บทที่ 243 สอบมหาวิทยาลัย
บ้านซูมีหลานชายสามคนที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ รวมซูเสี่ยวเหมยและซูเสี่ยวเฉ่าเข้าไปด้วยแล้วเป็นห้าคน
พวกเขาทุกคนรู้ว่าการไปเรียนที่มหาวิทยาลัยครั้งนี้มีความสำคัญต่อตัวเองอย่างไร
เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวกลั้นใจฮึบเดียวเพื่อกระตือรือร้นในการเรียน
พวกเขาตื่นตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สาง เข้านอนตอนเที่ยงคืน ท่องหนังสือซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เวลาเจอเนื้อหาที่ไม่เข้าใจก็จะนั่งถกกันทำให้ได้รู้เนื้อหาทั้งหมดอย่างรอบด้าน
คุณย่าซูไม่รู้ว่าการเรียนมหาวิทยาลัยคืออะไร แต่เธอรู้ว่าถ้าเรียนมหาวิทยาลัยก็สามารถเป็นเจ้าหน้าที่ได้
ทุกครั้งที่เธอลงมือปรุงอาหารจึงมีความใส่ใจมากยิ่งขึ้น
ทุกคนพบว่าอาหารทุกมื้อล้วนเต็มไปด้วยเนื้อและไข่ และแน่นอนว่าทั้งหมดนั้นเป็นการบำรุงร่างกายพวกเขา
ยามมองเหล่าเนื้อและผัก เด็กหนุ่มเด็กสาวก็คิดว่าควรตั้งใจเรียนให้มากขึ้นถึงจะคู่ควรกับอาหารที่คุณย่าทำมาให้
เสี่ยวเถียน เสี่ยวปา และเสี่ยวจิ่วยังอยู่ในวัยกำลังซน
ตอนนี้จึงไม่กล้าสร้างความวุ่นวายที่บ้าน กลัวว่าตนเองจะกลายเป็นตัวถ่วงยามพวกพี่อ่านหนังสือ
หลังจากทำการบ้านเสร็จ เสี่ยวซื่อก็จะเรียกพวกน้อง ๆ ให้แอบไปเล่นกับซิ่วหย่วนที่บ้านข้าง ๆ
บางครั้งก็จะอยู่บ้านอาใหญ่เลยเพื่อไม่ให้ส่งเสียงรบกวนพวกพี่ ๆ หลังจากกลับมา
ที่ลานบ้านหลักตระกูลซูเงียบงันตลอดทั้งวัน มีพวกหนุ่มสาวที่กำลังอ่านหนังสือเสียงเบา ๆ กับเสียงขีดเขียนกระดาษเท่านั้น
หม่านซิ่วเฝ้าดูอยู่หลายวัน ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด และรู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาเหนื่อยมากเกินไป
เธอคิดจะสั่งนมมาให้ แต่ไม่ว่าบ้านเรามีคนป่วยหรือมีเด็ก บ้านเราก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะ
สุดท้ายหม่านซิ่วก็วานสักคนไปซื้อนมผงกระป๋องจากสหกรณ์ร้านค้า และชงให้เด็ก ๆ คนละแก้วทุกเช้า
พวกโส่วเวินรู้สึกว่าพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะดื่มนมก็ดูไม่ค่อยเหมาะจึงปฏิเสธ
แต่หม่านซิ่วยืนกรานว่าต้องดื่มให้ได้
“อีกแค่เดือนสองเดือน ถ้าหลังจากนี้พวกเธออยากจะดื่มอีกอาก็คงทำอะไรไม่ได้” หม่านซิ่วยิ้ม
เพราะมันแค่นมผมกระป๋องราคาไม่เท่าไรเลยนำมันมาได้
“ไม่งั้นให้เสี่ยวเถียน เสี่ยวปา กับเสี่ยวจิ่วดื่มดีไหมคะ? แล้วก็ซิ่วหย่วนด้วย” ซูเสี่ยวเฉ่าพูดอย่างเคอะเขิน
ช่วงนี้ทั้งอยู่ ทั้งกิน ทั้งดื่มที่บ้านซูทั้งนั้น แต่นี้เธอก็รู้สึกละอายใจมากเพียงพอแล้ว ยังมีหน้ามากินนมผงอีกได้อย่างไรกัน?
“พวกเขาก็ได้กินดีอยู่ทุกวันแล้ว ไม่ต้องดื่มนมผงหรอก” ยากมากที่คุณย่าซูจะไม่ลำเอียงต่อเสี่ยวเถียน จึงยืนกรานที่จะให้พวกเขาดื่มให้ได้
ปัญหาเรื่องกินหมดไป แต่ปัญหาเอกสารการเรียนแก้ยาก
สิบปีแล้วกว่าจะมีการรับสมัครนักศึกษาสอบเข้ามหาวิทยาลัย และทุกอย่างก็วุ่นวายมาก พวกอาจารย์ก็ไม่รู้ว่าจะทบทวนให้นักเรียนอย่างไร
ก่อนหน้านี้เสี่ยวเถียนได้จดเนื้อหาทบทวนไว้บางส่วน แต่ตอนนี้เหมือนว่ามันจะไม่พอ และเนื้อหาก็ยังดูไม่ครอบคลุมมากนักด้วย
เฉินจื่ออันเป็นคนที่ไม่เคยให้ความช่วยเหลือใครอยู่แล้ว แต่หลังจากที่พวกเรามีความสัมพันธ์ในรูปแบบอาหลาน อีกฝ่ายก็ซื้อเอกสารใหม่ล่าสุดจากร้านหนังสือซินหวามาให้
ที่จริงมันก็ช่วยไม่ได้หรอกที่ต้องใช้เส้นสาย
นับตั้งแต่ที่มีประกาศว่าจะมีการรับสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง ที่ประตูหน้าร้านหนังสือซินหวามีคนต่อแถวซื้อเอกสารทบทวนบทเรียนทั้งกลางวันและกลางคืน
เพราะจำนวนคนที่มากกว่าที่ตัวอำเภอจะจัดสรรหนังสือให้ได้ จึงทำให้เกิดปริมาณความต้องการที่มากกว่าการขายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บางครั้งรอทั้งวันทั้งคืนก็ไม่อาจซื้อได้ด้วยซ้ำ
ตอนที่พวกโส่วเวินได้รับเอกสาร พวกเขารู้สึกเหมือนมันเป็นสมบัติล้ำค่า
ในขณะเดียวกัน เสี่ยวเถียนก็ได้รับเอกสารแนวข้อสอบจากระบบห้องสมุดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอรู้สึกประหลากใจที่ได้รับมันมา
มีเอกสารแนวข้อสอบเสมือนจริงพวกนี้ ดูเหมือนปัญหาต่าง ๆ จะได้รับการแก้ไขแล้ว
ถึงจะไม่รู้ว่ามูลค่ามากเท่าไร แต่มูลค่าของมันคงไม่น้อยอย่างแน่นอน
เสี่ยวเถียนรู้ตั้งนานแล้วว่าหนังสือจากร้านหนังสืออากาศจะเป็นแบบสุ่ม และหนังสือที่ออกมาตอนนี้มีประโยชน์ต่อเธอ
แนวข้อสอบในรอบนี้มีไว้สำหรับการสอบเข้าของพวกพี่ ๆ ใช่ไหม?
หนังสือของห้องสมุดอากาศจะไม่ปรากฏให้คนอื่นเห็น เสี่ยวเถียนจึงทำได้เพียงคัดลอกทีละคำถามลงไป
ตามลักษณะของห้องสมุดอากาศ เธอทำได้แค่คัดลอกพวกมันในตอนอ่านหนังสือเท่านั้น
พออ่านจบ หนังสือก็จะกลับเข้าระบบโดยอัตโนมัติ และจะไม่เห็นมันอีกครั้ง
ถ้าเป็นหนังสือธรรมดา ลองคิดดูนะ อิงจากความทรงจำของเสี่ยวเถียน เธอสามารถจำเนื้อหาได้มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป แต่เรื่องแนวข้อสอบเสี่ยวเถียนไม่กล้าคิดเกินกว่านั้น
สามวันที่เธอคัดลอกแนวข้อสอบทั้งหมดได้ยี่สิบหกชุด ใช้ทั้งกระดาษและเวลาไปไม่น้อย
พี่แปดกับพี่เก้าอยากจะชวนน้องเล็กมาเล่นด้วย แต่โดนอีกฝ่ายขับไล่ออกมา
แถมทั้งสองยังแซวอีกด้วยว่าเสี่ยวเถียนตั้งใจกว่าคนจะไปสอบจริง ๆ เสียอีก
ในตอนเที่ยงของวันอาทิตย์ ตัวอักษรสุดท้ายก็เขียนลงไปอย่างเป็นระบบระเบียบ เสี่ยวเถียนวางปากกาในมือลงและนวดแขนที่บวมปวดของตัวเอง ก่อนจะมองกระดาษแนวข้อสอบตรงหน้า เธอรู้สึกถึงความสำเร็จจากการพยายามของเธอ
ถ้าสิ่งนี้มันมีประโยชน์ทุกอย่างที่เธอลงแรงทำก็จะไม่ไร้ประโยชน์
แต่ก่อนที่เธอจะเอากระดาษไปให้พวกพี่ ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูเสียก่อน
คนที่มาไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียไปจากหัวหน้าซู เถาฮวา และฉือเก๋อ
คุณย่าซูสึกแปลกใจเป็นอย่างมาก และถามพวกเขาว่ามากันได้อย่างไร
“ยุวชนในหงซินเอาแต่พูดถึงว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกลับมาแล้ว เลยคิดว่าเด็ก ๆ พวกนี้น่าจะเข้าร่วมาสอบบ้างก็เลยมาดูน่ะ”
ซูฉางจิ่วยิ้มก่อนจะมองลานบ้านหลักตระกูลซู ทว่ามันเงียบสนิทไม่มีเสียงสักแอะ ไม่รู้เลยด้วยว่าเด็ก ๆ อยู่หรือเปล่า!
“วันนี้เด็ก ๆ ไปโรงเรียนหรือ?” เถาฮวาก็สังเกตเห็นเช่นกันจึงเอ่ยถาม
“พวกเราอยู่กันหมดค่ะป้าเถาฮวา วันนี้วันหยุด” เสี่ยวเถียนวิ่งออกไป ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสดใส
“แล้วทำไมบ้านถึงเงียบฉี่ไม่มีเสียงแบบนี้?” ซูฉางจิ่วบ่นอุบ “เกือบคิดว่าไม่มีใครอยู่บ้านซะแล้ว”
ใครจะรู้เล่าว่าพอเขาพูดเช่นนี้ คุณย่าซูกลับส่งสัญญาณมือบอกให้เขาเงียบ ๆ
ซูฉางจิ่วงุนงง หมายความว่าอย่างไร?
“อย่ารบกวนตอนเด็ก ๆ อ่านหนังสือสิ ช่วงนี้เขายุ่งกันมากเลย”
ฉือเก๋อยิ้มก่อนเอ่ยเสียงเบา “เห็นแล้วล่ะว่าพวกเขาตั้งใจขนาดไหน”
หญิงชราต้อนรับแขกให้เข้ามานั่งในบ้าน ก่อนจะเอ่ยว่า “ทำไมอาจารย์ฉือถึงมาด้วยล่ะคะ?”
คนคอกวัวไม่สามารถออกไปไหนได้โดยไม่มีเหตุผลที่เป็นทางการ
เป็นไปได้ไหมว่าอาจารย์ฉือกำลังจะได้รับการกอบกู้ชื่อเสียงแล้ว?