ตอนที่ 467 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (1) / ตอนที่ 468 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (2)
ตอนที่ 467 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (1)
จวินอู๋เสียที่นั่งอยู่บนบ่าของกุ๋นกุ่น กำลังกลิ้งไปมาและรู้สึกชอบความรู้สึกที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยขนปุกปุยเช่นนี้เหลือเกิน ทว่าทันใดนั้นเองดวงตาของนางก็หรี่ลงเล็กน้อย สายลมที่พัดผ่านนางไปคล้ายกับจะแฝงไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่นางรังเกียจจางๆ!
“หยุด!” จวินอู๋เสียพูดขึ้นอย่างกะทันหัน
คนทั้งกลุ่มหยุดฝีเท้าในทันที
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” ฟ่านจิ่นเงยหน้าขึ้นและมองไปที่จวินอู๋เสียซึ่งนั่งอยู่บนบ่าของกุ๋นกุ่น
“มีกลิ่นเลือด” จวินอู๋เสียขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ของสัตว์วิญญาณหรือเปล่า” เฉียวฉู่หันไปรอบๆ พร้อมทำจมูกฟุดฟิด แต่กลับไม่พบกลิ่นเลือดเลย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยอมแพ้ในท้ายที่สุด
“มันเป็นของมนุษย์” จวินอู๋เสียหรี่ตา กลิ่นนั้นเบาบางมาก ถ้าพวกเขาไม่ได้เดินทวนกระแสลมขึ้นมา กลิ่นเลือดนั้นก็คงไม่มีวันลอยมาถึงนาง คิดว่าน่าจะมีระยะห่างพอสมควรระหว่างพวกนางกับจุดที่เกิดเรื่อง นางเงยศีรษะขึ้น มองไปที่ที่มาของกลิ่นเลือด ตอนนี้พวกเขามาถึงสุดขอบที่ระบุในแผนที่แล้ว หากเดินเข้าไปลึกกว่านี้ พวกเขาจะไปไกลเกินกว่าเขตปลอดภัยที่กำหนดโดยสำนักศึกษาเฟิงหัว
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ หันไปมองจวินอู๋เสีย ต้นไม้ในบริเวณนั้นหนาแน่นกว่าทุกจุดที่พวกเขาเคยเดินผ่านมา ต้นไม้แทบทุกต้นสูงเกินสิบเมตรและปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ แสงจากดวงอาทิตย์ด้านบน คล้ายจะถูกบดบังโดยสิ้นเชิง ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่อยู่ด้านในได้เลย
“มันมาจากข้างในนั้นหรือ” เฉียวฉู่ถาม
จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อย
“จะเข้าไปดูหรือไม่” เฉียวฉู่กระตือรือร้นมาก พื้นที่ส่วนใหญ่ที่วาดอยู่บนแผนที่ของสำนักศึกษาเฟิงหัว ล้วนมีแต่สัตว์วิญญาณระดับต่ำซึ่งไม่มีความท้าทายสำหรับพวกเขาเลย ยิ่งมีเจ้ากุ๋นกุ่นออกมาก่อกวน สัตว์วิญญาณระดับต่ำแถวนี้จึงวิ่งหายไปหมด มันทำให้เฉียวฉู่รู้สึกเหมือนกำลังจะบ้าแล้ว
จวินอู๋เสียหันความสนใจไปที่ฟ่านจิ่น นางไม่มีความจำเป็นใดต้องเข้าไปในป่าประลองวิญญาณ นางเพียงแค่มาตามคำยุยงของศัตรูที่อยู่ในที่มืดและมาฆ่าเป้าหมายใดก็ตามวิ่งเข้ามารนหาที่ตายเท่านั้น
ฟ่านจิ่นเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “พื้นที่นั้นอยู่ในเขตใจกลางของป่าประลองวิญญาณ ไม่เพียงแต่มีสัตว์วิญญาณระดับกลางและระดับสูงเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติด้วย เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการเข้าไปในนั้น”
“สัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติหรือ” เฉียวฉู่เลิกคิ้ว
“ว่ากันว่าสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัตินั้นทรงพลังอย่างยิ่ง และแม้ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีพลังวิญญาณอยู่ในระดับขั้นสีม่วง เมื่อเผชิญหน้ากับพวกมันก็ยังทำได้เพียงวิ่งหนีเอาตัวรอดเท่านั้น จนถึงบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถล่าสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติได้สำเร็จเลยแม้แต่คนเดียว” เมื่อฟ่านจิ่นพูดถึงสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติ ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความยำเกรงและหวาดกลัว
สัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติ คือตัวตนที่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าไปยั่วยุ
ในตอนแรกเฉียวฉู่ยังคงกระตือรือร้นที่จะลอง แต่หลังจากได้ยินคำพูดของฟ่านจิ่น เขาก็กลายเป็นชายหนุ่มผู้แสนว่าง่ายและเชื่อฟังขึ้นมาในทันที
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถใช้วิธีการพิเศษบางอย่างเพื่อบังคับยกระดับพลังวิญญาณของตัวเองให้ขึ้นไปอยู่ในขั้นสีม่วง แต่มันก็ใช้งานได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แถมยังสิ้นเปลืองพลังวิญญาณของพวกเขาเป็นอย่างมาก หากไม่จวนตัวจริงๆ หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายถึงชีวิต พวกเขาจะไม่ใช้มันเป็นอันขาด
“แค่กๆ ข้าว่าพวกเราไปดูหน่อยก็ไม่เสียหายกระมัง” เฉียวฉู่ตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันได้ดี แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติตัวนั้นมันจะน่ากลัวอย่างที่ฟ่านจิ่นพูดไว้จริงๆ หรือไม่ แต่เขาไม่ต้องการเสียเวลาไปกับสถานที่แห่งนี้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม จวินอู๋เสียหรี่ตาและมองที่ป่าทึบ ขณะที่นางกำลังถอนสายตากลับมา ร่างโชกเลือดร่างหนึ่งก็หนีออกมาจากด้านในป่านั้นด้วยสภาพทุลักทุเล เมื่อพิจารณาจากอาภรณ์ขาดวิ่นที่เขาสวมใส่อยู่ เหมือนว่าเขาจะเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัว!
ศิษย์คนนั้นวิ่งหนีออกมาด้วยสีหน้าที่หวาดกลัวมาก เสียงกรีดร้องของเขาดังขึ้นตลอดทาง ก่อนจะสะดุดและล้มลุกคลุกคลานมาอยู่ตรงหน้าฟ่านจิ่น
อาจจะเป็นเพราะความตกใจมาก ทันทีที่ศิษย์คนนั้นเห็นฟ่านจิ่นที่สวมเครื่องแบบของสำนักศึกษาเฟิงหัว เขาก็ร้องไห้แล้วรีบโผเข้าไปหาเขา
“ช่วยด้วยขอรับ ช่วยข้าด้วย!” ราวกับต้องการคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ให้ได้ ศิษย์คนนั้นล้มลงกับพื้นแล้วกำชายเสื้อของฟ่านจิ่นเอาไว้แน่น น้ำหูน้ำตาไหลพราก
ตอนที่ 468 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (2)
ศิษย์คนนั้นทั้งเนื้อทั้งตัวสะบักสะบอม ชุดเครื่องแบบสำนักศึกษาของเขาขาดรุ่งริ่ง ที่แผ่นหลังยังมีแผลใหญ่ลึกจนเห็นกระดูกน่าตกใจ ซ้ำยังมีบาดแผลน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนตามร่างกายของเขา ใบหน้าที่ขาวซีดราวกับคนตาย ทำให้เห็นได้เลยว่ายามนี้เขาหวาดกลัวและสติแตกขนาดไหน
ทิศทางที่ศิษย์คนนี้เพิ่งวิ่งออกมา คือพื้นที่ในเขตใจกลางป่าประลองวิญญาณซึ่งไม่มีบันทึกอยู่ในแผนที่ที่สำนักศึกษาเฟิงหัวมอบให้ ในความเป็นจริง สถานที่นั้นไม่สมควรมีศิษย์คนใดย่างกรายเข้าไปด้วยซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” ฟ่านจิ่นประคองศิษย์คนนั้นขึ้นมา ลูกศิษย์ที่หวาดกลัวจนตัวสั่นก็ตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า “สัตว์วิญญาณ…มันคือสัตว์วิญญาณ…มีสัตว์วิญญาณอยู่ที่นั่นขอรับ! มันตัวใหญ่มาก! ตัวใหญ่มากจริงๆ ฮือๆ!” ในขณะที่ศิษย์กำลังร้องไห้ เขาก็คล้ายกับเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาในยามนี้ก็คือฟ่านจิ่น ทันใดนั้นเขาก็ฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็ว อ้อนวอนไปอย่างสุดชีวิตว่า “ศิษย์พี่ฟ่านช่วยข้าด้วยขอรับ! ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
“ที่นั่นยังมีคนอื่นอยู่อีกหรือไม่” ฟ่านจิ่นขมวดคิ้ว เขตใจกลางของป่าประลองวิญญาณเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้าไปมาโดยตลอด ศิษย์กลุ่มนี้เข้าไปทำอะไรข้างในนั้น
“มีขอรับ…ยังมี…พวกเราอีกมากมายเลยขอรับ…ศิษย์พี่ฟ่าน ได้โปรดรีบไปช่วยพวกเขาด้วย” ศิษย์คนนั้นร้องไห้อ้อนวอน
จวินอู๋เสียชำเลืองมองศิษย์ที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ นัยน์ตาสงบนิ่งไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆ
ฟ่านจิ่นหันศีรษะไปทางจวินอู๋เสีย ตอนนี้เขาเริ่มชินกับการสอบถามความคิดเห็นของจวินอู๋เสียโดยไม่รู้ตัวแล้ว พวกเขายังไม่แน่ใจว่าศิษย์กลุ่มนั้นได้ไปเผชิญหน้ากับสัตว์วิญญาณระดับใด ยิ่งในเขตใจกลางป่าแห่งนั้นยังมีสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ พวกเขาก็ยิ่งจำเป็นต้องเตรียมพร้อมให้แน่ใจก่อนว่าจะไม่มีการเผชิญหน้าใดๆ กับอันตรายระดับนั้น
ช่วยหรือไม่ช่วย…
“ศิษย์พี่ฟ่านต้องการช่วยพวกเขาหรือ” จวินอู๋เสียถามขึ้นมาทันที
ฟ่านจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้า อย่างไรก็เป็น ‘ศิษย์สำนักเดียวกัน’ มือที่เปื้อนเลือดของศิษย์คนนั้นยังคงเกาะอยู่ที่ร่างของฟ่านจิ่น เลือดอุ่นๆ ที่ซึมผ่านอาภรณ์ของเขาเข้ามาสัมผัสกับผิว ทำให้เขารับรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้อย่างชัดเจน
จวินอู๋เสียไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่มองลงไปที่ศิษย์คนที่กำลังร้องไห้ขอความช่วยเหลือทั้งน้ำตาจากจุดที่สูงกว่า ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงเปิดปากแล้วถามออกไปช้าๆ ว่า “ตอนที่พวกเจ้าตกอยู่ในอันตราย ไยถึงไม่ยิงพลุสัญญาณ”
ก่อนเข้าสู่ป่าประลองวิญญาณ ศิษย์แต่ละคนจะได้รับพลุสัญญาณสองอันไว้ใช้เผื่อในกรณีฉุกเฉิน
ศิษย์คนนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองนาง แต่เมื่อเห็นหมีหยินหยางตัวใหญ่เขาก็ตกตะลึง มีร่องรอยของความตกใจปรากฏขึ้นในดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเขา แต่เพียงพริบตาเดียว เขาก็ฟื้นคืนจากอาการตื่นตระหนกก่อนหน้านี้ รีบตอบกลับไปว่า “ต้นไม้ที่อยู่ด้านในนั้นหนาทึบมากจนเราไม่อาจปล่อยพลุสัญญาณได้เลย” ศิษย์คนนั้นหยิบพลุสัญญาณสองอันที่ถูกใช้ไปแล้วออกมาจากอกเสื้อของเขาให้ทุกคนได้ดู
ในพื้นที่ที่มีต้นไม้สูงและหนาแน่นมาก มันจะไปขัดขวางการบินของพลุสัญญาณทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณออกไปได้ พลุสัญญาณที่สำนักศึกษาเฟิงหัวจัดเตรียมไว้ให้กับศิษย์ทุกคน ล้วนมีไว้ใช้สำหรับสถานที่ซึ่งระบุอยู่ในแผนที่เท่านั้น หรือก็คือมันจำกัดเฉพาะแค่เขตนอกของป่าประลองวิญญาณ เนื่องจากแม้ในป่าเขตนอกจะมีต้นไม้หนาแน่นเช่นกัน แต่มันก็ไม่ได้สูงและหนาทึบเทียบเท่ากับเขตใจกลางป่า ย่อมไม่เกิดเหตุการณ์จำพวกมีการขัดขวางพลุสัญญาณแบบนี้ แต่หากเดินลึกเข้าไปในป่าเขตกลาง การที่เกิดสถานการณ์ดังกล่าวขึ้นก็ไม่น่าแปลกใจเลย
จวินอู๋เสียมองศิษย์คนนั้นอย่างเฉยเมย ดวงตาที่เย็นชาของนางจับจ้องไปที่ใบหน้าเปื้อนเลือดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เก็บสายตากลับไปและพูดว่า “เช่นนั้น พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
คำพูดของจวินอู๋เสียทำให้ฟ่านจิ่นลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับหันไปแลกเปลี่ยนสายตากันสนทนาผ่านทางความคิด พวกเขาไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
“นี่คือพลุสัญญาณของข้า พวกเราจะเข้าไปช่วยคนที่ติดอยู่ด้านในเดี๋ยวนี้ เจ้าสามารถยิงมันออกไปได้ในภายหลัง แล้วอาจารย์ของสำนักศึกษาจะรีบเข้ามาช่วยเจ้าออกไปในไม่ช้า” ฟ่านจิ่นทิ้งยาและพลุสัญญาณของเขาให้กับศิษย์คนนั้น กำชับเขาอย่างระมัดระวัง
ศิษย์คนนั้นรีบพยักหน้าขอบคุณด้วยความตื้นตันใจทันที