การที่มีฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ร่วงไม่ใช่ลางที่ดีนักในความคิดของชาวต้าโจว โบราณกล่าวไว้ว่า หากฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ร่วงจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ทุกครั้งที่เกิดฟ้าร้องในฤดูใบไม้ร่วงหมายความว่าในปีหน้าจะพบแต่ภัยพิบัติ
สีหน้าของเจียงอีเปลี่ยนไปทันที นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีลมพัดแรง
ลมพัดต้นไม้ใบหญ้าโอนเองอย่างรุนแรง
บ่าวรับใช้สองคนที่ถูกพี่น้องทั้งสองสั่งให้ไปรอไกลๆ บัดนี้ได้พากันวิ่งเข้ามา คนหนึ่งคืออาหมาน อีกคนหนึ่งคืออาหยา ส่วนอาจูบ่าวรับใช้ข้างกายของเจียงอีไม่ได้เดินตามเข้ามา นางกลับไปเก็บของที่ห้องรับรอง
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ! ฝนกำลังจะตกแล้ว” อาหมานวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและหยุดอยู่ข้างกายของเจียงซื่อ
เจียงซื่อจึงชี้ไปที่มุมหนึ่งท่ามกลางต้นไม้เขียวขจี พบว่ามีชายคายื่นออกมา “ข้ากับพี่ใหญ่จะไปหลบฝนที่นั่น เจ้ากลับไปเอาอุปกรณ์กันฝนมา”
เมื่อพบว่าฝนกำลังจะตก เจียงซื่อก็ไม่กล้าปล่อยให้เจียงอีที่ร่างกายอ่อนแอต้องเปียกฝน นางจึงกำชับให้อาหมานกลับไปเอาอุปกรณ์กันฝน เนื่องจากฝนตกในครั้งนี้จะตกนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ หากว่าตกอยู่เป็นเวลานานจะให้สองพี่น้องอยู่แต่ในศาลาตลอดไปคงไม่ได้
อาหมานได้ยินดังนั้นจึงคุกเข่ารับคำสั่ง “เจ้าค่ะ”
“ให้อาหยากลับไปเถิด อุปกรณ์กันฝนที่อาจูเอามาด้วยอยู่ในห้องรับรอง ที่นี่อยู่ใกล้กับห้องรับรองหน่อย”
เจียงซื่อมองไปทางบ่าวรับใช้ที่ชื่อว่าอาหยา
มองไปแล้วแม่สาวน้อยอายุไม่น่าเกินสิบสี่สิบห้าปี หน้าตาดูละเอียดอ่อน ท่าทางสงบนิ่ง มองไปก็รู้ว่านางดูเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
จากนั้นเมื่อนางนึกไปว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้ถูกเข้ามาแทนที่อาเจิน เจียงซื่อจึงไม่วางใจอาหยาเท่าไรนัก นางกล่าวขึ้นว่า “ให้พวกนางไปด้วยกันเถอะ จะได้มีเพื่อน”
เจียงอีชะงักลงเล็กน้อยก่อนจะตอบรับคำ
สองพี่น้องเดินไปพลางสนทนากันไป โดยไม่รู้ตัวว่าเดินไปในจุดที่ไกลโพ้น ตามปกติแล้วในกลางวันบริเวณวัดไม่มีอะไรน่ากลัว แต่เมื่อพบว่าบัดนี้ฝนกำลังจะตก ทั้งฟ้าร้องทั้งฟ้าผ่า จะให้บ่าวรับใช้ตัวน้อยเดินกลับไปคนเดียวก็ดูจะใจร้ายเกินไป
“รีบไปรีบกลับ” เจียงซื่อกำชับ
“คุณหนูวางใจได้” อาหมานหันไปดึงอาหยา “รีบไปกันเร็วเข้า ประเดี๋ยวฝนก็ตกหรอก”
เมื่อเห็นว่าสองบ่าวรับใช้วิ่งไปไกลแล้ว เจียงซื่อก็ได้จูงมือเจียงอีวิ่งไปที่ศาลานั้น
ในศาลามีขนาดเล็กมาก ซ่อนอยู่ด้านหลังต้นไม้สูงใหญ่ หากไม่ตั้งใจมองก็คงไม่รู้ว่ามีที่เช่นนี้อยู่ด้วย สองพี่น้องวิ่งเข้าไปในศาลา ทันใดนั้นเม็ดฝนขนาดใหญ่ก็ตกลงมา
ด้านนอกศาลามีลมพัดกระโชกแรง กิ่งไม้แกว่งไปมา ชายคาของศาลาถูกเม็ดฝนซัดใส่จนร่วงหล่นลงพื้น ชายคาทั้งหกกลับกลายเป็นม่านฝน
“ฝนตกหนักจริง” เมื่อมองออกไปยังสายฝนอันหนาเม็ด เจียงอีก็พึมพำออกมา
บัดนี้สามีของนางเดินเล่นอยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่าเขาจะพบกับสถานที่เหมาะสำหรับหลบฝนหรือไม่
ความหนาวเย็นพัดเข้ามาจากทุกทิศของศาลาพร้อมกับเม็ดฝน ทำให้ผิวหนังที่อยู่ด้านนอกเสื้อผ้าหนาวจนสั่นสะท้าน
“น้องสี่ เจ้าหนาวหรือไม่” เจียงอีเอื้อมมือมาจับมือเจียงซื่อไว้ และพบว่ามืออันอ่อนนุ่มของหญิงสาวเย็นเหลือเกิน
เจียงอีเป็นกังวลขึ้นมาทันใด ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา เจียงซื่อก็ได้พูดขัดขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ มีคนมา!” เมื่อเจียงซื่อกล่าวจบ นางก็ไม่ได้สนใจกับปฏิกิริยาของเจียงอี แต่รีบดึงนางไปซ่อนตัวหลังต้นไม้ใหญ่ด้านข้างศาลา ต้นไม้นั้นมีขนาดสองคนโอบได้
กิ่งก้านของต้นไม้เขียวขจีปกคลุมไม่ให้เม็ดฝนไหลลงมาเกือบได้ทั้งหมด มีเพียงหยดน้ำเล็กๆ ที่หล่นลงมาบนร่างกายของหญิงสาวทั้งสอง แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดทำให้เสื้อผ้าเปียกปอน
เมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องก้องเข้ามาในหู เจียงซื่อก็ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบๆ เคยมีคนบอกนางว่าเวลาฟ้าร้องอย่าหลบอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่เช่นนั้นอาจถูกฟ้าผ่าได้โดยง่าย และผู้ที่บอกนางเช่นนี้ก็คืออวี้ชี
เมื่อเสียงฝีเท้าย่างก้าวเข้ามาเรื่อยๆ ในใจของเจียงซื่อก็สงบลงอย่างรวดเร็ว นางกุมมือของเจียงอีเอาไว้แน่น บัดนี้เจียงอีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเช่นกัน นางหันไปมองดูเจียงซื่อด้วยความสงสัย และนางก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องซ่อนตัวเมื่อรู้ว่ามีคนมา ดูเหมือนไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย
แต่เจียงซื่อกลับไม่ส่งเสียงใดออกมา นางส่ายหน้าเบาๆ
หากเป็นคนธรรมดาไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่จำเป็นจะต้องซ่อนตัวเช่นนี้ แต่ว่าบัดนี้ฝนตกแรง ประกอบกับกลิ่นเลือดจางๆ ที่ผสมปนเปกับดินโคลนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงฝีเท้านั้นก็เดินใกล้เข้ามาเช่นกัน
สถานการณ์เช่นนี้ ปฏิกิริยาของเจียงซื่อก็คือต้องหลบเอาไว้ก่อน
เมื่อเห็นเจียงซื่อเป็นเช่นนี้ เจียงอีก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างหมดหนทาง แล้วมองไปทางทิศทางที่ได้ยินเสียง
ในไม่ช้าก็มีคนสองคนเดินตามกันเข้ามาอยู่ในศาลา
หนึ่งในสองคนนั้นสวมชุดยาวดูสะอาดสะอ้านและสง่างาม
อีกคนหนึ่งแต่งตัวเรียบร้อย หน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเครา มันดูเหมือนพวกเขาจะเข้ากันไม่ได้เลย
สายตาของเจียงซื่อจับจ้องไปยังผู้ที่มีหนวดเคราครึ้ม
เนื่องจากกลิ่นเลือดจางๆ มาจากบุคคลนี้
แต่เจียงอีไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ นางเพียงมองไปยังชายแปลกหน้าสองคนด้วยความรู้สึกโชคดีเหลือเกิน
มองดูก็รู้ว่าชายคนที่มีหนวดคราวไม่ใช่คนดีอะไร ดังนั้นหวังว่าน้องสี่จะไม่ไปก่อเรื่องอันใดขึ้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ จึงรู้สึกว่าการที่น้องสี่ลากตนมาหลบนั้นเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว
“เฮ้อ เวลาแบบนี้จู่ๆ ฝนก็มาตกเอาได้” ชายคนที่มีหนวดเครารุงรังมองไปรอบกายก่อนจะบ่นออกมา
ชายผู้สวมชุดยาวไม่ได้สนทนาต่อจากบทสนทนาเมื่อครู่ เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
ชายผู้มีเคราครึ้มยิ้มขึ้น “ส่งตัวมาแล้ว อยู่ที่เดิม”
“จากนั้นเล่า”
ดวงตาของชายที่มีเคราครึ้มเย็นวาบขึ้น “วางใจเถอะ พวกคนที่ไม่ควรปล่อยเอาไว้ จะไม่มีโอกาสเปิดปากพูดอีกต่อไป” เมื่อประโยคนี้กล่าวออกมา มือของนางที่กุมมือของเจียงอีเอาไว้ก็รัดกุม
พวกนางได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรได้ยินใช่หรือไม่
บางทีอาจเป็นเพราะกลิ่นคาวเลือดอ่อนๆ นั้น เมื่อเจียงซื่อได้ยินประโยคเหล่านี้จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
ในวันที่ฝนตกท่ามกลางศาลาอันเงียบสงบ ณ วัดบนภูเขา มีกลิ่นเลือดจางๆ ลอยมา หากว่าสองคนนี้เป็นคนธรรมดาทั่วไปนางจะรู้สึกแปลกยิ่งนัก
แต่ในไม่ช้าชายชุดคลุมยาวก็กล่าวประโยคหนึ่งออกมา เปรียบเสมือนเสียงระเบิดดังสนั่นอยู่ในใจของเจียงซื่อว่า
“สตรีผู้นั้นเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์หรือไม่”
สีหน้าของเจียงซื่อเปลี่ยนไปทันที มือที่กุมพี่สาวเอาไว้ก็สั่นคลอน
สตรีศักดิ์สิทธิ์?
ในโลกใบนี้ นางรู้จักผู้ที่ถูกเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปในชนเผ่าอูเหมียวแห่งหนานเจียง หรือว่าการที่ชายหนุ่มคนนี้เอ่ยถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์จะเกี่ยวข้องกับชนเผาอูเหมียว?
ความคิดนี้ทำให้ใจของเจียงซื่อเต้นผิดจังหวะ
เจียงอีสังเกตได้ถึงความผิดปกติไป จึงหันไปมองดูนางด้วยสายตางุนงงและเป็นห่วงกังวล
“คล้ายคลึงอยู่มากกว่าครึ่ง”
“มากกว่าครึ่งหรือ อืม เพียงพอแล้ว จากที่ข้าไปสืบมา องค์ชายเจ็ดชื่นชมสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งอูเหมียวนัก บัดนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งอูเหมียวไม่ได้เดินทางไปไหนเนิ่นนานแล้ว หากมีสตรีที่หน้าตาคล้ายคลึงกับนางปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้ คาดว่าคงจะเอาชนะใจองค์ชายเจ็บได้อย่างง่ายดาย”
เจียงซื่อกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างแน่น เพื่อควบคุมไม่ให้สติของตนเองหลุดลอยไป
สองคนนี้ต้องการจะเข้าใกล้อวี้ชีเพื่อสิ่งใดกัน
เดิมทีเจียงซื่อต้องการจะบอกกับตัวเองว่านางไม่เกี่ยวข้องอันใดกับอวี้ชี แต่เมื่อเห็นแววตาของชายชุดคลุมยาวอันโหดร้าย นางก็ละทิ้งความคิดนั้นไป
ไม่ว่าอย่างไรนางก็หวังว่าอวี้ชีจะอยู่รอดปลอดภัยอย่างสงบสุข
“อ้อจริงสิ สตรีที่คุณชายเจ็ดเข้าไปปกป้องไว้ในวันนั้น รู้หรือยังว่าเป็นผู้ใด” จู่ๆ ชายชุดคลุมยาวก็เอ่ยถามขึ้น
“สืบได้ความแล้ว เป็นคุณหนูสี่ในจวนตงผิงปั๋ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เจียงอีก็ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งและเหยียบเข้ากับกิ่งไม้แห้ง
เสียงกิ่งไม้กรอบแกรบท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำจึงดึงดูดความสนใจเป็นยิ่ง ชายเคราครึ้มลุกขึ้นยืนทันใดแล้วมองไปรอบข้างอย่างระมัดระวัง