นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 108 ทำขนมหัวไชเท้า
“สวีฉางหลินน่าเวทนา แล้วข้าไม่น่าเวทนาหรือ?”
โจวกุ้ยหลานอดทอดถอนใจไม่ได้ ชาติที่แล้วพ่อของนางเสียชีวิตในตอนที่นางอายุหกขวบ แม่ของนางอยู่ครองตัวสองปีก็แต่งงานใหม่ ย่าของนางทำเรือกสวนไร่นาเลี้ยงนางจนเติบใหญ่ นางจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอย่างลำบากด้วยทุนการศึกษาและเงินกู้ช่วยเหลือการศึกษา ไม่ง่ายที่นางเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ย่ายังไม่ทันได้สุขสบายก็จากไปเสียแล้ว
เมื่อนึกถึงอดีตชาติ อารมณ์ขมขื่นในใจก็พัดมาระลอกหนึ่ง
นางสูดลมหายใจเข้าลึก หยิบเห็ดหอมแห้ง กุ้งแห้ง หอยแห้งแยกแช่น้ำไว้ จากนั้นก็นำไชเท้าหั่นเต๋ามาซอยเป็นเส้น
ขั้นตอนนี้ใช้เวลานานมาก นางค่อยๆ ซอยทีละนิด ทำอยู่เนิ่นนาน
ถัดมาก็หยิบกุนเชียงมาหั่นเป็นแผ่นเล็กๆ หยิบเนื้อแห้งหมักแดดเดียวมาทำอย่างเดียวกัน
เมื่อทำเสร็จ นางแค่รอให้ของที่แช่น้ำอยู่อิ่มตัว
ช่วงนี้ นางหยิบกะละมังออกไปบีบนมแพะ กลับมาก็เอามาต้มในหม้อสิบนาที ระหว่างนี้นางหยิบไข่ไก่แปดฟอง แยกไข่ขาวกับไข่แดงออก วางไข่แดงพักไว้ ใส่น้ำตาลลงในไข่ขาวพอประมาณ พอต้มนมแพะเสร็จก็แบ่งออกมาสองชามไว้ข้างๆ
ตีไข่แดงสามฟองเมื่อครู่มาใส่น้ำแล้วกวน เหยาะเกลือนิดหนึ่ง ใช้จานครอบไว้แล้วเอาไปนึ่งในหม้อ นางเติมฟืนลงในเตา นึ่งหลายชั่วครู่ เมื่อเห็นไอน้ำก็คำนวณเวลาว่าได้ที่แล้ว นางเปิดฝาออก หยิบไข่แดงที่นึ่งออกมา หยิบช้อนน้ำแกงหนึ่งคันแล้วเดินไปทางห้องโถง
เพิ่งเดินเข้าไปก็เห็นเหล่าไท่ไท่กำลังตัดผ้าอยู่
โจวกุ้ยหลานยกถ้วยเดินไปแล้วยื่นให้เหล่าไท่ไท่ “ท่านแม่ ท่านแม่กินอะไรก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยทำต่อ”
เหล่าไท่ไท่โบกมือ “กินข้าวอิ่มแล้ว ตอนนี้จะกินอะไรล่ะ?”
“นี่ก็ไม่ใช่ข้าว แต่ข้าใช้ไข่แดงที่เหลือนึ่งเป็นไข่ตุ๋นให้ท่านแม่” โจวกุ้ยหลานเอ่ย จากนั้นก็ดึงมือของเหล่าไท่ไท่ ยัดไข่ตุ๋นไว้ในมือนาง
“ทำไมไม่เอาไข่ไปขายเล่า? เอามาให้ข้ากินทำไม!” เหล่าไท่ไท่เอ่ยพลางจะยัดไข่ตุ๋นไว้ในมือโจวกุ้ยหลาน
“ถ้าท่านแม่ไม่กินข้าจะเอาไปให้ไก่กิน!” โจวกุ้ยหลานกล่าว จากนั้นก็ยกถ้วยทำทีจะเดินออกไปข้างนอก
เหล่าไท่ไท่ที่อยู่ด้านข้างตกใจผุดลุกขึ้นยืน “ไอ้หยาเจ้าเด็กนี่ มีที่ไหนเขาสิ้นเปลืองอาหารอย่างนี้กัน? ข้ากิน! ข้ากิน!”
เมื่อนั้นโจวกุ้ยหลานจึงหันกลับมา ยัดถ้วยใบนั้นใส่มือเหล่าไท่ไท่ เหล่าไท่ไท่รับไข่ตุ๋นถ้วยนั้นมาด้วยมือผอมแห้ง หยิบช้อนน้ำแกงตักส่งเข้าปาก
“โอ้โฮ ไข่นี่อร่อยจริง แต่ข้ากินไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าไม่ต้องบำรุงร่างกายหรอก!” เหล่าไท่ไท่กล่าวไปก็บ่นอุบอิบ โทษบุตรสาวตัวเองที่ไม่รู้จักใช้ชีวิตเอาเสียเลย
ที่กินเข้าปากล้วนแต่เป็นเงินเป็นทอง!
บุตรสาวคนเล็กของนางคนนี้กลายเป็นคนมือเติบตั้งแต่เมื่อไร?
โจวกุ้ยหลานนั่งอยู่ข้างๆ เท้าคางมองเหล่าไท่ไท่ตักไข่ตุ๋นกินทีละช้อนๆ อิ่มเอมใจอย่างยิ่ง
“เงินไม่ใช่ว่าประหยัดจึงจะมี แต่ต้องหามาต่างหาก ท่านยิ่งอดออมมากเท่าไร เงินพวกนั้นก็ยิ่งไม่อยากอยู่ในกระเป๋าท่านแม่มากเท่านั้น” โจวกุ้ยหลานตอบรับอย่างขบขัน
“นั่นไม่ใช่เพราะไม่มีถึงต้องประหยัดหรือ? สองสามอีแปะนั้นไม่เก็บให้ดี ต่อไปถ้าจะใช้จะไปร้องไห้เอาที่ไหน?”
เหล่าไท่ไท่จะให้โจวกุ้ยหลานออกนอกลู่นอกทางไม่ได้ นางมีหลักการของตัวเอง
“ช่างเถอะ ไม่พูดกับท่านแม่แล้ว ถึงอย่างไรข้าก็จะใช้ความเป็นอยู่บ้านข้าเทียบกับท่านแม่ ให้ท่านแม่ดูสิว่าใครถูก” โจวกุ้ยหลานก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน กล่าวตามตรง
เหล่าไท่ไท่ไม่สนใจบุตรสาวของตนคนนี้ นางลำบากมาก่อน ยากจนทั้งชีวิต ไหนเลยจะไม่รู้ว่าความเป็นอยู่ลำบากขนาดไหน?
แต่ดีที่ผู้ชายของบุตรสาวคนเล็กของตนนี้เก่ง
โจวกุ้ยหลานรอเหล่าไท่ไท่รับประทานจนหมดอย่างเงียบๆ หลังจากรับถ้วยมาก็กลับห้องครัว
ตอนนี้นมแพะก็เย็นตัวลงพอดี นางเทถ้วยหนึ่งใส่ถ้วยที่บรรจุไข่ขาว หยิบตะเกียบตีเร็วจนเกิดเป็นฟอง
หลังจากกวาดฟองและเศษออกแล้วก็วางพักไว้อยู่ด้านข้าง
ของที่แช่น้ำตั้งแต่ตอนแรกอิ่มตัวแล้ว นางชอนขึ้นมาสะเด็ดแห้ง ตั้งหม้อ ใส่น้ำมัน กุ้งแห้ง หอยแห้งแล้วผัดให้หอม จากนั้นก็ใส่กุนเชียงกับเนื้อหมักแดดเดียวลงไป ผัดครู่หนึ่งก็ใส่เห็ดหอมลงไปผัดต่อ จากนั้นจึงเอาขึ้นมา
“โอ้โฮ กุ้ยหลาน นี่เจ้ากำลังทำอะไรอีก ทำไมหอมอย่างนี้?” เสียงของเหล่าไท่ไท่ดังมาจากข้างนอก
โจวกุ้ยหลานเทไชเท้าลงไปในหม้อ ผัดไป ตอบไป “ข้ากำลังทำของที่จะทำให้เงินเข้ากระเป๋าข้าแต่โดยดีอย่างไรล่ะ!”
“นังเด็กนี่นิ พูดจาเลื่อนเปื้อนทั้งวัน!”
เหล่าไท่ไท่ด่าอยู่ของนอก หยิบเข็มแล้วเย็บต่อ
โจวกุ้ยหลานไม่ต่อล้อต่อเถียงกับนาง เห็นไชเท้าฝอยผัดเข้าที่แล้วก็เอาของที่ผัดเมื่อคู่เทลงหม้อ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ค่อยๆ เทแป้งลงไป แล้วใส่ของปรุงรสอย่างผงพริกไทย เกลือ น้ำมัน คลุกเคล้าอยู่อย่างนี้ หลังจากเข้าที่แล้วก็น้ำใส่จาน วางไว้บนชั้นนึ่งที่ทาน้ำมันเตรียมอยู่ก่อนแล้ว
หลังจากทำเสร็จสิ่งเหล่านี้ ก็เติมน้ำใส่หม้ออีก พอเดือดก็นำชั้นนึ่งก่อนจะวางขนมหัวไชเท้าลงไปนึ่ง
ถัดมานางก็ทำพุดดิ้งต่อ เสร็จแล้วก็วางเข้าไปในหม้อนึ่งด้วยกัน
ต่อจากนั้นหัวใจนางก็ตุ้มๆ ต่อมๆ
นี่ใช้ของไปมากมายเลยทีเดียว ถ้าพลาด เช่นนั้นนางยังต้องคิดวิธีอื่นลองทำขนมหัวไชเท้าอีกครั้ง
ผ่านไปสิบห้านาที นางเปิดฝาหม้อออก ใช้ผ้าขี้ริ้วห่อพุดดิ้งขึ้นมา จากนั้นก็วางทิ้งให้เย็นอยู่ด้านข้าง
นางปิดฝาอีกครั้งแล้วเพิ่มฟืนเข้าไปในเตา นึ่งต่อ
พอนางเดินออกมาก็เห็นเหล่าไท่ไท่กำลังยัดฝ้ายใส่เสื้อแล้ว
โจวกุ้ยหลานสาวเท้าเข้าไปช่วยเหล่าไท่ไท่ดึงฝ้าย
“ท่านแม่ ทำไมท่านแม่ทำไวอย่างนี้ล่ะ?”
“ก็แค่ผ้าสองชิ้น เย็บ แล้วก็เอาฝ้ายยัดเข้าไป แล้วเย็บอีกแถวหนึ่งก็เสร็จแล้วไม่ใช่หรือ?” เหล่าไท่ไท่ไม่รู้สึกเลยว่าความสามารถของตนชวนให้ทึ่ง
ก็ความเป็นอยู่อย่างนี้นี่นะ มือไม้ยังไม่ต้องว่องไวอีกหรือ?
ถ้าทำเสื้อผ้ายังต้องทำนานอย่างนั้น แล้วพวกเขาจะกินจะดื่มอะไร?
โจวกุ้ยหลานดึงฝ้ายออกมาจำนวนหนึ่งแล้วยื่นให้เหล่าไท่ไท่ เหล่าไท่ไท่ยัดเข้าไปในเสื้อแล้วก็เย็บต่อ เย็บฝ้ายให้อยู่ในช่อง ไม่ให้มันหล่นลงมาข้างล่าง
เห็นอย่างนี้แล้วกลับคล้ายเสื้อนวมขนนกในยุคปัจจุบัน
โจวกุ้ยหลานช่วยร้อยด้ายให้เหล่าไท่ไท่อยู่ข้างๆ พอเหล่าไท่ไท่เย็บช่องสี่เหลี่ยมเสร็จ นางก็ดึงฝ้ายส่งให้อีก
เหล่าไท่ไท่เย็บไปๆ ก็อดบ่นอีกไม่ได้ “ไม่รู้ว่าพี่ชายเจ้าดูตัวเป็นอย่างไรบ้างนะ”
“พี่ข้าดีออกอย่างนั้น คนเขาต้องไม่ดูแคลนแน่” โจวกุ้ยหลานปลอบ
“นั่นสิ ชุดใหม่ที่ต้าไห่ใส่ดูภูมิฐานเลยทีเดียว เห็นท่าทาง เกลงแต่แม่นางเห็นยังต้องหน้าแดง!” เหล่าไท่ไท่พูดไปพูดมาก็หัวเราะ
นางมีบุตรชายเพียงคนเดียว หน้าตาดี นางปลื้มปลิ่มเสียไม่มี
โจวกุ้ยหลานก็พลอยปลื้มปลิ่มตามไปด้วย ถ้าโจวต้าไห่ตบแต่งภรรยา เช่นนั้นก็ดี ต่อไปก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ทำความปรารถนาของเหล่าไท่ไท่ให้เป็นจริงอีกเรื่องหนึ่ง