ตอนที่ 85-1 อย่าไล่บ่าวไป
ทัวเป่าเจิ้นยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะกล่าวว่า:
“ข้าบังเอิญผ่านมา จึงตัดสินใจแวะมาสักการะพระพุทธรูปในวัดนี้”
มุมริมฝีปากของหลี่เว่ยหยางขยับขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยัน:
“โอ้? องค์ชายสามมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเช่นกันหรือ?”
หัวเป่าเจิ้นพบว่าคําถามของหญิงสาวค่อนข้างแปลก จึงเอ่ยถามว่า:
“ทําไมข้าถึงจะไม่ศรัทธาเล่า?”
จากนั้นหลี่เว่ยหยางได้หันไปยิ้มให้กับรูปปั้นของพระโพธิสัตว์ในห้องโถงด้วยริมฝีปากที่โค้งจนเป็นรอยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ให้คําอธิบายที่ชัดเจนแก่เขา
มันจึงทําให้หัวเป่าเจิ้นรู้สึกหงุดหงิดมากแต่ก็ไม่ได้แสดงความขุ่นมัวนี้ออกมา และยังคงยิ้มต่อไปขณะที่เขาเอ่ยถามทั่วเป่าหยุที่อยู่ด้านข้าง:
“เจ้าเข้าใจคํากล่าวของเซียนจหรือไม่?”
ในความเป็นจริงทั่วเป่าหยูก็รู้สึกสงสัยเช่นกันกับเขา แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดตนเองจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าหลี่เว่ยหยางมีความเกลียดชังต่อหัวเป่าเจิ้นยิ่งนัก
และบางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทําไมเขาจึงช่วยนาง ส่วนสาเหตุที่ทั้งสองคนบาดหมางกันนั้นเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด? เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้
อย่างไรก็ตามหลี่เว่ยหยางเคยบอกกับตัวเองเอาไว้ว่า ในชีวิตนี้นางจะไม่ยอมให้ทั่วเป่าเจิ้นได้ในสิ่งที่เขาต้องการ แต่สําหรับเรื่องอื่น ๆ นางสามารถปล่อยวางนี้ และทุกครั้งที่เห็นหน้าเขานางก็อดไม่ได้ที่จะแสดงกิริยา เหยียดหยามผู้ชายคนนี้
เนื่องจากเมื่อเห็นเขา ภาพทรงจําเก่า ๆ ก็มักจะผุดขึ้นมาในมโนนึก โดยผู้ชายคนนี้เคยสัญญาว่า เขาจะพานางไปสู่จุดสูงสุดที่งดงามซึ่งมันเรื่องที่น่าขบขัน แต่ชาติที่นางกลับตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช แล้วนางจะทําผิดพลาดซ้ําสองได้อย่างไร?
และเมื่อคิดได้ดังนั้น หญิงสาวก็หันกลับมากล่าวว่า:
“ตอนนี้คนในครอบครัวคงกําลังตามหาตัวข้าดังนั้นคงต้องขอตัวก่อน เชิญองค์ชายทั้งสองตามสบาย..”
นางกล่าวลาอย่างเป็นพิธีการและพาไปซื้อกับจ้าวหยูเดินกลับออกไป ขณะที่หัวเป่าเงินที่ต้องการจะหยุดนาง แต่หัวเป่าหยูก็รีบก้าวเข้ามาขวางทาง ส่งผลให้ปรากฏแสงเย็นพาดผ่านออกมาจากดวงตาของหัวเป่าเจิ้นในตอนที่เขากล่าวว่า:
“น้องเจ็ด เจ้ากําลังพยายามทําอะไรอยู่?”
หัวเป่าหยูยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์:
“พี่สาม! ท่านไม่ทราบจริง ๆ หรือว่าเซียนจไม่ต้องการสนทนากับท่าน?”
ทั่วเป่าเจิ้นเย้ยหยันและกล่าวว่า:
“เจ้ากลายเป็นผู้ส่งสารให้กับนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
หัวเป่าหยไม่ได้ตอบโต้แม้แต่น้อย หัวเป่าเจิ้นพบเรื่องน่าขันนี้ดวงตาของเขามืดลง:
“น้องเจ็ด! ข้าขอเตือนด้วยความหวังดีว่า แม้ว่าหลี่เว่ยหยางจะเป็นเซียนจูแต่ก็เป็นเพียงชื่อในนามเท่านั้นไม่มีความเคารพหรืออํานาจใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตําแหน่งนั้น ดังนั้นหากเจ้าต้องการแต่งงานกับนาง …ข้าแค่กลัวว่าพระมารดาของเจ้าจะเป็นคนแรกที่คัดค้าน”
ทั่วเป่าหยูไม่ได้ใส่ใจในคํากล่าวใด ๆ และไม่มีอาการสะทกสะท้าน:
“พี่สามไม่จําเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ข้าจะต้องตัดสินใจเอง และข้าเห็นว่าหาท่านควรจะสนใจเรื่องของตนเอง ได้ข่าวว่าท่านสนใจคุณหนูบ้านตระกูลหลี่เช่นนั้นควรเอาเวลาอันมีค่าของท่านไปสร้างความประทับใจให้นางจะดีกว่า”
ในความรู้สึกส่วนลึกของทั้งสองคนนี้ต่างก็ระแวงซึ่งกันและกัน และบางที่อาจจะชอบผู้หญิงคนเดียวกันซึ่งสิ่งนี้ทําให้นักบวชที่กําลังยืนอยู่ในห้องเริ่มมีเหงื่อออกมากหลังจากได้ยินบทสนทนานี้แต่เขาไม่ทราบว่าแท้ที่จริงแล้วระหว่างองค์ชายทั้งสองคนนี้มีเรื่องใดที่บาดหมางกัน?!
ทั่วเป่าหยยิ้มและหันหลังเดินจากไป
นักบวชหนุ่มยิ้มและกล่าวว่า:
“องค์ชายสาม ที่พักของฮูหยินหล่อยู่ข้างหน้า…โปรดตามมาทางนี้”
หัวเป่าเจิ้นเยาะเย้ยอย่างเย็นชาด้วยการกล่าวว่า:
“ช่วยแจ้งฮูหยินหลี่ด้วยว่า ข้ามีเรื่องสําคัญที่ต้องไป.ลาก่อน”
จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปที่ประตู ขณะที่นักบวชหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยความสงสัยว่า เหตุใดองค์ชายสามจึงรีบกลับทั้งที่เมื่อครู่เขายังกล่าวว่า ต้องการพบกับฮูหยินของตระกูลหลี่?
โดยในตอนนี้หลี่เว่ยหยางได้กลับไปที่ห้องของนางแล้วและโม่ฉกําลังทําความสะอาดห้อง จากนั้นเมื่อถึงเวลาเย็นสาวใช้ที่ทํางานอยู่ในโรงครัวก็ยกอาหารมาให้ แต่หลังจากที่หลี่เว่ยหยางทานไปได้เพียงแค่สองสามคํานางก็ลดตะเกียบลงและเรียกตัวจ้าวหยูมาที่ห้อง
ต่อมาไม่นานนักจ้าวหยูก็เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าตึงเครียดและไม่สบายใจ จากนั้นหลเว่ยหยางก็ได้เอ่ยถามว่า:
“พี่ชายของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
จ้าวหยูนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงตอบว่า:
“ข้ากับพี่ชายแอบมาพร้อมกับผู้คุมของบ้านตระกูลหลี่เพื่อคอยดูแลนายหญิง”
หลี่เว่ยหยางยิ้ม:
“คืนนี้พวกเจ้าสองคนควรกลับไปบอกหมินเต่อว่า ข้าไม่ต้องการให้คนแบบเจ้ามาอยู่เคียงข้างข้า”
จ้าวหยูรู้สึกตกใจมากจนใบหน้าของนางซีดเผือดและรีบคุกเข่าลง ขณะที่น้ําเสียงของนางสั่นเครือเมื่อนางกล่าวว่า:
“นายหญิง, บ่าวไม่รู้ว่าตนเองทําอะไรให้ท่านโกรธ แต่ได้โปรดอย่าไล่บ่าวไป”
หลี่เว่ยหยางส่ายหัว:
“อันที่จริงข้าไม่ต้องการไล่เจ้าไปแต่เป็นเจ้าที่ทําตัวเอง และนี่อาจเกิดจากสองสิ่งคือหนึ่งเจ้าไม่เข้าใจกฎส่วนประการที่สองคือ เจ้าไม่เห็นว่าข้าเป็นนายหญิงของเจ้า ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องการคนอย่างเจ้าเช่นนั้นควรกลับไปรับใช้หมินเต๋อ”
กลับไปอยู่กับคุณชายสามหรือ?
คุณชายเคยกล่าวว่า หากพวกเขาไม่สามารถดูแลหลี่เว่ยหยางให้ดีได้ เขาจะส่งทั้งสองคนกลับ แล้วท่านแม่ทัพจะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ ได้อย่างไร?
มันจะยิ่งแย่กว่าตอนนี้หลายพันเท่า! จ้าวหยูจึงกล่าวด้วยความร้อนรนว่า:
“ตอนนี้บ่าวเข้าใจแล้ว ต่อไปบ่าวไม่กล้าขัดคําสั่งของนายหญิงอีกต่อไปแล้ว หากนายหญิงสั่งบ่าวจะรีบทําทันที! และหากนายหญิงไม่ออกคําสั่งบ่าวจะต้องไม่เข้าไปแทรกแซงเด็ดขาด! บ่าวขอร้อง!ได้โปรดอย่าส่งบ่าวกลับไปมิฉะนั้นพี่ชายของบ่าวกับบ่าวคงจะต้องถูกขับออกไปอยู่ข้างถนนอย่างแน่นอน!”