ตอนที่ 298 เข้าร่วมประชุมเพื่อหาเงิน
ตอนที่ 298 เข้าร่วมประชุมเพื่อหาเงิน
สือจื่อจิ้นชำเลืองมองพนักงานต้อนรับและถามว่า “คุณชื่ออะไร”
เมื่อเห็นสือจื่อจิ้นแสดงสีหน้ายินดีกลับมา พนักงานต้อนรับก็คิดว่าตัวเองโชคดีพอที่ได้รับความโปรดปรานจากเขา และรีบบอกชื่อตัวเองไปทันที
สือจื่อจิ้นพยักหน้าและพูดกับทุกคนว่า “เข้าไปข้างในกันเถอะ”
เฉินเทียนเจียวที่เดินตามมาข้างหลังและพูดกับพนักงานต้อนรับด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “ไอ้หนุ่ม นายจะต้องโชคร้ายแน่ ๆ”
พนักงานต้อนรับไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้
ศูนย์ประชุมทั้งหมดมี 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นส่วนต้อนรับ บริเวณนี้ไว้สำหรับพักผ่อน และห้องจัดเลี้ยง แม้ว่าการตกแต่งจะไม่หรูหราเท่าไหร่นัก แต่ก็มีสไตล์ สามารถเห็นร่องรอยการใช้งานตามกาลเวลา ไม่เหมือนอาคารสำนักงานในเถาหยาง ที่บ่งบอกได้ว่าเป็นอาคารใหม่
ในล็อบบี้ที่ชั้นหนึ่ง มีผู้คนเป็นจำนวนมาก และผู้คนจากฐานต่าง ๆ ก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน
ซูเถามองจากระยะไกลเห็นคนที่ยืนรอบตัวหัวหน้าสวี่ฉาง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขามีรูปร่างสูง ก็คงมองไม่เห็นเขาแล้ว
คนที่มาจากฉางจิงได้รับการต้อนรับที่ดีจริง ๆ เห็นได้จากผู้คนที่ยืนอยู่รอบ ๆ ตัวเขา ดูเทคแคร์เอาใจใส่เป็นพิเศษ
และในขณะเดียวกัน หัวหน้าสวี่ก็จ้องมองไปที่ประตู เมื่อเขาเห็นซูเถา เขาก็พยักหน้าและยิ้มให้เธอ
ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักกัน และได้ร่วมเดินทางมาด้วยกันครึ่งทาง แต่หัวหน้าสวี่ก็รู้สึกคุ้นเคยกับซูเถามากที่สุด และเขาก็ถูกใจกับรถของเด็กหญิงคนนั้นด้วย
ตอนนี้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา ต่างก็มองไปที่ประตู
มีคนถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “หัวหน้าสวี่กำลังมองใครอยู่ คนที่อยู่ตรงประตูเป็นใครมาจากไหนยังไง”
“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน แต่ดูเหมือนหัวหน้าสวี่จะสนิทสนมกับพวกเขาพอสมควร”
มีเพียงไม่กี่คนที่จำสือจื่อจิ้นได้ “นั่นคือกัปตันกองทัพบุกเบิกของตงหยาง ได้ยินมาว่าฉางจิงต้องการเชิญเขามาทำงานด้วย ก็ไม่แปลกใจที่จะรู้จักกับหัวหน้าสวี่”
“ใช่ แม้ว่าตงหยางจะพัฒนาได้ไม่ดีนัก แต่กองทัพบุกเบิกนั้นไม่ธรรมดาเลย เราไม่สามารถประเมินความแข็งแกร่งของพวกเขาต่ำเกินไป เห็นว่าสัตว์เลื้อยคลานที่ออกอาละวาดในช่วงนี้ กัปตันกองทัพบุกเบิกก็เป็นคนจับมันได้เป็น ๆ ใช่ไหม”
“เหมือนจะใช่นะ เห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีด้วย ตอนแรกคิดว่าเขาเป็นชายตัวใหญ่หัวโล้นเสียอีก”
…….
ระยะทางมันไม่ได้ใกล้ขนาดนั้น ซูเถาจึงเห็นพวกเขาทำการกระซิบกระซาบกันเท่านั้น
ในเวลานี้ เจ้าหน้าที่หลายคนมาหาเธอ และหลังจากอ่านจดหมายเชิญของพวกเขาแล้ว ก็ถูกเจ้าหน้าที่นำทางขึ้นไปที่บนชั้นสอง
แต่ละฐานที่เข้าร่วมจะมีบูธขนาดตั้งแต่ 20 ถึง 50 ตารางเมตร แต่ละบูธเป็นเหมือนกึ่ง ๆ ร้านค้า ที่ไม่ได้มีแค่ชื่อฐานเท่านั้นแต่ยังมีเคาน์เตอร์และที่นั่งพักข้างในด้วย
สามารถวางสินค้าหรือตัวอย่างของฐานไว้บนเคาน์เตอร์ ซึ่งผู้เข้าร่วมทุกคนสามารถมาที่นี่ในช่วงพักครึ่ง และเมื่อสิ้นสุดการประชุมแต่ละครั้งก็จะได้สื่อสารและพูดคุยเรียนรู้กันและกัน หรือเพื่อเจรจาข้อตกลงทันที
ที่นี่เต็มไปด้วยโอกาสและการติดต่อ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเกณฑ์สำหรับการเข้าประชุมสุดยอดพันธมิตรจึงสูงมาก เนื่องจากค่าสถานที่นั้นมีค่าและเป็นที่ต้องการอย่างมาก
เดิมทีสือจื่อจิ้นต้องการพาซูเถาไปที่ห้องรับรองวีไอพีเพื่อพักผ่อน เพราะยังมีเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนเริ่มการประชุม ดังนั้นเธอสามารถไปพักผ่อนก่อนได้
แต่ซูเถาเต็มไปด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับบูธของฐานต่าง ๆ บนชั้นสอง ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธข้อเสนอของเขา
สือจื่อจิ้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามใจเธอ เขาเองก็ไม่ได้เข้าไปพักในห้องรับรองวีไอพีเช่นกัน แต่กลับตามไปที่ชั้นสอง
แต่ก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้ส่งข้อความถึงหลิงเทียนจี้ โดยบอกว่าในช่วงบ่ายจะไปเข้าพบ และถือโอกาสพูดถึงสิ่งที่พนักงานต้อนรับที่ประตูทำ
ใบหน้าของหลิงเทียนจี้เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อได้รับข้อความ และเขาก็โทรหาผู้จัดการสนามทันทีและตำหนิเขาชุดใหญ่
“พวกนายเลือกคนมายังไง? ฉันไม่ได้ย้ำหรือไงว่าให้หาคนที่มีไหวพริบเฉลียวฉลาด แล้วไปเอาคนที่พูดจาดูถูกคนอื่นมาได้ยังไง ตัวเองวิเศษวิโสมาจากไหน! ไล่คนคนนั้นออกไปเดี๋ยวนี้!”
ผู้จัดการภาคสนามเหงื่อแตกพลั่ก อยากจะกลับไปฆ่าพนักงานต้อนรับเสียตรงนั้น
“รีบเอาคนคนนั้นออกไปให้เร็วที่สุด หัวหน้าสวี่ไม่เคยยอมให้ทรายเข้าตา ถ้าเขาเจอคนแบบนี้ ปีนี้ฐานซินตูได้ตกรอบแน่!”
ผู้จัดการสนามพยักหน้าและรีบไปจัดการด้วยความไม่พอใจ
ใบหน้าของหลิงเทียนจี้ลุกลี้ลุกลน สือจื่อจิ้นถึงขนาดเอ่ยปากเตือนเขาถึงเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
เขาอดไม่ได้ที่จะพาจั๋วเอ่อร์เฉิงไปด้วย และย้ำข้อควรระวังในศูนย์ประชุม
“เอ่อร์เฉิง จะสำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ที่ความละเอียดรอบคอบ อย่าให้เรื่องเล็กน้อยแบบนี้มาทำให้ฉันเสียหน้า”
จั๋วเอ่อร์เฉิงตอบรับ และเมื่อเขาออกไป ใบหน้าของเขาก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
เจียงจิ่นเวยซึ่งบังเอิญเข้ามาจากช่องทางพิเศษ เมื่อเธอหันไปเห็นเขา เธอก็กำลังจะพุ่งตัวเข้าไปหาเขาเหมือนเด็ก ๆ แต่เขามองเธอกลับมาอย่างเย็นชา
เจียงจิ่นเวยจึงไม่กล้าพูดอะไร
จั๋วเอ่อร์เฉิงสงบสติอารมณ์ลงชั่วขณะและพูดกับเธอ “วันนี้ผมยุ่งมาก ถ้าคุณไม่มีอะไรทำ คุณไปเดินเล่นซื้อของก่อนก็ได้ หรือไม่ก็ไปหาน้องสาวคุณเพื่อพูดคุยปรับความเข้าใจกันก่อน อย่าเพิ่งมาหาผมตอนนี้”
เขาเริ่มรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าฉิงฉิงมีเหตุผลและอยู่เป็นมากกว่า
เพราะตอนนี้เธอยังคงเข้าคิวอยู่ข้างนอกภายใต้อุณหภูมิที่ร้อนจัด และแค่ทางโทรมาถามเขาว่ายุ่งอยู่หรือเปล่า พอเธอเข้าไปในสถานที่ได้แล้ว ถ้าอยากให้เธอช่วยเป็นธุระให้ก็โทรหาเธอได้ แต่เธอไม่ได้ร้องขอให้เขาช่วยพาเธอเข้าผ่านช่องทางพิเศษเลย
เจียงจิ่นเวยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเฝ้าดูเขาก้าวออกไปด้วยความเสียใจ
เธอจะไปเดินเล่นที่ไหนได้ล่ะ การประชุมที่นี่เธอก็ฟังอะไรไม่เข้าใจ และก็ไม่รู้จักใครที่นี่ที่จะให้สนทนาด้วย
เธอลืมแม้กระทั่งเรื่องของซูเถาไปแล้วด้วยซ้ำ
ในขณะที่เธอคิดแบบนั้นก็เหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นเคย คนคนนั้นคือซูเถา!
เธอกำลังเดินตามกลุ่มคนไปที่ชั้นสอง
เจียงจิ่นเวยลืมสิ่งที่จั๋วเอ่อร์เฉิงพูดกับตนเองเมื่อครู่ไปเสียสนิท
เธอต้องเข้าหาซูเถาเพื่อปรับความเข้าใจและกระชับความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องเหรอ? ไม่มีทาง
เธอตัดสินใจหาเพื่อนที่เข้ากันได้ในที่ประชุม
……
ขณะพาพวกเขาขึ้นไปยังชั้นสอง เจ้าหน้าที่ก็อธิบายข้อควรระวังในการประชุมด้วยเสียงแผ่วเบา
ตัวอย่างเช่น ไม่สามารถใช้พลังความสามารถในการกระตุ้นความขัดแย้งและข้อพิพาท ให้รักษาความสงบเรียบร้อยในการประชุม และอื่น ๆ
“เมื่อถึงสถานที่ที่ถูกจัดไว้ให้ ฐานตงหยางอยู่ในพื้นที่โซน c ฐานอู๋ไถอยู่ในพื้นที่โซน b และผู้เข้าร่วมที่ไม่ใช่ฐานสามารถพักผ่อนในพื้นที่นิทรรศการกลาง ขอให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างมีความสุข”
ผู้คนในเถาหยางที่ถือจดหมายเชิญที่แตกต่างกันและมองไปที่ซูเถาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ซูเถากล่าวว่า “ไปที่บูธของตงหยางก่อน จากนั้นค่อยเดินไปตามบูธต่าง ๆ ตามอัธยาศัย เฉินหยางและเจิ้งซิง ทั้งสองคนต้องตามฉันมา”
เจิ้งซิงรีบตอบตงลงโดยไม่ต้องคิด อาจารย์ของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาต้องฟังแต่คำพูดของเถ้าแก่ซู
เฉินหยางที่กำลังตื่นเต้นสงบลงทันทีและพยักหน้าอย่างยอมจำนน
แม้ว่าเขาจะกังวลมากและอยากออกไปหาพี่ใหญ่เหลย แต่แม่ของเขาบอกว่าเขาต้องฟังพี่เถาจื่อเท่านั้น เพราะหากเขาไม่เชื่อฟัง ในอนาคตเขาก็จะถูกห้ามออกจากเถาหยางอีก
เขาไม่รู้ว่าพี่ใหญ่เหลยของเขาเป็นยังไงบ้าง ครั้งก่อนพี่หั่วเสอบอกว่าต้องการให้เขาพูดถึงพี่ใหญ่เหลยต่อหน้าพี่เถาจื่อบ่อย ๆ หน่อย และพูดถึงเขาในสิ่งที่ดี
เขาสาบานได้เลยว่าเขามีเรื่องดี ๆ อยากพูดมากมาย เขาอยากจะพูดจริง ๆ และเขาพูดทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ส่วนใหญ่แล้วพลตรีสือจะอยู่เคียงข้างพี่เถาจื่อตลอด และเมื่อใดก็ตามที่เขาพูดบางอย่างเกี่ยวกับพี่ใหญ่เหลย พลตรีสือจะจ้องมองที่ตนเอง
เห็นได้ชัดว่าดวงตาคู่นั้นไม่ได้ดุร้ายอะไร แต่เขากลับรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
บูธของตงหยางมีขนาด 30 ตารางเมตร วัสดุที่ใช้ในการสร้างบูธนั้นคล้ายกับพลาสติกแข็ง โครงสร้างโดยรวมนั้นค่อนข้างเรียบง่าย ง่ายต่อการสร้างและรื้อถอน มีข้อความแนะนำมากมายที่พิมพ์อยู่บนผนังของบูธ เช่น การพัฒนา ความเป็นมาของฐาน คำอธิบายรูปภาพ ฯลฯ
ภายในบูธ สิงซูอวี่และหยางอิ๋งหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ตงหยางกำลังจัดเรียงของที่เคาน์เตอร์
โดยมีผู้ช่วยมาอีกสองคนที่คอยช่วยเหลือ ช่วยจัดของต่าง ๆ
พวกเธอนำผลิตภัณฑ์พิเศษและรูปถ่ายของตงหยางมาด้วย
เป็นเรื่องน่าละอายเล็กน้อยที่กล่าวว่าตงหยางพัฒนามาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว แต่ไม่มีความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มีเพียงการรักษาพยาบาลและการศึกษาเท่านั้นที่สามารถทำได้
ในทุกปี ไฮไลท์ที่ใหญ่ที่สุดของตงหยางคือภาพถ่ายของโรงพยาบาลและโรงเรียน
แต่ในปีนี้ตงหยางมีผลงานใหม่ ๆ คือตัวอย่างของสัตว์เลื้อยคลานที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์
ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่านอกจากฉางจิงแล้ว ไม่มีฐานใดที่สามารถจับสัตว์เลื้อยคลานทั้งเป็นเพื่อการวิจัยเชิงลึกได้
แน่นอนว่าเมื่อตัวอย่างสัตว์เลื้อยคลานถูกแสดง เจ้าหน้าที่จากฐานทั้งหมดรอบ ๆ บูธก็จ้องมองมาตาไม่กะพริบ
ซูเถาค่อนข้างอิจฉา ถ้าเถาหยางมีบูธของตัวเองก็คงดี
เธอทักทายสิงซูอวี่และหยางอิ๋ง และมองไปที่เคาน์เตอร์ซึ่งยังมีพื้นที่ว่าง และทันใดนั้นก็ถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
“คนหน้าไม่อายอย่างฉันขอใช้พื้นที่ว่างตรงนั้นได้ไหม”
หยางอิ๋งเป็นหญิงวัยกลางคน รูปร่างท้วม เธอมีใบหน้ากลมและมีรอยยิ้มที่เป็นมิตร
หยางอิ๋งรู้จักซูเถาผ่านสิงซูอวี่มานานแล้ว ดังนั้นซูเถาถือว่าไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเธอ จึงพูดด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนค่ะ ที่ตรงนี้เราไม่ได้ใช้ คุณอยากเอาของของเถาหยางมาวางใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
ซูเถาพยักหน้าขอบคุณ จากนั้นขอให้ฟางจือนำตู้แช่แข็งออกมาและถามสิงซูอวี่
“เสียบปลั๊กที่บูธได้ไหม”
สิงซูอวี่ชี้ไปที่เท้าของเธอ “ตรงนี้มีเต้าเสียบ แต่หลังจากการประชุมจบลง เราต้องจ่ายค่าไฟนะ”
ซูเถาพูดอย่างใจดี “ฉันจะแบ่งกำไรให้พวกคุณ 10%”
ตอนแรกสิงซูอวี่ไม่รู้ว่า 10% มันคือเงินประมาณเท่าไหร่ จนกระทั่งเธอเห็นว่าซูเถาตั้งราคาน้ำแร่หนึ่งขวดไว้ที่ 500 เหลียนปัง และราคาของเครื่องดื่มอื่น ๆ ขายอยู่ที่ 500-3,000 เหลียนปังต่อขวด เธอก็ต้องหายใจเข้าลึก ๆ
หากเธอจำไม่ผิด ราคาต่อหน่วยของเครื่องดื่มเหล่านี้ในเถาหยางจะไม่เกิน 100 เหลียนปัง
จะบอกว่าเธอเป็นแม่ค้าหน้าเลือดก็คงไม่ผิด
หยางอิ๋งซึ่งไม่เคยอาศัยอยู่ในเถาหยาง ไม่คิดว่ามันแพง ตรงกันข้ามเธอทำให้ซูเถารู้สึกสบายใจขึ้นกว่าเดิมโดยการขึ้นราคาอย่างกล้าหาญอีกครั้ง โดยบวกเพิ่มอีก 300 เหลียนปังที่ด้านบนของขวดแต่ละขวด
“เชื่อฉันสิ มีคนซื้อน้ำแร่ขวดละ 800 แน่นอน งานประชุมนี้มีแต่คนรวย ๆ”
ซูเถารับคำแนะนำของเธออย่างรวดเร็ว
เธอมาที่นี่เพื่ออะไร? หาเงิน!