ตอนที่ 465 พูดถึงความสำคัญของการทำตัวน่ารัก (3) ตอนที่ 466 พูดถึงความสำคัญของการทำตัวน่ารัก (4)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 465 พูดถึงความสำคัญของการทำตัวน่ารัก (3) / ตอนที่ 466 พูดถึงความสำคัญของการทำตัวน่ารัก (4)
ตอนที่ 465 พูดถึงความสำคัญของการทำตัวน่ารัก (3)

หลังจากที่จวินอู๋เสียรักษางูกระดูกสองหัวเสร็จแล้ว สภาพของงูกระดูกสองหัวก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หัวที่ห้อยลงมาอย่างอ่อนแรงทั้งสองข้างของมัน ในที่สุดก็มีกำลังมากพอที่จะยกมันขึ้นมา

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น จวินอู๋เสียก็เซถอยไปด้านหลัง

เมื่อเห็นว่าร่างเล็กๆ ของนางกำลังจะล้มหงายลงไป เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ลุกพรวดด้วยความตกใจและรีบวิ่งขึ้นไปหาจวินอู๋เสียทันที น่ากลัวว่าการรักษาภูติวิญญาณพร้อมกันถึงสองตนในคราวเดียวจะหนักหนามากเกินไปสำหรับนางในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงตัวจวินอู๋เสีย…

เสียงกรีดร้องดีใจก็ดังออกมาจากร่างเล็ก จวินอู๋เสียซุกตัวลงไปกับพุงที่มีขนหนาเตอะและเต็มไปด้วยชั้นไขมันของกุ๋นกุ่น ก่อนที่ร่างเล็กกะทัดรัดที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยแพขนนั้นจะดีดดิ้นและกลิ้งไปมาอยู่บนพุงนั้นสักพัก เด็กสาวถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ

กลุ่มคนที่กำลังจะพุ่งเข้าไป ทำได้เพียงกระตุกและหดเท้ากลับไป

ดูท่าว่าจวินอู๋เสียจะไม่ได้พลังวิญญาณหมดเหมือนอย่างเช่นที่พวกเขาคิด แต่นางกำลังเพลิดเพลินไปกับหน้าท้องที่อ่อนนุ่มและเด้งดึ๋งของกุ๋นกุ่นต่างหาก…

การรับรู้นี้ ทำให้ทุกคนที่เพิ่งเห็นฉากการสังหารอย่างเหี้ยมโหดของจวินอู๋เสียรู้สึกปรับอารมณ์ตามไม่ทันเล็กน้อย

กรร? กุ๋นกุ่นก้มหัวลง มองจวินอู๋เสียที่กำลังถูไถหน้าท้องของมันอยู่และเอียงหัวใหญ่ๆ ของมันเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ

“เดี๋ยวค่อยรักษาต่อ” จวินอู๋เสียตบพุงกุ๋นกุ่นเบาๆ และลูบไปทั้งตัวที่มีแต่ขนฟูๆ ของมัน อย่างไรก็ตามเมื่อนางกระโดดลงไปอีกครั้ง นางก็ต้องรีบกลับมาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จ้องไปที่ขนบนท้องของเจ้าตัวโตแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

“สัมผัสไม่ดีเลย” จวินอู๋เสียย่นคิ้วพลางพึมพำ

อ๊าววว ราวกับจะรับรู้ได้ว่าตัวมันถูกรังเกียจเข้าให้แล้ว กุ๋นกุ่นก็ยกอุ้งเท้าตบไปที่หน้าท้องหนาๆ ของมันอย่างเศร้าสร้อย และพยายามโกยเอาขนของมันขึ้นมาทำให้มันนุ่มขึ้น

จวินอู๋เสียหรี่ตา ยกมือขึ้นและรวบรวมพลังวิญญาณมาไว้ที่ฝ่ามือ จากนั้นก็วางมันทาบลงไปบนพุงของกุ๋นกุ่น ขนที่ค่อนข้างแห้งในตอนแรกก็กลายเป็นนุ่มฟู ดูลื่นและเปล่งประกายขึ้นมาในทันที จวินอู๋เสียดึงมือของนางกลับอย่างพึงพอใจพร้อมกับกระโดดเข้าหาพุงหนาๆ นั้นอีกครั้ง คราวนี้ขนอันนุ่มนิ่มที่กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วทำให้จวินอู๋เสียต้องหรี่ตาลงอีกครั้งอย่างสุขใจ

เจ้าแมวดำตัวน้อยชินชากับโรคคลั่งขนปุกปุยของเจ้ามันมานานแล้ว จึงกระโดดขึ้นไปนอนบนไหล่ของกุ๋นกุ่นอย่างใจเย็น ใช้อุ้งเท้าของมันตะกุยขนบนร่างของเจ้าตัวโตให้มันฟูขึ้นเล็กน้อย แล้วหาจุดที่สบายที่สุดเพื่อนอนลงไป

เฟยเยียนถอยกลับไปนั่งที่ริมทะเลสาบพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า หันไปมองเฉียวฉู่แล้วพูดว่า “ข้าเพิ่งค้นพบว่ากุ๋นกุ่นของเจ้า ที่แท้ยังมีทักษะอีกอย่างหนึ่ง”

“อะไรหรือ” เฉียวฉู่ถามกลับไป

“ทำให้น้องเสียมีความสุขอย่างไรเล่า” เฟยเยียนหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

จวินอู๋เสียเด็กสาวคนนี้ที่ชอบตีสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาตลอดทั้งวัน เป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็นนางทำตัวเหมือนกับเด็กสาวธรรมดาแบบนี้ ต้องขอบคุณเจ้ากุ๋นกุ่นมันจริงๆ ที่ยอม ‘เสียสละเรือนร่าง’ ของมัน พวกเขาจึงมีโอกาสได้เห็นฉากทั้งหมดนี้

เฉียวฉู่คิ้วกระตุก ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ ถลึงตาจ้องเฟยเยียนกลับไปตาเขม็ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้ววิ่งไปนั่งลงข้างๆ ฟ่านจิ่นแทน

“เจ้าพวกคนเลวพวกนี้ไม่มีใครปกติเลยสักคน ข้าคิดว่าเจ้านี่แหละปกติที่สุดแล้ว” เฉียวฉู่ถูกสหายในกลุ่มของตัวเองว่ากระทบเข้าอย่างแรง จึงวิ่งมาเพื่อมองหาความสบายใจจากฟ่านจิ่น

ฟ่านจิ่นมุมปากกระตุกเล็กน้อย ลอบกล่าวในใจว่า ที่จริงแล้วเจ้าเองก็ไม่ค่อยปกติเหมือนกันไม่ใช่หรือ!

ถึงแม้ว่าทั้งกุ๋นกุ่นและงูกระดูกสองหัวจะยังมีอาการบาดเจ็บตกค้างอยู่ ทว่าเมื่อพิจารณาจากแรงกดดันที่แผ่ออกมารอบตัวพวกมันแล้ว ระดับของวงแหวนภูติวิญญาณที่ทั้งสองคนครอบครองอยู่จะต้องมีระดับสูงมากอย่างแน่นอน! อย่างน้อยๆ ก็ต้องสูงกว่าวงแหวนภูติวิญญาณของฟ่านจิ่นหนึ่งขั้น!

ศิษย์กลุ่มหนึ่งจากตึกรอง แต่กลับมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าอันดับสี่ของศึกประลองภูติวิญญาณที่มาจากตึกหลักเสียอีก แถมระดับของวงแหวนภูติวิญญาณของพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งมากถึงขั้นทำให้ภูติวิญญาณของฟ่านจิ่นเองต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

ชายหนุ่มเหล่านี้ที่จวินอู๋เสียเข้ามารวมกลุ่มด้วย เป็นสัตว์ประหลาดที่กระโดดออกมาจากก้อนหินก้อนไหนกัน!

ทำไมแต่ละคนถึงได้เหมือนกับนาง แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ!

ความมั่นใจอันมากล้นของฟ่านจิ่น แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสมเพชกลุ่มศิษย์เหล่านั้นที่หัวเราะเยาะพวกเขาก่อนเข้ามาในป่า เขาไม่ได้พกขวดน้ำมันสองสามขวดมาด้วย แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งอย่างวิปริตกลุ่มหนึ่งต่างหาก!

ตอนที่ 466 พูดถึงความสำคัญของการทำตัวน่ารัก (4)

สองสามวันต่อมา จวินอู๋เสียและกลุ่มของนางเดินทางอยู่ในป่าประลองวิญญาณ จำนวนหินวิญญาณที่อยู่ในถุงเอกภพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าพวกมันจะเป็นหินวิญญาณขนาดเล็กจากสัตว์อสูรระดับต่ำเสียส่วนมาก จำนวนที่มากมายของพวกมันก็ยังคงให้ผลลัพธ์ที่ดีมากแก่กลุ่มของพวกเขา

จวินอู๋เสียและคนอื่นๆ ได้ออกสำรวจป่าประลองวิญญาณเป็นเวลาติดต่อกันเกือบสามวัน หินวิญญาณในถุงเอกภพก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะเป็นหินวิญญาณขนาดเล็กที่แงะออกมาได้จากร่างของสัตว์วิญญาณระดับต่ำ จำนวนที่มากมายของมันก็ยังให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจแก่พวกเขา

ในช่วงสองสามวันนี้ พวกเขายังพบกลุ่มเล็กๆ ของศิษย์คนอื่นอีกหลายกลุ่มในป่า แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์จากตึกรอง เมื่อศิษย์เหล่านั้นเห็นจวินอู๋เสีย พวกเขาก็ประหม่าเล็กน้อย

เป้าหมายหลักในการประเมินของงานล่าวิญญาณ ก็คือจำนวนหินวิญญาณในมือของแต่ละคนในตอนท้าย ดังนั้นนอกเหนือไปจากการล่าสัตว์วิญญาณด้วยตัวเองแล้ว กลุ่มที่ค่อนข้างทรงพลังบางกลุ่มยังหันไปแย่งชิงหินวิญญาณที่อยู่ในมือของกลุ่มที่อ่อนแอกว่าด้วย และเหล่าศิษย์ที่โชคร้ายมากที่สุด ก็หนีไม่พ้นกลุ่มศิษย์จากตึกรองที่มีความแข็งแกร่งด้อยกว่าศิษย์ตึกหลักอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากความแตกต่างทางด้านความแข็งแกร่งนี้เอง พวกเขาจึงทำได้เพียงล้อมปราบสัตว์วิญญาณระดับต่ำที่อยู่ละแวกเขตนอกของป่าประลองวิญญาณเท่านั้น บ่อยครั้งที่หินวิญญาณที่ได้รับจากการล่าสัตว์วิญญาณไม่เพียงพอสำหรับแจกจ่ายให้กับทุกคนในกลุ่มของพวกเขา แต่เมื่อโชคร้ายมาเจอกับศิษย์ของตึกหลัก แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าจำนวนหินวิญญาณที่น้อยนิดอยู่แล้วของพวกเขา ล้วนถูกฉกชิงเอาไปจนหมด

ส่งผลให้เหล่าศิษย์ของตึกรอง เมื่อเห็นศิษย์ที่มาจากตึกหลักก็รีบสับฝีเท้าวิ่งหนีรวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่พวกเขาเห็นสัตว์วิญญาณเสียอีก

ในทางกลับกัน หลังจากที่กลุ่มของตึกหลักเห็นฟ่านจิ่น แม้ว่าพวกเขาจะต้องการแย่งชิงหินวิญญาณมาจากมือของ ‘กลุ่มที่อ่อนแอที่สุด’ นี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าลงมือมั่วซั่วเพราะยังมีฟ่านจิ่นอยู่ตรงนี้นั่นเอง

“ว่ากันว่าป่าประลองวิญญาณแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกเบื่อนิดหน่อย” ”เฉียวฉู่ประสานมือไว้ด้านหลังศีรษะของเขา คาบหญ้าไว้ในปากอย่างเช่นที่เคยทำเป็นประจำ และเดินเออระเหยลอยชายรั้งอยู่ท้ายสุดของแถว

พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลยมากว่าสองสามวันแล้ว นอกจากรังแกสัตว์วิญญาณที่มีความแข็งแกร่งอยู่เพียงขั้นที่ห้า ก็ไม่มีอะไรให้พวกเขาทำอีก

ฟ่านจิ่นเหลือบมองเฉียวฉู่แวบหนึ่ง หลังจากผ่านไปสองสามวัน ในที่สุดความตกใจที่ประเดประดังเข้ามาในหัวใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็หายไปและแปรเปลี่ยนเป็นความเฉยชา

หลังจากที่ได้เห็นพลังการต่อสู้ของเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ด้วยตาของเขาเอง เขาก็รู้สึกว่าแม้สำนักศึกษาเฟิงหัวจะรวมเอาอันดับที่หนึ่งถึงสิบของศึกประลองภูติวิญญาณออกมา พลังต่อสู้ของทุกคนรวมกันแล้วยังไม่พอที่จะต่อกรกับคนกลุ่มนี้เลย

สัตว์วิญญาณเหล่านั้นที่ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ตัวสั่นกลัว เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพวกเขา ก็เป็นได้เพียงลูกแกะตัวน้อยๆ ที่รอถูกเชือดเท่านั้น

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…

ฟ่านจิ่นชำเลืองมองไปที่กุ๋นกุ่น หมีหยินหยางขนาดมหึมาที่เดินอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

นับตั้งแต่ที่จวินอู๋เสียรักษาให้กับเจ้ากุ๋นกุ่นในวันนั้น เฉียวฉู่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้เรียกกุ๋นกุ่นกลับไปอีกเลย ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร แต่ทันทีที่เขาขยับเข้าไปใกล้มัน ร่างอุ้ยอ้ายนั้นก็จะรีบวิ่งเข้าไปหาจวินอู๋เสียและส่งสายตาฟ้องว่าเจ้านายมันจะเอามันกลับไปแล้ว พร้อมกับกลายร่างเป็นลูกกลมๆ แล้วนอนหงายท้องกลิ้งไปมา ออดอ้อนให้จวินอู๋เสียสัมผัสมันเล่น…

จากนั้น…

จวินอู๋เสียก็จะตวัดสายตาดุๆ ใส่เฉียวฉู่คร้้งหนึ่ง แน่นอนว่าชายหนุ่มจะทนรับมันไหวได้อย่างไร ผู้ถือครองวงแหวนภูติวิญญาณตัวจริง จึงทำได้เพียงถอยกลับไปพร้อมกับใบหน้าที่อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา

ยิ่งตอนนี้ เจ้ากุ๋นกุ่นตัวดีก็ยิ่งกําเริบเสิบสานมากเข้าไปใหญ่ มันได้กลายเป็นพาหนะช่วยแบกจวินอู๋เสียเดินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างที่สูงใหญ่ของมัน อุ้มร่างเล็กกะทัดรัดของจวินอู๋เสียขึ้นไปนั่งบนบ่า บริการนางอย่างดิบดีแถมยังฮัมเพลงเดินตามรอยเท้าของทุกคนไปอย่างอารมณ์ดี เมินเฉยเฉียวฉู่ผู้เป็นนายโดยสิ้นเชิง

ด้วยมีวงแหวนภูติวิญญาณขนาดมหึมาอยู่ในกลุ่มด้วย สัตว์วิญญาณระดับต่ำในพื้นที่ป่าประลองวิญญาณ ยังไม่ทันได้เห็นหน้าพวกจวินอู๋เสียก็ถูกแรงกดดันจากกุ๋นกุ่นข่มขู่จนหวาดกลัววิ่งหนีป่าราบไปแล้ว

ฉะนั้นตลอดทั้งวันพวกเขาจึงไม่พบสัตว์วิญญาณระดับต่ำที่นี่เลยสักตัว เฉียวฉู่วิ่งเข้าไปแทะกรงเล็บของภูติวิญญาณของตัวเองด้วยความหดหู่

จวินอู๋เสียที่นั่งอยู่บนบ่าของกุ๋นกุ่น กำลังกลิ้งไปมาและรู้สึกชอบความรู้สึกที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยขนปุกปุยเช่นนี้เหลือเกิน ทว่าทันใดนั้นเองดวงตาของนางก็หรี่ลงเล็กน้อย สายลมที่พัดผ่านนางไปคล้ายกับจะปะปนไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่นางรังเกียจจางๆ!