้นสองผู้สูงส่ง แต่ยามนี้นางไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
ล้มบนพื้นราบไม่เจ็บหรอก ตกจากที่สูงต่างหากที่เจ็บ
กู้จิ่นอวี๋กลับมาที่จวนโหว นางกลับเรือนไปอาบน้ำร้อนให้สบายตัว ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด จัดภาพลักษณ์ให้ดี แล้วไปห้องบุปผาเพื่อคารวะท่านโหวกู้
นางสะอึกสะอื้นอย่างน้อยอกน้อยใจ ขอบตาแดงก่ำ “ท่านปู่ จิ่นอวี๋ผิดไปแล้ว จิ่นอวี๋ยินดีไปคุกเข่ารับโทษที่ศาลบรรพชนเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก” ท่านเหล่าโหวเอ่ย
กู้จิ่นอวี๋พลันปรีดาขึ้นมา ท่านปู่หักใจให้นางคุกเข่ารับโทษไม่ได้ ท่านปู่ยังคงรักเอ็นดูนางอยู่!
ครู่ต่อมานางก็ได้ยินท่านเหล่าโหวเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “เจ้าไม่ใช่คนตระกูลกู้ ไม่มีสิทธิ์ไปโขกหัวคารวะเหล่าบรรพชนของตระกูลกู้ แล้วก็ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านปู่”
กู้จิ่นอวี๋ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ทันที
ท่านเหล่าโหวเป็นหัวหน้าตระกูลที่เข้มงวดและรุนแรงมาแต่ไหนแต่ไร เขาชกทั้งลูกชายและหลานชายโดยไม่อ่อนข้อให้สักนิด ยกเว้นกู้เหยี่ยนกับกู้จิ่นอวี๋
กู้จิ่นอวี๋คิดมาโดยตลอดว่านั่นเป็นเพราะท่านปู่รักเอ็นดูพวกนางเป็นพิเศษ ทว่ายามนี้นางรู้สึกลึกๆ ว่าท่านปู่อาจจะไม่สนใจพวกนางสองพี่น้องมาตั้งแต่แรกก็ได้
กู้จิ่นอวี๋คิดผิดแล้ว
ท่านเหล่าโหวไม่ได้ไม่สนใจพวกนางสองคนพี่น้อง แต่ไม่สนใจนางคนเดียวต่างหาก
ท่านเหล่าโหวรักเอ็นดูกู้เหยี่ยน มิฉะนั้นแล้วคงไม่มอบองครักษ์ลับให้กู้เหยี่ยนสองนายหรอก ทั้งๆ ที่แม้แต่กู้เฉิงเฟิงกับกู้เฉิงหลินยังไม่ได้เลยแท้ๆ
ท่านเหล่าโหวเป็นคนให้ความสำคัญกับชายมากกว่าหญิงขนานแท้เลย หลานสาวแท้ๆ เขาก็ไม่รัก ดังนั้นคนที่ไม่ใช่หลานแท้ๆ เขายิ่งไม่รัก
เมื่อจัดการเรื่องในจวนเรียบร้อยแล้ว ท่านเหล่าโหวก็เข้าวังอีกครั้ง
ข่าวการกลับเมืองหลวงของท่านเหล่าโหวแพร่ไปทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว แทบจะทุกคนต่างรู้ว่าแม่ทัพอาวุโสผู้ทรงพลังกลับมาแล้ว แต่กลับมาแล้วอย่างไรเล่า อำนาจทางการทหารของเขาส่งมอบคืนไปตั้งนานแล้ว กองทัพตระกูลกู้ก็โดนย้ายไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของคนอื่นไปแล้วด้วย
กู้เจียวไม่สนใจข่าวคราวอะไรมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นางจึงไม่รู้ว่าท่านเหล่าโหวกลับมาแล้ว นางกำลังจัดการยาแก้ปวดที่ทางโรงงานส่งมา
นี่เป็นยาแก้ปวดชุดที่สองที่ค่ายทหารสั่งทำ
นางรีบตรวจสอบสองสามขวดทันที คุณภาพไม่มีปัญหาใด
“วันนี้ข้าว่าง ข้าไปส่งเอง” ถือโอกาสแวะส่งของให้เจ้าน้องเขยของเซวียหนิงเซียงอย่างโจวเอ้อร์จ้วงด้วย
เนื่องจากส่งยาสมุนไพร กู้เจียวจึงต้องเข้าไปในค่ายทหาร
พวกทหารเพิ่งจะฝึกเสร็จ พากันนั่งพักกันอยู่บริเวณที่โล่ง ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อและอาวุธทหาร
กลิ่นที่นางคุ้นเคยเมื่อชาติก่อน
กู้เจียวไม่ได้มองอะไรมาก นางนั่งรถม้ามายังกระโจมของเหล่าหมอ
คนที่มาต้อนรับนางคือหมอแซ่หลู่คนหนึ่ง
เนื่องจากกู้ฉังชิงได้บอกไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว หมอหลู่จึงปฏิบัติต่อกู้เจียวอย่างเกรงอกเกรงใจมาก ทว่าเขาทั้งตื่นเต้นทั้งระมัดระวังเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวอย่าเดินไปไหนเถลไถล รอให้ข้าตรวจยาเสร็จก่อนก็ค่อยกลับไป”
เช้านี้พวกเขาได้รับข่าวว่ามีคนสำคัญจะมาที่ค่าย
บุคคลสำคัญมีฐานะสูงส่ง ถึงขั้นที่เซวียนผิงโหวที่ไม่เคยปรากฏตัวมาครึ่งปีก็ถูกเรียกให้มาที่ค่ายด้วย
เซวียนผิงโหวดูเหมือนเพิ่งตื่นนอน ระหว่างนั่งอยู่บนรถม้ายังไม่หายโมโหดี เขาจึงไม่ยอมลงจากรถม้า “ไอ้แซ่เหลียงนี่ข้าว่าเจ้าไม่อยากทำงานต่อแล้วกระมัง”
แม่ทัพเหลียงยืนอยู่ข้างรถม้า ประสานมือคำนับอย่างเคารพนบนอบ ก่อนยิ้มเอ่ย “ท่านโหวโทษผิดคนแล้วขอรับ ข้าน้อยไหนเลยจะกล้ารบกวนเวลาฝันหวานของท่านโหว แต่ว่า…”
เขาเอ่ยพลางมองไปรอบๆ ก่อนจะก้าวมาหาก้าวหนึ่ง แล้วกระซิบข้างหน้าต่างรถ “จะมีคนจากวังมา แม่ทัพใหญ่กลัวว่าจะเอาไม่อยู่ จึงบอกกับข้าน้อยว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชิญท่านโหวมาให้ได้ ด้านในมีทหารตระกูลกู้ตั้งครึ่งหนึ่งเชียวนะ คนธรรมดาเอาไม่อยู่หรอกขอรับ ต้องเป็นท่านที่ออกหน้า!”
เซวียนผิงโหวเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะต้องออกหน้าเรื่องอะไร”
แม่ทัพเหลียงเปิดม่านขึ้นช้าๆ “ท่านโหวลงจากรถก่อนดีกว่า ในรถอุดอู้นัก ข้าน้อยเตรียมสุราชั้นดีและอาหารเลิศรสให้ท่านเรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวจะยกมาให้ท่านนะขอรับ”
ในรถม้าอุดอู้จริงๆ นั่นแหละ
เซวียนผิงโหวลงจากรถมาด้วยสีหน้าเย็นชา
แม้ว่าหน้าตาจะเย็นชา ทว่าก็ยากจะบดบังความหล่อเหล่าและกลิ่นอายสูงส่งตลอดร่างได้
แม่ทัพเหลียงถามต่อ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกขอรับ แม่ทัพใหญ่ตั้งใจว่า…อีกเดี๋ยวท่านพาพวกทหารฝึกสักหน่อย ทางที่ดีจัดเรียงเป็นทัพหรือแนวรบกระบวนใดก็ว่าไป ยิ่งน่าเกรงขามเท่าใดยิ่งดี! ข้าเรียกทุกคนมาหมดแล้ว!”
“จะเรียงแนวรบใหญ่โตไปเพื่ออะไร ฝ่าบาทก็ไม่เข้าใจเสียหน่อย” เซวียนผิงโหวสะบัดแขนเสื้อ ก่อนเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “แถมยังเป็นหมันนกเขาไม่ขันอีก”
ฮ่องเต้กับท่านเหล่าโหวเพิ่งลงจากรถม้ามาก็ได้ยินประโยคโอหังเช่นนี้เข้า
ท่านเหล่าโหว “…”
ฮ่องเต้ “…”