บทที่ 244 รวมพล

“แล้วทำไมพี่อี้หย่วนถึงไม่มาด้วยคะ?” เสี่ยวเถียนไม่ได้คิดสิ่งใดเยอะ จึงนึกถึงพี่ชายคนนั้น

มาเรียนที่อำเภอตั้งนานแล้ว เธอเลยไม่ได้เจออีกฝ่ายนานแล้ว

พี่อี้หย่วนอยู่หงซินจะต้องเหงามากแน่ ๆ

ก่อนหน้านี้พวกเราไปขึ้นเขาด้วยกัน ตอนนี้ที่หงซินเหลือแค่พี่อี้หย่วนคนเดียว เขาต้องเสียใจแน่!

ฉือเก๋อลูบหัวเสี่ยวเถียน “ฉันมาลาป่วยน่ะ พี่อี้หย่วนมาไม่ได้”

พอคุณย่าซูได้ยินอีกฝ่ายขอลาป่วย ก็รีบถามทันที “อาจารย์ฉือเป็นอะไรไปคะ? ทำไมถึงป่วยได้ล่ะ? ร้ายแรงมากไหม?”

ซูฉางจิ่วรีบตอบ “ไม่เป็นไรหรอก ๆ พวกเด็ก ๆ กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันเลยคิดว่าจะให้อาจารย์ฉือมาช่วยสอน”

เขาคิดว่าเด็ก ๆ ในเมืองได้เรียนที่โรงเรียนอยู่แล้ว ไม่เหมือนเด็กพวกนี้ที่ไม่ได้ไปโรงเรียนมานาน พอกลับมาเรียนก็แค่ช่วงสั้น ๆ อาจจะตามไม่ทันอยู่แล้ว

โชคดีที่ฉือเก๋อเคยเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมาก่อน ดังนั้นเขาต้องรู้วิธีการสอนแน่ จึงส่งอีกฝ่ายมาที่นี่

รอยยิ้มบนใบหน้าของเสี่ยวเถียนสดใสมากขึ้นเรื่อย ๆ

ดีจังเลย ถ้ามีคนสอนก็ดีกว่าเรียนด้วยตัวเองเสียอีก

เสี่ยวเถียนนึกถึงเอกสารแนวข้อสอบที่เพิ่งคัดลอกเสร็จ ก็รีบวิ่งกลับห้องไปหยิบออกมาปึกหนึ่ง

ฉือเก๋อเพิ่งจะดื่มน้ำร้อนไปอึกหนึ่งให้ร่างกายอุ่น เขาพลันเห็นเสี่ยวเถียนวิ่งหอบกระดาษออกมา

“ไอ๊หยา หลานรัก ช้าลงหน่อยสิ!” คุณย่าซูตะโกนเมื่อเห็นเสี่ยวเทียนรีบวิ่ง และกังวลว่าขาสั้น ๆ นั้นจะสะดุดล้มเอาไว้

ฉือเก๋อดูประหลาดใจมาก

ครั้งนี้เขามาหาพวกโส่วเวิน แต่เด็กโต ๆ ไม่ออกมา แต่ดันเอาน้องเล็กสุดมาแทน?

ก็ใช่ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หงซิน เสี่ยวเถียนเป็นเด็กที่ขยันหมั่นเพียรที่สุด

“เสี่ยวเถียน หลานมีอะไรไม่เข้าใจตรงไหนหรือ?”

“ไม่ค่ะคุณปู่ฉือ เมื่อไม่นานมานี้หนูคัดลอกคำถามข้อสอบมา พวกพี่ ๆ อาจได้ใช้ แต่หนูยังไม่สบายใจก็เลยให้ปู่ดูค่ะ” เสี่ยวเถียนรีบส่งกระดาษคำถามใส่มือ

ฉือเก๋อรับมาไว้อย่างลังเล เขาไม่เชื่อว่าเสี่ยวเถียนจะเอาคำถามที่มีประโยชน์ต่อพวกพี่ ๆ มาให้ได้

ไม่ใช่ว่าเขาดูถูก แต่เสี่ยวเถียนยังเด็ก ถึงจะฉลาดแต่ก็เพิ่งอยู่มัธยมต้นปีที่หนึ่งและคำถามที่เอามาได้ก็ไม่มีประโยชน์ต่อพวกเขาด้วย

เป็นไปได้ไหมที่พอเด็กหญิงเห็นคำถามยาก ๆ ก็รู้สึกว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อพี่ ๆ?

จิตใจของฉือเก๋อยุ่งเหยิง แต่ก็ตั้งใจอ่านอย่างจริงจัง

ถ้าไม่ดูก็ไม่ต้องเครียดแล้ว ทว่าพอเขาดูก็ต้องตกใจ

ต้องบอกเลยว่าคำถามพวกนี้ดีมาก

เขาไม่กล้าพูดว่าข้อสอบจะออกพวกนี้ แต่ถ้าทำความเข้าใจกับคำถามให้กระจ่าง ก็อาจสอบได้คะแนนดีได้

“เสี่ยวเถียน ไปคัดลอกมาจากไหนหรือ?” ฉือเก๋อเพ่งมอง และรู้สึกตื่นเต้นมาก!

“ก่อนหน้านี้หนูไปเจอตอนไปสถานีรีไซเคิลค่ะ พอได้ยินว่าจะมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยคัดลอกมันมา”

เสี่ยวเถียนจะบอกได้อย่างไรว่าเป็นเอกสารฉบับใหม่?

บอกไม่ได้แน่นอน

โชคดีที่ฉือเก๋อไม่ใช่พวกซักไซ้ถึงต้นตอ ถึงจะสงสัยว่าเสี่ยวเถียนจำได้ถึงขนาดนั้นเลยหรือ แต่ก็ไม่ถามอะไรมาก

ในเมื่อเสี่ยวเถียนว่าแบบนั้น เขาเองก็เชื่อแบบนั้น

“ดีเลย ดีมาก ๆ รีบเอาไปให้พวกพี่ ๆ ดูเถอะ ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็มาถามฉันได้”

ทันทีที่ฉือเก๋อว่า โส่วเวินก็ขยี้หัวเดินออกมา

ผมสั้น ๆ ยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว

เสี่ยวเถียนเห็นแบบนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้

พอเขาเห็นพวกฉือเก๋อก็อ้าปากค้าง กะพริบตาปริบ ๆ

“คุณปู่ฉือ หัวหน้าซู ป้าเถาฮวา พวกคุณมาได้ยังไงกันครับ?”

ซูฉางจิ่วยิ้ม “ไม่ได้มาเพราะพวกเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือไง? ทบทวนกันเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

โส่วเวินตอบ “ก็ดีครับ แต่มีบางจุดที่ไม่เข้าใจ พรุ่งนี้เลยจะไปถามครูครับ”

“ไม่ต้องไปหรอก พวกเราพาอาจารย์ฉือมาเป็นกรณีพิเเศษเลย ให้พวกเขาตอบกระจ่างปัญหาให้ พวกเธอต้องพยายามให้ดีนะ!”

ระดับความรู้ของซูฉางจิ่วไม่สูง แต่มันไม่ได้ขวางเขาจากการคาดหวังว่าชุมชนหงซินเราจะสร้างคนมีความสามารถออกมาได้

โดยเฉพาะนักศึกษา ช่างเป็นเกียรติจริง ๆ!

ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งนี้ นอกจากจะมีเด็กบ้านนี้ห้าคนแล้ว ยังมียุวชนเจ็ดหรือแปดคนในหงซินมาบอกว่าจะสมัครสอบด้วย

ตกเย็น ซูฉางจิ่วยังไม่ได้กลับไป แต่อยู่คุยเรื่องนี้กับเหล่าซานแทน

เหล่าซานไม่ได้คิดเยอะ แล้วยังบอกอีกว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับพวกเขาที่อยากจะสอบผ่านและกลับไปที่เมือง

ใครจะรู้เล่าว่า ซูฉางจิ่วกลับถอนหายใจออกมา

“ถ้าพวกเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วกลับเมืองได้จริง ๆ คนในชุมชนเราคงน่าสงสารน่าดู โดยเฉพาะพวกเด็ก ๆ”

ตอนที่เสี่ยวเถียนเดินผ่าน เธอบังเอิญได้ยินพอดีจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักใจ

ครั้งก่อนมียุวชนเพียงคนเดียวที่สอบได้ แล้วเขาก็จากไป

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้คนในชุมชนก็ไม่เคยเห็นเขาคนนี้อีกเลย ทิ้งไว้แต่ลูกและภรรยาม่ายให้มีชีวิตขมขื่น

การสอบครั้งต่อไปต้องกำหนดไว้เฉพาะคนโสด มียุวชนหลายคนในชุมชนที่หลอกให้หย่า และสุดท้ายก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยก่อนหนีไป

แน่นอนว่ายังมีคนที่ถูกบ้านภรรยาบังคับไม่ให้ไปสอบด้วย หลังจากนั้นหลายปีผ่านไปชีวิตก็เป็นไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน*[1]

จากนโยบายมีบางคนได้รับผลประโยชน์ ทว่าก็มีบางส่วนที่ต้องเป็นฝ่ายแบกรับภาระแทน

ปัญหาแบบนี้เสี่ยวเถียนช่วยแก้ไขไม่ได้ และไม่มีหนทางจะช่วย

ซูฉางจิ่วเห็นเสี่ยวเถียนจ้องมองไปข้างหน้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จึงถามด้วยความสงสัย “เหล่าซาน เสี่ยวเถียนเป็นอะไรน่ะ?”

ครั้นเห็นลูกสาวมองไปข้างหน้าอย่างโง่เขลา เหล่าซานก็งุนงงเช่นกัน พอจะเข้าไปถามอีกฝ่ายกลับตอบสนองเสียก่อน

“พ่อคะ!”

“เสี่ยวเถียน เมื่อกี้คิดอะไรอยู่?”

“คิดเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยค่ะ!” เสี่ยวเถียนตอบเรียบ ๆ

ซูฉางจิ่วได้ยินก็อดขำไม่ได้แล้วเอ่ยแซว “ดูเสี่ยวเถียนซิ เป็นคนที่คิดการใหญ่ แค่นี้ก็คิดเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว”

เสี่ยวเถียนอยากจะบอกนักว่าหัวหน้าซูคิดมากไปเอง แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ดีถ้าพูดถึงความกังวลของตัวเองออกไป กลัวอีกฝ่ายจะสงสัยเอาได้

อีกอย่างถ้าบอกไป แล้วอีกฝ่ายจะมีวิธีแก้ได้หรือ?

จับมัดไว้ไม่ให้พวกเขาไปสอบได้ไหม?

“หนูต้องกลับไปอ่านหนังสือแล้วค่ะ ลุงหัวหน้ากับพ่อคุยกันไปก่อนนะคะ!”

ตอนเสี่ยวเถียนกลับเข้าไปในบ้าน เธอสงบสติได้ไม่นานก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้ากับครอบครัวที่กำลังจะแตกแยก

เช้าวันรุ่งขึ้น ซูฉางจิ่วกลับหงซินไป แม้ว่าการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ในฐานะหัวหน้ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทิ้งไปไม่ได้

ส่วนเถาฮวากับฉือเก๋ออยู่ในอำเถอ

ฉือเก่อต้องสอนเด็ก ๆ ส่วนเถาฮซามาช่วยคุณย่าซูดูแลพวกเด็ก ๆ

พอเมื่อเธอเห็นอาหารที่คุณย่าซูทำให้เด็ก ๆ นั้นก็รู้สึกละอายใจมากยิ่งขึ้น

เธอให้แค่ธัญพืชเอง ไม่คิดว่าบ้านซูจะมีทั้งเนื้อทั้งไข่ แล้วยังให้ดื่มนมอีก

ชั่วขณะหนึ่งที่เถาฮวาไม่รู้จะขอบคุณครอบครัวซูอย่างไร จึงเรียกลูกสาวมาแล้วบอกว่าอย่าลืมบุญคุณของพวกเขานะ ไม่ว่าจะสอบได้หรือไม่ได้ก็ตาม

*[1] เป็นการพูดถึงเหตุการณ์วุ่นวายจนไก่หมากระเจิดกระเจิง