บทที่ 294 บันไดที่หายไป
บทที่ 294 บันไดที่หายไป
แม่นางน้อยที่หน้าตาเหมือนศิษย์พี่??
หรือว่า…..
อิงเกอกำมือแน่น สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ตามปกติของนางพลันขรึมลงทันใด
“ชู่… อย่าพูดพล่อย ๆ ไป คนในคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงห้ามเอ่ยถึงโดยง่าย อย่าให้ใครได้ยินเล่า ไม่เช่นนั้นจะซวยเอา”
“อืม รู้แล้ว”
ทั้งสองยังกระซิบกันสักพัก ก่อนจะเดินออกไป
อิงเกอจึงเดินออกมาจากเงามืด มองตามทิศที่พวกนางเดินจากไปด้วยหัวคิ้วขมวดแน่น
ทำอย่างไรดี?
หากเป็นอย่างที่นางคิด หากศิษย์พี่รู้เข้าไม่รู้จะลงมือทำเรื่องเกินขอบเขตอะไรลงไปบ้าง
ร่างกายนางอ่อนแอมากแล้ว หากรู้ข่าวนางคงได้ล้มแน่!
อย่างไร….. นางก็ไม่สนอยู่แล้วว่าตนเองจะต้องพบจุดจบอย่างไร แต่สามีกับลูก ๆ ของนางคือคนที่นางห่วงใยที่สุด หากเกิดเรื่องกับพวกเขา ความเศร้าโศกนั้นนางคงจะรับไม่ไหวแน่
ด้วยนิสัยรั้นของศิษย์พี่ที่ยอมหักไม่ยอมงอแล้ว…..
คิดแล้วอิงเกอก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินออกไปอีกทาง
“เจ้าเหนือหัว ท่านเทพเหลียนซือมาแล้วเจ้าค่ะ” สตรียืนข้าง ๆ เห็นว่ามีคนเดินเข้ามาจึงประกาศขึ้นทันที
สตรีที่กำลังเอนหลังหลับในอยู่บนที่นั่งบนชั้นยกสูง จึงเงยหน้าขึ้นยามได้ยิน ม่านตาสีเทาของนางไร้อารมณ์มองคนที่เดินเข้ามา พลันยกมือขึ้นสั่งให้สตรีด้านข้างถอยออกไป
พอเห็นแล้วนางจึงโค้งศีรษะน้อย ๆ แล้วถอยออกไป
“เจ้าเหนือหัวช่างสมชื่อเสียงที่ข้าเคยได้ยินมาจริง ๆ ดูท่าไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นท่านก็ยังคงรักษากิริยาสงบนิ่งเช่นนี้ได้ตลอด!”
คนที่เข้ามาหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู ก่อนจะเดินมานั่งยังเก้าอี้ นัยน์ตาเฉียงขึ้นน้อย ๆ หรี่ลงราวกับพึงพอใจ ดูเหมือนกับเสือดาวเชื่อง ๆ ผู้สง่างาม แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้อยู่ทุกครา
ทั่วทั้งยอดเขาใจสงบ มีผู้เดียวที่กล้าเสียมารยาทต่อหน้าสตรีสูงส่งผู้นี้แล้วยังสบายใจได้อยู่ก็คือเขา
ใบหน้างามของนางไม่เปลี่ยนอารมณ์ หากแต่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเรียบขึ้น “ทำไมเทพเหลียนซือไม่เล่นกับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ แต่กลับมาใช้เวลาว่างที่นี่เล่า?”
“ไม่มีอะไรรอดพ้นสายตาท่านได้จริง ๆ!”
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก ส่งสายตามองนางพร้อมรอยยิ้มบาง “เจ้าตัวเล็กนั่นน่าสนใจนัก เจ้าเหนือหัวอยากไปดูหรือไม่?”
“หึ”
นางหัวเราะหยันออกมา เหลือบสายตาเป็นเชิงเตือนไปทางเขา “อย่าได้เล่นจนสุดท้ายไปขัดขวางเรื่องสำคัญเข้าล่ะ”
“ข้ารู้ลำดับความสำคัญดี” เหลียนซือตอบพร้อมยิ้มบาง พลันทำท่านึกบางอย่างขึ้นได้ จึงเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยเสียงมีความนัย “มีคนในคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิง ทั้งยังมีเจ้าตัวเล็กที่ข้าพามานั่น ก็นับว่าจะนำพาคนที่เราต้องการมาครบทุกคน แต่เจ้าเหนือหัวยังไม่ลงมือ ไม่รู้ว่ามีแผนหรือ….. กำลังรอให้คนสำคัญอีกคนปรากฏตัวกันแน่?”
ดวงตาที่ไร้อารมณ์ของนางมองมาทางเขา หลายอึดใจกว่านางจะเปิดปากบอก “เจ้ารู้มากไม่น้อยเลยนะ?”
“หึๆ ไม่เช่นนั้นข้าจะมีหน้าอยู่เป็นมือขวาผู้โด่งดังของเจ้าเหนือหัวได้หรือ?”
เหลียนซือยักไหล่ ลุกขึ้นท่าทางเกียจคร้าน ท่าทางจนใจเล็กน้อย “หากวันใดเจ้าเหนือหัวคิดอยากพูดกับข้าสักหลายคำหน่อยก็คงดี ท่านงดงามเช่นนี้แต่กลับเย็นชาห่างเหินนัก ข้าเจ็บปวดใจเหลือเกิน!”
พูดจบ ร่างสูงของชายหนุ่มที่มีบรรยากาศไม่ไยดีก็จากไปไม่หันกลับมา พริบตาเดียวร่างเขาก็ห่างออกไปไกล มองอีกทีเขาก็หายไปแล้ว
สตรีบนแท่นสูงทอดสายตามองออกไปยังพื้นที่ว่างเปล่าไร้เงาคน นัยน์ตาสีเงินราวกับจะมีรอยประหลาดวาดผ่าน
ที่อีกฟากหนึ่ง ณ พรมแดนตัดกันบนแดนเมฆาสวรรค์ ท้องฟ้าสว่างเห็นแดดจ้าแล้ว ที่ริมขอบปุยเมฆ มุมขอบของสิ่งก่อสร้างที่เผยกายขึ้นก่อนหน้าเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นกว่าเก่า
ที่แปลกคือตัวสิ่งก่อสร้างนั้นเหมือนเป็นเพียงภาพมายา ทั้งดูเลือนรางไม่ใช่ความจริง บ้างก็หายวับไปแล้วเผยกายขึ้นใหม่อีกครั้ง ดูแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร
แต่นั่นก็ยิ่งทำให้รู้สึกลึกลับเกินหยั่งมากขึ้นเท่านั้น และสามารถดึงความสนใจทุกคนได้
“นายท่าน มีคนอยากพบขอรับ”
ที่ปากกระโจมถูกเลิกเปิดขึ้น ก่อนที่คนจากแคว้นมารจะเดินเข้ามา มีร่างผอมของเด็กหนุ่มเดินตามเข้ามาด้านหลัง เขาอยู่ในชุดเกราะนักรบ ใบหน้าอ่อนโยนงดงาม เขาคือชิงเป่ยที่ไม่ได้ปรากฏตัวมาระยะหนึ่งแล้วนั่นเอง
โหลวจวินเหยามุ่นคิ้วทันที “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
“เรื่องของพี่สาวข้า ข้าอยากรู้อะไรก็เป็นสิทธิของข้า”
ชิงเป่ยไม่สนใจสายตาไม่พอใจของชายหนุ่ม เดินเข้ามาหาที่นั่งด้านในเอง ไร้ทีท่าจะออกไป
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศแปลก ๆ คนแคว้นมารที่นำทางมาจึงรีบผลุบหายไป ด้วยไม่อยากอยู่จนเกิดเรื่อง
ได้ยินคำเด็กหนุ่มแล้ว โหลวจวินเหยาก็หัวเราะเสียงเย็น “เจ้าหนู ไม่เห็นเจ้าพักหนึ่ง เจ้าดูเอาแต่ใจขึ้นมากเลยนะ”
“เรื่องที่ชิงอวี่ถูกจับตัวไป ท่านควรบอกท่านพ่อ ไม่ใช่ปิดบังเขา อย่างไรพวกข้าก็เป็นครอบครัวนาง มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่านางเป็นอย่างไรบ้าง”
เด็กหนุ่มหรี่ตา น้ำเสียงไร้อารมณ์ เอ่ยคำเชื่องช้า เน้นยำชัดทุกคำ
แต่กลิ่นอายหนักหน่วงรุนแรงรอบกายเขา เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่
“บอกไปแล้วอย่างไร?” โหลวจวินเหยาหัวเราะหยันพลางเลิกคิ้ว นัยน์ตาสีม่วงงดงามจ้องมองเด็กหนุ่ม “พวกเจ้าไม่เพียงไม่อาจช่วยนางได้ มีแต่จะทำให้ข้ากังวลมากขึ้น ดังนั้นข้าไม่จำเป็นต้องบอก”
“ท่าน…..” ชิงเป่ยจ้องเขาด้วยสายตาโกรธน้อย ๆ แต่ก็ไม่อาจหาคำใดมาตอบโต้ได้
“พวกเจ้าไม่ต้องห่วงชิงอวี่ กลับสำนักเซียนแพทย์ไปหาท่านพ่อเจ้าเถอะ ข้าย่อมต้องช่วยคนของข้ากลับมาอย่างปลอดภัย”
โหลวจวินเหยาพูดจบก็เรียกคนด้านนอกเข้ามา คนแคว้นมารที่ออกไปเมื่อก่อนหน้าเข้ามา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อมยิ่ง “นายท่านมีคำสั่งอะไรขอรับ?”
“ส่งเขากลับสำนักเซียนแพทย์ และดูแลเขาให้ปลอดภัยด้วย”
ชิงเป่ยได้ยินก็ขมวดคิ้ว “ข้าไม่กลับ ข้าจะขึ้นไปยอดเขาใจสงบ”
“เจ้าน่ะหรือ?” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว ดูไม่อยากเชื่อ “มั่นใจหรือว่า นี่จะไม่ใช่เป็นการส่งตัวเองเข้าถ้ำหมาป่า?”
“ท่านเลิกดูถูกคนได้แล้ว ถึงท่านจะเก่งกาจมากเพียงไร แต่ก็ยังมีเรื่องที่ไม่อาจทำได้อยู่ ข้ามีพลังจับสัมผัสที่สูงมากจนชิงอวี่เองยังเอ่ยปากชม หากข้าต้องการ ข้าก็สามารถรับรู้เรื่องที่ต้องการจะรู้ได้ หากนำข้าไปด้วยย่อมเป็นประโยชน์แน่”
“พลังบำเพ็ญข้าอาจเทียบท่านไม่ได้ แต่ใครจะรู้ว่าต่อไปจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง? ไม่แน่ข้าอาจบำเพ็ญเพียรตามท่านทันก็ได้” ชิงเป่ยมองหน้าเขา เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
โหลวจวินเหยาได้เห็นความดื้อรั้นหากแต่ซื่อตรงของเด็กหนุ่มแล้วก็สะท้านใจ ยกมือขึ้นตบหน้าผากตน ถอนหายใจเบา ๆ ออกมา “ก็ได้ ข้าตกลง แต่เจ้าต้องเชื่อคำข้า ห้ามลงมือทำอะไรเอง ไม่เช่นนั้นข้าจะไล่เจ้ากลับสำนักเซียนแพทย์ทันที”
“ตกลง ข้าจะไม่ทำอะไรหุนหัน” ชิงเป่ยตอบ
ยอดเขาใจสงบนั้นสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นแดนเซียน อำนาจดึงดูดของมันให้ความรู้สึกพิเศษไม่เหมือนใครมากจริง ๆ
ก่อนหน้านี้ผู้คนต่างคิดว่าแดนเมฆาสวรรค์เป็นดินแดนสูงสุด และเป็นที่ที่คนทั้งหลายไม่อาจเอื้อม แต่แท้จริงแล้วยังมีอีกแดนที่ทั้งลึกลับและมีพลังเหนือจินตนาการอยู่อีกดินแดนหนึ่ง
หลังจากเกิดเหตุการณ์หิมะพรำที่แปลกประหลาดและน่าพิศวงอย่างกะทันหันไม่คาดคิดคิดแล้ว แม้จะมีเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่มาให้เห็น แต่ก็ยังดูเป็นสถานที่ที่ห่างไกลราวภาพมายา
และเมื่อเวลาผ่านไป ม่านแห่งความลึกลับที่ปกคลุมอยู่ก็คล้ายกับค่อย ๆ ถูกเปิดออกทีละนิด
รอบ ๆ อาคารอันโอ่อ่าและโอ่อ่า หมอกจางค่อย ๆ สลายหายไปช้า ๆ ก่อนที่รูปร่างยอดเขาใจสงบทั้งหมดจะค่อย ๆ เผยสู่สายตา เมื่อทุกคนได้เห็นดังนั้นแล้วก็พากันเบิกตากว้างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
สูงเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ริมขอบหมู่เมฆ คือตำหนักขนาดใหญ่ที่ส่องสว่างราวกับถูกสร้างจากผลึกแก้วใสกระจ่าง แสงอาทิตย์ส่องตัวตำหนักตระหง่านเป็นประกายระยับหลากสี เป็นภาพงดงามตาราวกับฝัน คล้ายกับแดนมายาที่พริบตาเดียวก็หายไปได้
คนผู้หนึ่งระงับความตื่นเต้นในใจไว้ไม่ได้ เมื่อเห็นบันไดแก้วที่ทอดตัวยาวลงมาจากตำหนักสูงแห่งนั้น เขาพุ่งเข้าไปหามันราวกับอยากเป็นคนแรกที่ได้ก้าวขึ้นไปทันที
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนเดียว เมื่อเห็นมีคนเริ่ม คนด้านหลังย่อมต้องไล่หลังตามไปทันที
แต่ทันใดนั้นเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คนแรกที่พุ่งเข้าหาบันไดแก้วพลันร้องเสียงโหยหวนออกมา ร่างเขาร่วงดิ่งลงพื้นก่อนจะหายไปในพริบตา
ทุกคนหันไปมอง พบว่าบันไดแก้วนั่นได้หายไปแล้ว
คนที่ตามไปพากันตะเกียกตะกายหยุดฝีเท้าเอาไว้เมื่อเห็นดังนั้น ใบหน้าซีดขาวราวกับคนตาย ตกใจจนวิญญาณแถบออกจากร่าง เมื่อมองภาพตรงหน้า แต่ก็หลบดีใจที่พวกตนช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็คงได้สิ้นใจตายไม่รู้ตัวเช่นนั้นแล้ว
แต่ทำไมจู่ ๆ บันไดถึงหายไปเล่า?
เมื่อลองดูอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่าบันไดยังอยู่ที่เดิม แต่คนที่วิ่งขึ้นไปร่วงลงมาจากตรงนั้นแท้ ๆ ในยามบันไดหายไป กลายเป็นว่าเขาเอาชีวิตมาทิ้งไปเปล่า ๆ อย่างนั้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เมื่อมีตัวอย่างแล้ว คนอื่นก็ไม่กล้าผลีผลามอีก เริ่มปรึกษาหารือกันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“หรือบันไดพวกนั้น….. จะเป็นภาพลวง? เป็นแค่ภาพมายา ไม่ได้มีอยู่จริง ๆ” จูเก่อฉงเอ่ยคำพลางลูบคางตนสีหน้าครุ่นคิด
“ไม่หรอก ยอดเขาใจสงบไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเช่นนั้นกับพวกเรา แต่บันไดพวกนั้นมีอะไรแปลก ๆ เป็นแน่ คงจะใช้วิธีปกติไม่ได้” ชิงเทียนหลินยกยิ้มตอบ
ได้ยินแล้วจูเก่อฉงก็เลิกคิ้วมอง “แล้วเจ้ามีวิธีใดอีก?”
ชิงเทียนหลินยักไหล่ “ข้ายังคิดไม่ออก อย่างไรก็เพิ่งมีคนลองขึ้นไปคนเดียวเท่านั้น เรื่องมันเกิดขึ้นก่อนใครจะทันลงมือ ข้าเองก็มองไม่ชัดนัก”
“เช่นนั้นก็ง่าย” จูเก่อฉงหัวร่อ จากนั้นยกนิ้วชี้ไปดื้อ ๆ “เจ้า ไปขึ้นบันไดนั่นให้ข้าดู”
สีหน้าสมาชิกสมาพันธ์นักล่าที่ถูกชี้ซีดขาวด้วยความกลัว เขาส่ายหน้ารัว ๆ เหมือนกลองป๋องแป๋งเอ่ยเสียงสะท้าน “หัวหน้าสมาพันธ์ ข้า….. ข้าไม่กล้า…. ข้า… ข้ากลัวตาย…..”