นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 109 เจ้ายิ้มแล้วงามยิ่ง
ทั้งสองสนทนากัน ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยไป
ครั้นดูเวลาก็ผ่านไปครึ่งค่อนชั่วยามแล้ว
โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นแล้วไปที่ห้องครัว เปิดฝาออก กลิ่นหอยพวยพุ่งเข้าจมูก
แค่ได้กลิ่น โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกไม่เลวแล้ว
เพราะขนมนี้ลงทุนไปมาก แค่เมื่อวานวันเดียวนางก็ใช้ไปสามสิบสี่ตำลึง พูดออกไปกลัวว่าคงต้องทำให้คนตกใจตาย
แน่นอน นางไม่ได้แค่ซื้อวัตถุดิบอย่างเดียว แต่ซื้อของใช้จำเป็นอย่างอื่นด้วย
โจวกุ้ยหลานหยิบขนมขึ้นมา ใช้มีดทำครัวหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม คีบขึ้นชิมหนึ่งชิ้น และทันใดนั้น ดวงตาของนางก็ลุกวาว
รสชาตินี้ ไม่เลวเลยจริงๆ
รสเข้มของเนื้อหมักแดดเดียวกับกุนเชียงผสานรวมกับรสอ่อนของไชเท้า บวกกับเครื่องปรุงรสผงพริกไทย…
โจวกุ้ยหลานชื่นชมยินดี รีบหยิบถ้วยสะอาดใบหนึ่ง แล้วคีบใส่ลงไปสองสามชิ้น ยกออกไปถึงตรงหน้าเหล่าไท่ไท่
“ท่านแม่รีบชิมนี่เร็ว!”
เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าเอาแต่ทำของกิน? นี่ต้องใช้แป้งเท่าใด!”
แป้ง?แป้งเป็นของที่ถูกที่ใส่ในนี้แล้ว!
โจวกุ้ยหลานหักห้ามใจไม่โต้ตอบ แต่ก็ยังไม่กล้าบอกเหล่าไท่ไท่ มิเช่นนั้นต้องถูกนางตำหนิอีกแน่
“ท่านแม่รีบชิมเร็ว นี่ข้าคิดจะเอาไปขายนะ!” โจวกุ้ยหลานเอ่ย แล้วยื่นไปทางเหล่าไท่ไท่อีกหน
“ของพรรค์นี้จะขายได้หรือ? ถ้าขายไม่ออกมิต้องขาดทุนหรือ?” เหล่าไท่ไท่กล่าวพลางวางเข็มด้ายในมือ นางรับไปแล้วคีบขนมหัวไชเท้าส่งเข้าปาก
แต่ยังไม่ทันเข้าปากก็ได้ยินเสียงเจ้าก้อนน้อยจากข้างนอก “หอมจัง!”
แหม สองพ่อลูกนี่ช่างมีวาสนาปากจริงแท้ รอให้ทำเสร็จแล้วถึงจะกลับมา!
โจวกุ้ยหลานคิด กลั้นยิ้มบนใบหน้าไม่อยู่เล็กน้อย
สวีฉางหลินจูงมือเจ้าก้อนน้อยเดินเข้ามา เห็นเสื้อผ้าเขามีฝุ่นประปรายแต่ไกลๆ เห็นชัดว่าไปทำอะไรมาอีก
“มาๆๆ ฉางหลินกลับมาแล้ว นี่ก็ให้เขากินเถอะ” เหล่าไท่ไท่รีบวางตะเกียบลง ลุกขึ้นจะยื่นของกินให้สวีฉางหลิน
โจวกุ้ยหลานรีบขวางไว้ “ท่านแม่ ในหม้อยังมีอีกตั้งเยอะ ส่วนนี้ให้ท่านแม่กิน”
“ยังมีอีกเยอะ?” เสียงของเหล่าไท่ไท่เพิ่มปริมาณขึ้นอีกหลายส่วน อย่างไรก็ยังคำนึงถึงสวีฉางหลิน จึงได้แต่กลืนคำพูดกลับลงไปอีก
เจ้าลูกล้างผลาญนี่ นี่แป้งเชียวนะ สิ้นเปลืองจริงเชียว!
โจวกุ้ยหลานไม่สนใจท่าทางเสียดายของนาง ตบมือกับเจ้าก้อนน้อย แล้วอ้าแขนทั้งสองกับเขา “มา เสี่ยวเทียน ข้าจะให้เจ้ากินของอร่อย!”
ในฐานะที่เจ้าก้อนน้อยเป็นนักกินตัวน้อย ไหนเลยจะทัดทานต่อการหลอกล่อแบบนี้ของแม่ตัวเองได้? เมื่อสวีฉางหลินปล่อยมือ ขาสั้นๆ ก็วิ่งอ้าวไปทางโจวกุ้ยหลาน จับมือของนางคิดจะไปทางห้องครัว
โจวกุ้ยหลานถูกท่าทางของเขาทำจนหัวเราะ ลูบหัวของเขา “ไม่ต้องรีบ ข้าทำไว้เยอะเลย รับรองว่าเจ้าต้องกินเต็มอิ่มแน่!”
สวีฉางหลินที่ถูกบุตรชายทอดทิ้งยังเซ็งเล็กน้อย เขาที่เป็นบิดายังสู้ของกินคำหนึ่งไม่ได้…
โจวกุ้ยหลานมองสีหน้าท่าทางของสวีฉางหลิน เห็นเขากลับมามีท่าทางปกติแบบใจดีไร้พิษไร้ภัยแล้ว ก็ลอบโล่งอกในใจ
ค่อยยังชั่ว ความสามารถในการสมานแผลเองของผู้ชายคนนี้ดีมาก
“ท่านแม่ กิน!” พอเจ้าก้อนน้อยเห็นโจวกุ้ยหลานยืนเฉยพักหนึ่ง ก็แหงนดวงหน้าน้อยๆ เรียกโจวกุ้ยหลาน
“ได้ๆๆ” โจวกุ้ยหลานตอบรับเนืองๆ เงยหน้าเอ่ยกับสวีฉางหลิน “เจ้ารีบไปล้างหน้าล้างตาเถอะ แล้วเดี๋ยวออกมาชิมขนมหัวไชเท้าที่ข้าทำ”
กล่าวจบก็จูงเจ้าก้อนน้อยเข้าห้องครัวไป ตักน้ำล้างมือให้เขา ถึงแล้วคีบขนมหัวไชเท้าสองสามชิ้นไว้ในถ้วย ย่อตัวป้อนเจ้าก้อนน้อยคำหนึ่ง
“เป็นอย่างไร?”
“อร่อย!”
เจ้าก้อนน้อยตอบพลังผงกหัวเป็นการเน้นย้ำอีกครั้ง
ของที่ท่านแม่ทำ อร่อยทุกอย่าง
โจวกุ้ยหลานยื่นถ้วยให้เจ้าก้อนน้อย ให้เขารับประทานเองอยู่ข้างๆ ส่วนนางก็หยิบถ้วยอีกสองใบ แบ่งขนมใส่ประมาณหนึ่ง
จากนั้นสวีฉางหลินก็เข้ามา โจวกุ้ยหลานยื่นให้เขาถ้วยหนึ่ง ส่วนตัวเองก็ถือถ้วยหนึ่งออกมาที่ห้องโถง นั่งข้างเหล่าไท่ไท่ เพิ่งกัดคำหนึ่งก็ถูกเหล่าไท่ไท่ดึงแขน
โจวกุ้ยหลานช้อนตามอง เหล่าไท่ไท่แอบเหลือบมองทางห้องครัวแวบหนึ่ง แล้วถึงขยับมากระซิบกับโจวกุ้ยหลาน “ทำไมในนี้ยังมีเนื้อหมักแดดเดียวด้วยล่ะ? เจ้าไปเอามาจากไหน?”
“ซื้อสิ” โจวกุ้ยหลานตอบ มองท่าทางจะกล่าวแต่ก็หยุดของเหล่าไท่ไท่ รู้สึกประหลาดใจ
เหล่าไท่ไท่ทำไมล่ะเนี่ย กินขนมหัวไชเท้ายังต้องหนักอกหนักใจอีก
“เจ้าทำขนมนี่ยังต้องใช้เนื้อหมักแดดเดียวด้วยหรือ? แล้วทำไมข้ากินแล้วถึงรู้สึกว่าในนี้ยังมีกุนเชียงด้วยล่ะ? กุ้ยหลาน เจ้าใช้เปลืองอย่างนี้ ถ้าฉางหลินมีอารมณ์อัดอั้นอยู่ในใจ ต่อไปทำไม่ดีกับเจ้าจะทำอย่างไร?” พอคิดถึงตรงนี้ เหล่าไท่ไท่ก็ร้อนรน
กว่าบุตรสาวคนนี้จะออกเรือนไปได้ ประเดี๋ยวๆ ก็ทำให้นางเป็นห่วง
สวีฉางหลินเป็นคนดี แต่อย่างไรก็ใช้จ่ายด้วยกันสองคน กว่าเขาจะหาเงินมาได้ก็ไม่ง่าย จะกินๆ ดื่มๆ อย่างนี้ได้หรือ?
โจวกุ้ยหลานเกือบปลิ้นตา เหล่าไท่ไท่เอาแต่ห่วงนู่นห่วงนี่ นางยังนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก
ที่แท้ก็ยังเป็นเพราะความมัธยัสถ์จึงทำให้เป็นเช่นนี้
“วางใจเถอะ เรื่องนี้เขาเห็นด้วยแล้ว” โจวกุ้ยหลานปลอบอย่างขอไปทีกับเหล่าไท่ไท่
เมื่อได้ยินว่าสวีฉางหลินเห็นด้วย เหล่าไท่ไท่ก็ขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม
บุตรสาวไม่รู้จักการใช้ชีวิตคนเดียวยังแล้วไป แต่นี่เป็นกันทั้งสองคน ครอบครัวนี้ช้าเร็วต้องกินจนไม่เหลือแน่ เฮ้อ…
“ท่านแม่บอกแค่ว่าขนมหัวไชเท้านี่อร่อยหรือไม่ก็พอ” โจวกุ้ยหลานไม่สนใจท่าทางกังวลของเหล่าไท่ไท่ เอ่ยถามโดยตรง
เหล่าไท่ไท่ถลึงตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ “ของดีรวมอยู่ด้วยกันมากมายยังไม่อร่อยอีกหรือ?”
“อร่อยก็พอ ของพวกนี้ข้าหากลับมาได้หมดนั่นแหละ”
โจวกุ้ยหลานหัวเราะฮ่าๆ
โจวกุ้ยหลานไม่ได้อธิบายเรื่องอื่นมาก เอาไว้นางได้เงินมาแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็จะไม่กังวลอย่างนี้อีก
เหล่าไท่ไท่เสียดายของ แต่ของดีเหล่านี้นางกลับไม่เคยได้กินมาก่อน ตอนนี้เมื่อได้กินแล้วจึงหยุดไม่ลง ภายหลังก็ไม่ได้พูดอะไรกับโจวกุ้ยหลานอีก กินขนมหัวไชเท้าถ้วยนั้นหมดเกลี้ยงด้วยเวลาอันรวดเร็ว
โจวกุ้ยหลานเห็นดังนั้นแล้วจึงหยิบถ้วยของนางไปตักจากในครัวให้อีก
เมื่อเข้าครัวก็พบว่าเจ้าก้อนน้อยยังนั่งกินอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ สวีฉางหลินกลับล้างถ้วยแล้ว
“เจ้าวางไว้ เดี๋ยวข้าล้างเอง” โจวกุ้ยหลานบอก สาวเท้าเดินเข้าไป
สวีฉางหลินเห็นใบหน้าภรรยาของตัวเองปรากฏรอยยิ้มหนึ่ง พรรยา นี่เรียกว่าอะไรหรือ?”
คนที่ไม่ยิ้มเป็นเวลานาน ยามนี้ดวงหน้าอ่อนโยนแล้ว องคาพยพคลี่บาน เผยฟันขาวทั้งปาก หล่อเหล่าเป็นพิเศษ กลับทำให้โจวกุ้ยหลานยิ้มค้างไป
ผู้ชายคนนี้จะหล่อเกินไปแล้ว!
โจวกุ้ยหลานลอบสะท้อนใจ ถ้าให้ผู้หญิงคนอื่นเห็นยังไม่ต้องเป็นบ้าหรือ?
“พรรยา?” สวีฉางหลินเห็นโจวกุ้ยหลานนิ่งไปจึงแปลกใจเล็กน้อย เก็บรอยยิ้มของตัวเองก่อนจะเอ่ยปากถาม
“สวีฉางหลิน เจ้ายิ้มแล้วงามจริงๆ!” โจวกุ้ยหลานทอดถอนใจ