บทที่ 267 รักเขาอย่างสุดหัวใจ
ได้ยินเสียงฝีเท้า ลี่จุนถิงก็คิดว่าคือซู่จี้งยี้กลับมาอีกครั้ง กำลังจะถามว่ายังมีอะไรอีก แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนที่มาคือส้งหวั่นหวั่น
แทบจะเป็นชั่วพริบตาเดียวกัน ลี่จุนถิงสีหน้าเย็นเยียบลงมาทันที
ไม่พูดว่าเขาไม่ได้ชอบส้งหวั่นหวั่นมากแต่แรกอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ก็รู้แล้วว่าเรื่องของถวนจื่อกับเจียงหยุนเอ๋อมีส่วนเกี่ยวข้องกับส้งหวั่นหวั่น ปมในใจเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
“จุนถิง” ส้งหวั่นหวั่นแสร้งทำเป็นมองไม่ออกว่าลี่จุนถิงเฉยชาใส่ตัวเอง ถือซุปในมือเดินไปหาอย่างกระตือรือร้น “นี่คือซุปที่ฉันต้มเองกับมือเลย นายทำงานนานขนาดนี้เหนื่อยแย่แล้วสินะ มาดื่มซุปก่อนเถอะ ยังร้อนๆอยู่เลย”
ขณะที่พูด ส้งหวั่นหวั่นก็ทำเป็นไม่ได้ตั้งใจแกว่งมือของตัวเองไปมาต่อหน้าลี่จุนถิง หวังให้เขาเห็นพลาสเตอร์ปิดแผลของตัวเอง
นี่เป็นแผลที่วันนี้ตอนเธอหั่นผักแต่ไม่ได้ตั้งใจบาดโดน แต่เพื่อลี่จุนถิงแล้ว ต่อให้มีแผลก็ไม่ใช่ปัญหาจริงไหม?
ตอนนี้ความรู้สึกของส้งหวั่นหวั่นหวานชื่นมาก แต่ลี่จุนถิงไม่ได้อยากสนใจเธอเลย
“ไม่ต้อง เธอเอากลับไปเถอะ” ลี่จุนถิงพูดอย่างนิ่งเฉย
“ได้ยังไงกัน!” ส้งหวั่นหวั่นใจร้อนจนกระทืบเท้าหนึ่งที “นี่คือฉันตั้งใจทำเพื่อนายเลยนะ จุนถิง นายต้องชิมหน่อยสิ!”
ลี่จุนถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากพัวพันกับส้งหวั่นหวั่นอีกจึงพูดโพล่งขึ้น “ก็ได้ ฉันรู้แล้ว งั้นเธอเอามาตั้งตรงนี้”
เห็นลี่จุนถิงไม่หนักแน่นแล้ว สีหน้าของส้งหวั่นหวั่นก็ฉายแววดีใจออกมาทันที
นี่หมายความว่าลี่จุนถิงเริ่มเปิดใจให้ตัวเองแล้วใช่ไหม? ไม่ว่ายังไงนี่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีเลย!
ถ้าลี่จุนถิงรู้ว่าส้งหวั่นหวั่นมีความคิดแบบนี้ต้องรู้สึกตลกมากแน่ๆ เพราะเขาไม่อยากให้ส้งหวั่นหวั่นอยู่พัวพันกับเขาที่นี่ต่อจริงๆ
ความอดทนที่เขามีต่อส้งหวั่นหวั่นถึงขีดจำกัดแล้วจึงไม่มีจิตใจไปสนใจเธออีก
หลังจากที่ตั้งซุปบนโต๊ะแล้ว ส้งหวั่นหวั่นก็ยืนอยู่ข้างๆ ไม่มีท่าทีจะออกไปเลยสักนิด
ลี่จุนถิงอดทนอย่างเงียบๆก่อน แต่สุดท้ายก็ทนอยู่ห้องเดียวกันกับส้งหวั่นหวั่นไม่ได้แล้วจริงๆ “ทำไมเธอถึงยังไม่ไป?”
มุมปากของส้งหวั่นหวั่นพลันแข็งทื่อขึ้นมา เล่นเส้นผมของตัวเองอย่างกระอักกระอ่วนพลางพูดขึ้น “ฉัน……ฉันก็แค่อยากอยู่เป็นเพื่อนนายอีกหน่อย”
“ฉันกำลังจะไปประชุมแล้ว เธอกลับไปก่อนเถอะ” ท่าทีของลี่จุนถิงบ่งบอกชัดเจนมากแล้ว ก็คืออยากให้ส้งหวั่นหวั่นรีบออกไปจากที่นี่
ส้งหวั่นหวั่นเม้มปากเบาๆ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกไม่ยอมมาก แต่ก็ต้องตกลงอย่างจำใจ “ก็ได้ งั้น……จุนถิง ฉันไปก่อนนะ ซุปนั่น นายอย่าลืมดื่มล่ะ”
ลี่จุนถิงไม่สนใจเธอ แค่โฟกัสกับงานของตัวเอง
ก่อนที่จะไป ส้งหวั่นหวั่นก็นึกถึงเรื่องงานแต่งขึ้นมาจึงกำชับลี่จุนถิงอีกครั้ง “จริงสิ จุนถิง ตอนบ่ายอย่าลืมหาเวลาว่างมาด้วยนะ พวกเราต้องไปดูชุดเจ้าสาวกับเครื่องประดับกัน”
“อืม” ลี่จุนถิงตอบกลับโดยที่เหมือนกำลังเหมือนคิดอะไรอยู่ไปด้วย หลังจากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่ออีก
ส้งหวั่นหวั่นไปได้ไม่นาน ลี่จุนถิงก็มองซุปกระดูกบนโต๊ะหงุดหงิด จึงโทรเรียกให้ซู่จี้งยี้มา
“ไปเทซุปนี้ทิ้ง”
พอซู่จี้งยี้มาถึง ลี่จุนถิงก็พูดทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น
ซู่จี้งยี้รู้ว่านั่นคือส้งหวั่นหวั่นเอามาให้ ถึงแม้เขาก็ไม่ได้ชอบส้งหวั่นหวั่นมากเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นน้ำใจของเธอ ทำแบบนี้กลับทำให้ซู่จี้งยี้รู้สึกผิดขึ้นมาแปลกๆ
“คุณชายลี่ แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้งครับ?” ซู่จี้งยี้กังวลว่าลี่จุนถิงจะโมโหเพราะตัวเองใจอ่อนชั่วขณะ น้ำเสียงนั่นจึงพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง
ลี่จุนถิงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองเขาเล็กน้อยพลันรู้สึกตลกกับความคิดของเขา “ถ้าคุณเสียดาย งั้นคุณก็เอาไปดื่มแล้วกัน”
ได้ยินที่พูดใบหน้าของซู่จี้งยี้ก็ฉายแววกระอักกระอ่วนขึ้นมา ให้เขาดื่มซุปนี้ให้หมด ให้เขาเอาไปเททิ้งยังจะดีกว่า!
“ไม่เป็นไรครับคุณชายลี่ แบบนี้ก็ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่” ซู่จี้งยี้หัวเราะเก้อๆ
“แล้วคุณยังจะพูดมากไร้สาระอะไรอีก? เอาไปเททิ้งสิ”
เห็นลี่จุนถิงยืนหยัดขนาดนี้ ซู่จี้งยี้ก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวต่อ ถือซุปนั้นไปเททิ้งทันทีเลย
ตอนที่กลับมา ลี่จุนถิงก็ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆก็พูดโพล่งขึ้นมากับเขา “จริงสิ ส้งหวั่นหวั่นบอกจะไปเลือกเครื่องประดับกับชุดเจ้าสาวตอนบ่าย”
ในตอนแรกซู่จี้งยี้ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของลี่จุนถิง คิดอยู่สักพักจึงพูดหยั่งเชิงว่า “ครับ งั้นผมตอนบ่ายจะส่งท่านไป”
“คุณไปแทนผม” ลี่จุนถิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าจะพูดสิ่งที่ซู่จี้งยี้คาดคิดไม่ถึงออกมา
อะไรนะ? ให้เขาไปแทนลี่จุนถิง? นี่มันได้ยังไงกัน?
ไม่พูดว่าถึงเวลานั้นส้งหวั่นหวั่นจะมีปฏิกิริยายังไง ถ้าตระกูลส้งรู้เรื่องนี้เข้า ต้องไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆแน่
หน้าผากของซู่จี้งยี้เริ่มผุดเหงื่อเย็นขึ้นมา จากสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เขาแทบจะพูดโพล่งออกมาจากจิตใต้สำนึก “คุณชายลี่ครับ เรื่องนี้ผมไปแทนท่านไม่ได้นะครับ ผมจัดการซุปให้ท่านได้ แต่เรื่องชุดเจ้าสาวต้องให้ท่านไปจัดการเองเท่านั้นครับ”
ลี่จุนถิงเบ้ปาก แสดงชัดเจนมากว่าไม่เต็มใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แม้กระทั่งใบหน้าก็แสดงความหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ซู่จี้งยี้รู้ความรู้สึกที่ลี่จุนถิงมีต่อเจียงหยุนเอ๋อ ให้เขาทำเรื่องแบบนี้มันก็ลำบากใจเขาจริงๆ แต่ว่าให้ตัวเองไปแทนลี่จุนถิง แบบนี้ไม่ยิ่งทำให้คนลำบากใจกว่าเหรอ!
ทั้งสองเงียบไปชั่วขณะ ซู่จี้งยี้ถึงลองพูดเกลี้ยกล่อม “คุณชายลี่ครับ เรื่องบ่ายวันนี้ทั้งสองตระกูลต้องกำลังจับตาดูอยู่แน่ๆ ต่อให้ท่านไม่อยากทำแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็แค่แสร้งทำก็ยังดีจริงไหมครับ? ไม่อย่างนั้นมันก็ดูไม่ดีจริงๆ”
ลี่จุนถิงหลับตาลงช้าๆ เขาคือแม้แต่แค่แสร้งทำก็ไม่อยาก ไม่อยากแม้กระทั่งเสียเวลาไปรับมือกับส้งหวั่นหวั่น เสียดาย……สถานการณ์ไม่อนุญาตให้ทำแบบนี้ได้
เพื่องานแต่งจะดำเนินได้อย่างราบรื่น ตอนนี้เขายังฉีกหน้ากับตระกูลส้งไม่ได้
และที่ซู่จี้งยี้พูดมาก็มีเหตุผล ต่อให้ในใจเขาจะไม่เต็มใจมากแค่ไหน เรื่องบางเรื่องก็ต้องยอมก่อนชั่วคราว
อย่างน้อยเขาก็ยังปลอบใจตัวเองได้ว่านี่คือเตรียมเพื่ออนาคตใช่ไหมล่ะ?
……
บ่ายวันนั้น ส้งหวั่นหวั่นไปร้านชุดเจ้าสาวแต่เนิ่นๆ แต่ในใจกลับกังวลเล็กน้อย
ท่าทีเมื่อตอนบ่ายของลี่จุนถิงแสดงชัดว่าแค่ทำแบบขอไปที ถ้าบ่ายวันนี้เขาหาข้ออ้างไม่มา แล้วตัวเองจะทำยังไง?
พ่อแม่ของตัวเองก็รู้แล้วว่าตัวเองนัดกับลี่จุนถิงไว้แล้ว ถ้าให้พวกเขารู้ว่าลี่จุนถิงเบี้ยวนัด จะต้องไม่พอใจลี่จุนถิงมากแน่ๆ
ส้งหวั่นหวั่นรู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองหนักแน่นขนาดนี้ ไม่แน่พ่อแม่จะไม่ให้งานแต่งของเธอกับลี่จุนถิงดำเนินต่อไปก็เป็นได้
แต่ใครให้เธอรักลี่จุนถิงอย่างสุดหัวใจล่ะ?