บทที่ 266 ไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว
อีกฝ่ายเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าลี่หยูนห่วนจะต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีวู่วามมากนัก แค่พูดเสียงเรียบเฉยว่า “คุณลี่ เรื่องนี้ทางเราก็ไม่ใช่ต้องร่วมมือกับพวกคุณเท่านั้น ผมเองก็ไม่อยากทำให้คุณต้องลำบากใจ ถ้าคุณไม่ตกลงก็ไม่เป็นไรนะครับ”
ประโยคนี้พูดออกมาเหมือนง่ายมาก แต่ลี่หยูนห่วนรู้ดีว่าอีกฝ่ายมั่นใจว่าตัวเองต้องไม่ตกลงแน่นอน เพราะฉะนั้นคืออยากยุติร่วมมือกับเขาอย่างเด็ดขาดสินะ
ลี่หยูนห่วนรู้ว่าบทสนทนานี้ไปต่อไม่ได้แล้วจึงตัดสายลงอย่างไม่ลังเล
หลังจากที่ตัดสาย ลี่หยูนห่วนก็ยังรู้สึกโมโหจึงกัดฟันทุบโต๊ะ “น่าเกลียด! ถึงช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ จู่ๆก็มาขอให้เพิ่มผลกำไร ไม่รู้จริงๆว่าพวกมันคิดอะไรอยู่กันแน่!”
โครงการนี้สำคัญต่อบริษัทของพวกเขามาก ผู้ช่วยก็วุ่นอยู่กับโครงการนี้มานานจึงไม่อยากยอมแพ้แบบนี้ง่ายๆเลยอดไม่ได้ที่จะโน้มน้าวต่อ “เจ้านายครับ จริงๆแล้ว……ต่อให้เป็นสี่สิบเปอร์เซ็นต์พวกเราก็ทำได้นะครับ แค่ว่าถึงเวลากำไรเราจะน้อยลงประมาณสองเท่าแค่นั้นเองครับ”
พูดจบ ผู้ช่วยก็รีบพูดเสริมต่อ “ถึงแม้จะไม่ได้กำไรมากเท่ากับแผนเดิมที่เราวางไว้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นขาดทุน และที่สำคัญ ครั้งนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีมากของพวกเราจริงๆนะครับ ผมคิดว่า……ควรรักษาโอกาสไว้นะครับ”
ที่ผู้ช่วยพูดมา ลี่หยูนห่วนจะไม่รู้ได้อย่างไร?
พวกเขาลงทุนและพยายามกับโครงการนี้มากขนาดไหน ลี่หยูนห่วนก็เห็นอยู่ในสายตา และตัวเองก็ทุ่มเทลงไปไม่น้อยด้วย แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของผลกำไรอย่างเดียว ที่สำคัญกว่านั้นคือ——เงินทุน
“ที่นายพูดมาคิดว่าฉันจะไม่รู้หรือไง? แต่นายจะให้ฉันหาเงินมากมายขนาดนั้นให้พวกมันจากไหน?” ลี่หยูนห่วนพูดอย่างหงุดหงิด
เงินทุนของพวกเขาตอนนี้ก็แค่พอดีกับข้อเรียกร้องผลกำไรสามสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ดูแลอีกฝ่ายเท่านั้น ถ้าจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นสี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็จะยังขาดอีกเยอะมาก
ลี่หยูนห่วนไม่รู้เลยจริงๆว่าเวลาสั้นๆแค่นี้เขาจะหาวิธีอะไรมาเติมจำนวนเงินที่ขาดไปให้เต็มได้
ผู้ช่วยได้ยินก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน แต่ก็ไม่ยอมที่จะยอมแพ้แบบนี้ ดังนั้นจึงพยายามคิดหาวิธีในห้องทำงานอย่างสุดความสามารถ
ผ่านไปได้ไม่นาน จู่ๆผู้ช่วยก็พูดโพล่งขึ้น “จริงด้วย เจ้านายครับ เจ้านายมีอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายใต้ชื่อของท่านมากขนาดนี้ ถ้าช่วยไม่ได้แล้วจริงๆ พวกเราเอามันไปจำนำก่อนก็ได้ รวมทั้งหุ้นที่อยู่ภายใต้ชื่อของท่านก็ฝากให้คนที่เชื่อถือได้เอาไปขายชั่วคราวก่อน ถึงเวลานั้นค่อยซื้อกลับมาก็ไม่ขาดทุนนี่ครับ”
ผู้ช่วยคิดว่าความคิดของตัวเองดีเลิศมาก แต่กลับได้อารมณ์โกรธจัดของลี่หยูนห่วนมาแทน “นายบ้าไปแล้วเหรอ? กล้าให้ฉันไปขายใบหุ้น? ถ้าให้ท่านปู่รู้เข้าต้องตีฉันตายแน่!”
เห็นลี่หยูนห่วนโกรธจัดขนาดนี้ ผู้ช่วยก็กลัวจนตัวหดเล็กน้อย หน้าผากเริ่มมีเหงื่อไหลออกมา แต่ก็ยังคงฝืนทนพูดต่อ “เจ้านาย ที่ท่านพูดมาผมก็รู้ดี แต่……ตอนนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วนะครับ”
เห็นลี่หยูนห่วนเงียบไม่พูด ผู้ช่วยจึงลองหยั่งเชิงถาม “หรือว่า……พวกเราจะยกเลิกโครงการพวกนั้นจริงๆเหรอครับ?”
“ไม่มีทาง!” ลี่หยูนห่วนปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ตลก พวกเขาทุ่มแรงกายแรงใจไปเท่าไร จะให้ยกเลิกแบบนี้ได้ยังไง!
ครั้งก่อนทุ่มเงินทุนไปตั้งเยอะ ถ้ายอมแพ้ตอนนี้ก็ต้องขาดทุนย่อยยับแน่นอน!
ยิ่งไปกว่านั้น โครงการพวกนี้ก็คือโอกาสดีที่จะให้เขาพลิกตัวได้ อย่าว่าแต่ผู้ช่วยไม่ยอมเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็จะให้ยอมได้อย่างไร?
ผู้ช่วยเห็นว่าลี่หยูนห่วนไม่ได้อยากยกเลิกโครงการจึงรีบพูดโน้มน้าวต่อ “เพราะฉะนั้นไงครับเจ้านาย พวกเราตอนนี้ก็ต้องทุ่มสุดตัว! นอกจากวิธีนี้แล้วพวกเราก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วนะครับ!”
ได้ยินที่พูด ลี่หยูนห่วนก็เริ่มลังเลขึ้นมาแล้ว
เขารู้ว่าที่ผู้ช่วยพูดมีเหตุผล วิธีนั้นก็ใช้ได้จริงๆ แต่ลี่หยูนห่วนเป็นคนที่ขี้ระแวงอยู่แล้ว คนที่เขาเชื่อใจได้ก็มีไม่เยอะนัก
ถ้าระหว่างนี้เกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ท่านปู่ลี่ต้องไม่ปล่อยเขาแน่ๆ!
ลี่หยูนห่วนคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องนี้วางไว้ก่อน รอให้ฉันกลับไปปรึกษากับพ่อแล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
ถึงแม้ลี่หยูนห่วนไม่ได้ตกลงทันที แต่ก็ยอมไปคิดดูแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ช่วยก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกัน
“ได้ครับ เจ้านาย”
……
ฝั่งของลี่จุนถิง ซู่จี้งยี้ก็กำลังรายงานเขาเรื่องนี้
“อืม……ตอนนี้เพิ่มผลกำไรมาสี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ตอนนี้ลี่หยูนห่วนน่าจะยังไม่มีเงินมากมายขนาดนี้” ลี่จุนถิงพูดพลางลูบคางของตัวเองไปด้วย
ซู่จี้งยี้ก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ครับ แต่ว่าพวกเขาทุ่มเงินทุนไปกับโครงการนี้มามาก คิดว่าไม่น่าจะยอมแพ้ง่ายขนาดนั้น ไม่แน่สุดท้ายก็คงต้องยอมครับ”
ได้ยินซู่จี้งยี้พูดแบบนี้ สายตาของลี่จุนถิงก็ฉายแววเยาะเย้ยออกมา “ต้องแน่นอนอยู่แล้ว มันไม่ใช่อยากถือโอกาสนี้มากดหัวผมหรอกเหรอ? ต้องคิดหาเงินมาชดเชยส่วนที่ขาดนี้แน่นอน”
ซู่จี้งยี้เห็นสีหน้าของลี่จุนถิงก็เดาว่าเขาต้องมีวิธีอะไรแล้วแน่ๆจึงถามออกไป“คุณชายลี่ความหมายของคุณคือ……”
“ลี่หยูนห่วนตอนนี้ทำได้แค่ใช้ทรัพย์สินส่วนบุคคล หรืออาจจะ……ขายหุ้น” ลี่จุนถิงพูดอย่างเรียบเฉย
“ว่าไงนะครับ?” ซู่จี้งยี้มองลี่จุนถิงอย่างคาดไม่ถึง เขาไม่ได้คิดถึงข้อนี้เลย แต่พอลี่จุนถิงพูดขึ้นมาแบบนี้เขาก็คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงอยู่เหมือนกัน
ลี่จุนถิงชายตาขึ้นมองซู่จี้งยี้พลางพูดว่า “ช่วงนี้นายก็จับตาดูลี่หยูนห่วนให้ดีๆ ไปดูว่ามันคิดจะขายใบหุ้นหรือเปล่า ถ้ามันทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ อย่าลืมไปขวางไว้”
“ครับ” ซู่จี้งยี้รีบขานรับ
ทั้งสองคุยเรื่องงานอื่นกันต่ออีกสักพัก ซู่จี้งยี้ก็เดินออกจากห้องไป
เพิ่งเดินออกจากห้องทำงานเขาก็เจอเข้ากับส้งหวั่นหวั่นที่มาหาลี่จุนถิงพอดี
ส้งหวั่นหวั่นเห็นซู่จี้งยี้เดินออกมาก็เผยรอยยิ้มอ่อนหวานให้เขา “ผู้ช่วยซู่”
ซู่จี้งยี้แค่พยักหน้าให้เธออย่างหมางเมิน จากนั้นก็เดินผละจากเธอไป
เห็นแบบนี้ รอยยิ้มบนหน้าของส้งหวั่นหวั่นก็พลันแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย
ลี่จุนถิงเฉยชากับเธอก็ว่าไปอย่าง ตอนนี้แค่ผู้ช่วยเล็กๆก็กล้ามาเหยียบหัวเธองั้นเหรอ?
สายตาของส้งหวั่นหวั่นฉายแววโกรธแค้นออกมา รอให้ลี่จุนถิงรักเธอแล้วจริงๆก่อนเถอะ พวกที่ชักสีหน้าไม่ดีใส่เธอพวกนั้น เธอจะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!
นึกขึ้นได้ว่าลี่จุนถิงยังอยู่ในห้องทำงาน ส้งหวั่นหวั่นก็รีบระงับความคิดพวกนั้นไว้แล้วถือซุปไก่ในมือเข้าไปในห้องทำงาน