บทที่ 293 ใจหม่นหมอง ไม่สบายไปทั่วร่าง

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 293 ใจหม่นหมอง ไม่สบายไปทั่วร่าง
บทที่ 293 ใจหม่นหมอง ไม่สบายไปทั่วร่าง

แต่ครั้งนี้ เงาร่างเขาไม่พร่ามัวอีกต่อไป ใบหน้าของชายหนุ่มเผยให้นางเห็นเต็มสองตา

ชิงอวี่คิดอย่างแรกคือคนหน้าตาดีที่มีกลิ่นอายสูงส่งดั่งเซียนเช่นเขามีอยู่จริงหรือเนี่ย

เขาอยู่ในชุดสีเขียวทั้งตัว ให้ความรู้สึกสะอาดสูงส่งนัก เหมือนกับรอยยิ้มสดชื่นบนหน้าที่ให้ความรู้สึกราวกับลมฤดูใบไม้ผลิ ใบหน้างาม เครื่องหน้าโดดเด่นเป็นสง่า ราวกับเซียนที่หลุดออกมาจากภาพวาด

หากแต่แม้จะมีใบหน้างดงามพร่างพราวเพียงไหน ชิงอวี่ก็ไม่มีความรู้สึกดีต่อเขา เอ่ยเสียงเยาะขึ้น “ก็นึกว่าท่านหน้าตาอัปลักษณ์จนทนมองไม่ได้เสียอีก!”

เขาหัวเราะเสียงทุ้มออกมา ราวกับว่าเขายืนพูดเช่นนั้นไม่ถนัดจึงนั่งยอง ๆ ลงข้างสระ เอ่ยเสียงเป็นห่วงเป็นใยขึ้น “ทำให้ข้าแปลกใจนักว่าใบหน้าข้าทำให้สายตาของเจ้าตัวเล็กที่น่าสงสารเช่นเจ้าต้องแปดเปื้อนไปหรือไม่?”

“ท่านสิเจ้าตัวเล็กที่น่าสงสาร” ชิงอวี่มุ่นคิ้วตวัดหางตามองชายหนุ่ม

โหลวจวินเหยาเองก็ชอบเรียกนางตัวเล็กตัวน้อย ได้ยินคำนั้นจากปากโหลวจวินเหยาก็ทำให้รู้สึกสนิทชิดเชื้อดี แต่พอออกจากปากชายแปลกหน้าเช่นเขากลับทำเอานางขนลุกขนพองไปทั้งตัว

“หึ ข้าไม่ใช่เจ้าตัวเล็กแล้ว กระทั่งแม่เจ้ายังเด็กกว่าข้าอีก เช่นนั้นแล้วไม่ใช่ว่าต่อหน้าข้าเจ้าก็เป็นเจ้าตัวเล็กงั้นหรือ?” ชายหนุ่มเหมือนเห็นว่านางน่าสนใจ เอ่ยคำกับนางไม่คลายยิ้ม

ได้ยินเขาเอ่ยถึงท่านแม่ ชิงอวี่ก็สายตาทะมึนลง “พวกท่านต้องการอะไรกันแน่? ในเมื่อจับข้ามาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านแม่อยู่ที่นี่ต่อแล้วกระมัง?”

“เจ้านี่ใสซื่อเสียจริง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะพลางส่ายหน้า “แม่เจ้า เป็นหนึ่งในคนบนยอดเขาใจสงบ นางเป็นของที่นี่อยู่แล้ว ซึ่งก็หมายความว่าเจ้าก็เป็นของที่นี่เช่นกัน”

“แดนเซียนในตำนาน แท้จริงแล้วก็คือสถานที่ที่เต็มไปด้วยคนกระทำการชั่วช้าสามานย์แต่ไม่เปิดเผยตัวตนกระมัง?” ชิงอวี่ส่งเสียงเยาะพลางโต้กลับ น้ำเสียงหยามเหยียด

“ไม่ต้องพยายามใช้คำยั่วยุข้าหรอก ไร้ประโยชน์” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ จากนั้นยื่นมือมาลูบไล้ใบหน้านาง ทำเอานางขนหัวลุก มองชายหนุ่มเป็นเชิงเตือน

“เจ้าเป็นเด็กดีอยู่ที่นี่เสีย อย่าคิดหนีหรือพยายามปลดโซ่ตรวนที่ข้อเท้าเล่า…..” ว่าถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็ทำทีเป็นครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นมองไปยังน้ำสีแดงที่เท้านาง

นางคงไม่….. โชคร้ายขนาดนั้นกระมัง?

หากเขาพูดจริง เช่นนั้นนางก็เกือบทำตนเองพิการไปตลอดชีวิตแล้วใช่หรือไม่?

เกือบไปแล้ว ชิงอวี่ยังตกใจกลัวไม่หาย แต่ในใจก็ด่าชายหนุ่มไปพร้อมกัน คนที่นี่ไม่เพียงจิตป่วย กระทั่งของที่ใช้ยังไม่ปกติเหมือนกัน

เห็นสีหน้าเด็กสาวเปลี่ยนแปลงไปมาแล้ว ชายหนุ่มก็คลี่ยิ้ม จากนั้นลุกขึ้นแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “เมื่อเจ้าดูดพลังจากน้ำในบ่อนี่หมดแล้ว ตอนนั้นเจ้าก็คงมีประโยชน์ขึ้นมาจริง ๆ”

พูดจบแล้วเขาก็ไม่รอให้นางตอบ แต่หายไปทันที

“นี่! อย่าเพิ่งไปสิ! ข้ายังพูดไม่จบ!!”

ชิงอวี่จ้องตรงที่ที่ชายหนุ่มหายตัวไป อดรู้สึกโกรธไม่ได้ กว่าครึ่งวันนางไม่ได้ยินเสียงใคร หลังจากได้เจอคนเขาก็ดันไปก่อนนางจะได้ถามอะไรเขาอีก?

ชิงอวี่กัดฟันแน่น สองแขนข้างกายที่เป็นอิสระตีน้ำด้วยความหงุดหงิด น้ำกระฉอกขึ้นสูง ก่อนจะตกลงมาราดหัวนางจนเปียกไปหมด

“…..” ผมนางเปียกซ่ก ใบหน้าเด็กสาวบิดเบี้ยวพูดไม่ออก นางแทบอยากจะหลั่งน้ำตาให้ความโง่เขลาที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นของตนเอง

“โอ๊ยยย เจ้าบ้านั่น!!”

นางจะถูกขังไว้ที่นี่ตลอดกาลเลยงั้นหรือ?!

—————————-

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หิมะหยุดตก ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ

ที่แปลกคือหลังหิมะหยุดแล้ว หิมะที่กองสูงถึงข้อเท้ากลับหายไปเร็วจนมองเห็นได้ชัดเจน ชั่วอึดใจเดียวก็หายกันไปหมด

ทำให้ทุกคนอดคิดไม่ได้ว่าหิมะที่โปรยลงมาทั้งคืนเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น

“ทุกคนดูนั่น! อะไรกันน่ะ?!”

สิ้นเสียงร้องประหลาดใจ ทุกคนก็หันไปตามทางที่เขาชี้นิ้ว เห็นว่าท้องฟ้าแสงสลัวที่ยังไม่ทันสว่างดี ราวกับมีรูปร่างบางอย่างกำลังค่อย ๆ เผยกายออกมา

ทว่าทุกอย่างดูพร่ามัวและเลือนรางสายตานัก กระนั้นก็ยังเห็นเป็นเส้นจาง ๆ ของสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ดูสง่างาม ล้อมรอบไปด้วยเมฆนุ่มหลายชั้น เห็นตัวอาคารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็นับเป็นภาพที่น่าตื่นตะลึงมากแล้ว

“นั่นมัน….. ยอดเขาใจสงบหรือ?” คนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่นขึ้น ราวกับไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นไว้

“มันปรากฏแล้ว! ในที่สุดมันก็ออกมาสักที!”

“ข้ารอมาพันปี ได้เห็นมันอีกครั้งหนึ่งเช่นนี้ ตายตาหลับแล้ว”

เป็นน้ำเสียงแก่ชราคนหนึ่งจากร่างเตี้ยของชายแก่ที่ผอมราวกับกิ่งไม้แห้ง ๆ ตาเหี่ยวย่นแห้งเหือดเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาอุ่น มองภาพอาคารโดดเด่นเป็นสง่าที่ค่อย ๆ เผยกายออกมาด้วยตาไม่กะพริบ ราวกับกลัวว่ามันจะหายไปหากกะพริบตา

ชายชราผู้นี้คือหนึ่งในผู้อาวุโสที่มีชีวิตพ้นพันปีบนแดนเมฆาสวรรค์ นับว่าเป็นที่รู้จักพอสมควร

พลังบำเพ็ญของเขาไม่นับว่าเป็นแถวหน้าบนแดนเมฆาสวรรค์ แต่เขามีพลังจิตเข้มแข็งมาก เป็นนักประดิษฐ์ฝีมือโดดเด่น กลั่นเกลาสิ่งประดิษฐ์ทรงพลังให้จอมยุทธ์เลื่องชื่อมาแล้วหลายชิ้น เป็นคนที่น่าเคารพไม่น้อย

เมื่อครั้งยังหนุ่ม เขาเคยมีโอกาสขึ้นยอดเขาใจสงบ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งประดิษฐ์วิญญาณที่เขากำลังลงมือทำอยู่ กลายเป็นว่ามันดูดซึมพลังชั่วร้ายเข้ามาจำนวนมาก ทำให้เลือดและลมปราณของเขาเวียนกลับ เกือบเอาชีวิตไม่รอด

เคราะห์ดีที่สุดท้ายศิษย์คนหนึ่งของเขาเห็นเข้าและช่วยเขามาได้ แต่หลังจากนั้น ผลกระทบก็กลายเป็นโรคเรื้อรัง ร่างกายไม่แข็งแรงเช่นแต่ก่อน เสื่อมถอยลงจากในอดีตที่เคยทำสิ่งประดิษฐ์วิญญาณทุกสามวัน ตอนนี้เดือนหนึ่งกลับได้แค่ชิ้นหนึ่งเท่านั้น

เคราะห์ดีที่เขายังมีศิษย์ฝีมือดีสองคนที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้ความสามารถในการทำสิ่งประดิษฐ์จากเขาโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องกังวลว่าวิชาของเขาจะตายและหายไปจากใต้หล้า

แม้ท่าทางเขาจะเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง แต่ก็ยังอยากเข้าไปเห็นสถานที่นั้น เพราะเมื่ออดีตเคยพลาดโอกาสมาแล้ว นับเป็นความเสียใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต หากไม่ได้เห็นมันกับตาเขาคงตายตาไม่หลับ

“เป็นยังไง? ข้าไม่ได้ขอให้มาโดยเสียเวลาเปล่าเห็นหรือไม่?”

เห็นใบหน้าตกตะลึงของจูเก่อฉงแล้ว ชิงเทียนหลินก็ยกยิ้มพร้อมหัวเราะ

จูเก่อฉงพยักหน้าตอบมึนงง “มหัศจรรย์มากจริง ๆ หลังจากหิมะประหลาดตกหนักแล้ว มันก็ปรากฏขึ้นมา ยอดเขาใจสงบเป็นแดนเซียนจริง ๆ ดังนั้นจะปรากฏขึ้นมาเลยต้องมีสภาพอากาศแปลกประหลาดเช่นนั้นเกิดขึ้นพร้อมกันด้วย”

ว่าแล้วจูเก่อฉงก็อดฉงนไม่ได้ “แต่จะเข้าไปอย่างไร? มันดูสูง ดูห่างไกลนัก จะให้บินขึ้นไปงั้นหรือ??”

ชิงเทียนหลินมุมปากกระตุก ก่อนจะฝืนยิ้มเอ่ยคำ “มันยังไม่ถึงเวลา ดังนั้นมันจึงยังเผยตัวไม่หมด ไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก”

จูเก่อฉงพยักหน้าแข็ง ๆ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

ทุกคนจึงรั้งอยู่ที่นั่นด้วยใจจดจ่อตื่นเต้น แม้หิมะจะตกหนักทั้งคืน อากาศหนาวจนแทบแข็งตาย แต่ก็ไม่มากพอจะแช่แข็งเพลิงปรารถนาและใจจดจ่อที่พวกเขารู้สึกอยู่ภายในได้

ในกระโจมหลังหนึ่งที่ห่างออกไปเล็กน้อย ช่างต่างกับที่อื่น ๆ ที่มีแต่เสียงโห่ร้องก้องกังวาน มันกลับเงียบสนิท ราวกับไร้ความเคลื่อนไหวใดภายในมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

ภายในมีกลุ่มชายเกราะดำร่างบึกบึนราว ๆ เจ็ดแปดคนอยู่ด้วย พวกเขานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ชายหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีน้ำเงินเดินไปเดินมาเป็นวงกลม หน้าตาเป็นกังวลนัก

“นายท่านสวินลั่ว หยุดเดินสักทีได้หรือไม่? ท่านเดินไปเดินมาทั้งคืนแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรือ? ถึงจะไม่เหนื่อย แต่ข้าเริ่มรู้สึกมึนหัวแล้ว”

ชายชุดดำทนไม่ไหวในที่สุดจึงเอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา

“นานแล้ว แต่กลับไร้วี่แวว มีแต่บอกให้รอ แล้วต้องรอไปอีกถึงเมื่อไหร่กัน? ยอดเขาใจสงบจะปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาไม่กังวลบ้างเลยหรือ? เขาไม่เห็นหรือว่ามีคนอยู่ที่นั่นเท่าไหร่…..”

ในตอนที่ใบหน้าหล่อเหลาของสวินลั่วขึ้งเคียดไปหมดนั่นเอง ใบหน้าของเหล่าคนที่นั่งอยู่บนพื้นก็กลายเป็นจริงจัง ผุดลุกขึ้นยืนตรงพร้อมเพรียงกัน เอ่ยเสียงเคารพพร้อมเพรียงออกมา “นายท่าน!”

สวินลั่วหุบปากฉับทันใด อึ้งไปหลายอึดใจแล้ว เขาก็คลี่ยิ้ม เดินเข้าไปหาคนที่เพิ่งมาถึง “นายท่านกลับมาเสียที หากยังไม่กลับข้าจะออกไปตามหาแล้วเชียว”

ชายหนุ่มร่างสูงดูดีที่เพิ่งเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นโหลวจวินเหยานั่นเอง

เขามองผ่านช่องว่างประตูกระโจม มองไปยังท้องฟ้าด้านนอกก่อนถามขึ้น “สถานการณ์ด้านนี้เป็นอย่างไร?”

“หิมะตกทั้งคืน เมื่อครู่หยุดไปกะทันหัน หิมะทั้งหลายหายไปเร็วนัก ไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิด พื้นจึงดูสะอาดกว่าเก่า”

หึ เป็นอย่างที่เขาคิดเลย

สาเหตุที่หิมะพลันโปรยลงมาคือหมายจะพรางตาหลักฐานของการกระทำชั่วช้านี่เอง!

ทั่วทั้งแดนเมฆาสวรรค์ หิมะพรำแค่ที่อารามจันทร์กระจ่างเท่านั้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสองเรื่องนี้เกี่ยวพันกันเป็นแน่

ชิงอวี่คงถูกพาตัวไประหว่างช่วงที่หิมะตก มันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยปรากฏการณ์ประหลาด แต่ด้วยน้ำมือมนุษย์ต่างหาก

โหลวจวินเหยากำมือแน่น นัยน์ตาล้ำลึกน่าผวายามจ้องมอง

หากมันกล้าทำอะไรนาง…..

“ได้ยินว่าท่านเทพเหลียนซือพาเด็กสาวหน้าตางดงามกลับมาด้วย”

เมื่ออิงเกอเดินผ่านสถานที่หนึ่ง นางก็ได้ยินทูตสวรรค์สตรีสองนางกำลังคุยกัน ไม่รู้ทำไมฝีเท้านางจึงหยุดชะงัก

“ฮี่ ๆ แล้วอย่างไร? บนยอดเขาใจสงบนี่ก็มีทูตสวรรค์รูปโฉมงดงามตั้งมากมาย ในหมู่พวกเรามีใครต้องตาท่านเทพเหลียนซือบ้าง? ที่เจ้าพูดถึงคือท่านเทพผู้สูงส่งเชียวนา เป็นตัวตนที่มองได้แต่อย่าได้หมายจะปรารถนา”

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แค่ก่อนหน้านี้ข้าเห็นใบหน้าแม่นางน้อยเจ้า อดรู้สึกว่าคล้ายกับคนในคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิง…..”

ใบหน้าเย็นชาของอิงเกอที่กำลังจะเดินจากไปพลันเบิกตากว้าง

ว่าไงนะ?