ตอนที่ 277 แผนการที่น่าสมเพชของหวังหรง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 277 แผนการที่น่าสมเพชของหวังหรง

นอกจากความโกรธแล้ว หวังหรงยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

ฟางจั๋วหรานขู่ว่าจะจัดการหล่อนที่ไปหาเรื่องยัยนั่น

เขาทำให้พ่อแม่ของหล่อนกระเด็นจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ แม้แต่หล่อนเองก็ถูกย้ายตำแหน่งมาแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องนี้ที่ว่าเขาจะทำอะไรอีก

พอคิดถึงเรื่องนี้หล่อนก็ยิ่งหวาดกลัว จึงถามเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคดีว่า “ฉันไปได้แล้วใช่ไหมคะ”

เจ้าหน้าที่ตำรวจพยักหน้าแล้วบอกหล่อนว่า “ได้เลยครับ ผมจะแจ้งความคืบหน้าไปนะครับ”

หวังหรงรีบไปตามหาตู้กวงฮุยทันทีและขอให้เขาหาทางจัดการกับหลินม่าย

มีเพียงการพยายามดำเนินคดีกับยัยนั่นให้ได้เท่านั้นที่จะช่วยให้หล่อนหลุดพ้นจากเงื้อมมือของฟางจั๋วหราน และทำให้เขาเห็นว่าหล่อนไม่ได้ใส่ร้ายอีกฝ่าย

เรื่องที่หลินม่ายถูกพาตัวไปสถานีตำรวจอยู่ในสายตาของลูกน้องที่เฉินเฟิงแอบส่งมาคุ้มครองเธอตลอด เขาจึงรีบไปรายงานลูกพี่ทันที

เฉินเฟิงเย้ยหยัน “ยัยคนที่ชื่อหวังหรงนั่นช่างไม่กลัวตายเอาซะเลย กล้ามาใส่ร้ายบอสหลินของเรา พวกแกไปจับตาดูไว้ว่ามีใครสมรู้ร่วมคิดอีกไหม จะได้คิดบัญชีทีเดียว”

เหลียนเฉียวอิจฉามากที่เห็นว่าเฉินเฟิงเป็นห่วงหลินม่ายมากถึงขนาดนั้น

ระหว่างทางกลับ ฟางจั๋วหรานก็ถามหลินม่ายเกี่ยวกับคดีอย่างละเอียด

หลินม่ายเล่าให้ฟังทุกเรื่องที่เกิดขึ้น

หลังจากที่ชายหนุ่มได้ฟังจนจบ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “ประเด็นมันอยู่ที่ไอ้สองคนที่หวังหรงบอกว่ามาทำร้ายหล่อน ถ้าสองคนนั้นถูกหวังหรงจ้างมาทำร้ายตัวเองเพื่อใส่ความ ทุกอย่างก็ไม่ยาก แต่ถ้าการถูกทำร้ายครั้งนี้มีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะหล่อนไปหาเรื่องคนอื่นเอาไว้ น่าจะยากกว่าเดิม”

“แต่ถ้าจับไอ้สองคนนั้นไม่ได้ ฉันก็ไม่มีหลักฐานอะไรมากล่าวหาได้แล้วสิ”

“แต่มันก็จะเป็นมลทินกับตัวคุณนะ” ฟางจั๋วหรานตอบอย่างไม่พอใจ

แต่หลินม่ายไม่ได้สนใจเรื่องนี้ “ตำรวจเอาผิดฉันไม่ได้ ก็เท่ากับยัยนั่นไม่ได้อะไรเลย แค่นี้ก็เท่ากับว่าเราชนะแล้วล่ะค่ะ”

ทันทีที่หลินม่ายและฟางจั๋วหรานกลับมาที่ถนนเจี่ยเฟิง เพื่อนบ้านหลายคนก็รีบเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง “เสี่ยวหลินกลับมาแล้วเหรอ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

หลินม่ายตอบยิ้ม ๆ “ฉันถูกใส่ร้าย ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”

เมื่อก่อนคนเหล่านี้ต่างอยากจะให้เกิดเรื่องกับเธอทั้งนั้น เพราะอิจฉาที่ร้านขายดิบขายดี

แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องไม่ดีกับเธอ

เธอเป็นคนใจดีและเป็นที่รักของผู้คนไปแล้ว

ทุกคนดูโล่งใจแล้วยิ้มออก “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

ตั้งแต่หลินม่ายถูกพาตัวไป โจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงก็อยู่ไม่สุข

เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าของร้านสาว ทั้งสองก็รีบออกมารับอย่างโล่งใจที่เห็นว่าเธอได้กลับมา

เหล่าพนักงานยังรวมตัวกันถามเธออย่างเป็นห่วงว่าคดีคลี่คลายแล้วหรือยัง

หลินม่ายส่ายหน้า “ยังเลย พวกเขาตรวจสอบกันอยู่”

ได้ยินแบบนั้นพวกเขาก็เงียบกันหมด

โจวฉายอวิ๋นดูกังวล “จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหวังหรงหาทางเอาผิดเธอจนได้ล่ะ?”

หลินม่ายส่ายหน้าอีกครั้ง “ใครจะไปกล้ายอมรับว่าถูกฉันจ้างมาให้ร้ายยัยนั่นล่ะ ถ้าจะพูดแบบนั้นตัวเองก็โดนไปด้วย”

“ถ้าหวังหรงจ้างด้วยเงินเยอะ ๆ ก็อาจจะได้ก็ได้”

หลินม่ายขึ้นเสียง “ต้องเยอะขนาดไหนถึงจะซื้ออนาคตคนคนหนึ่งได้ ถ้าติดคุกก็เท่ากับเสียหายทั้งชีวิตเลยนะ”

ฟางจั๋วหรานไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนหลินม่าย

จะเป็นอย่างไรถ้าหวังหรงไปจ้างอันธพาลสองคนนั้นให้เอาผิดแฟนของเขาจนได้

อะไรๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้

แบบนั้นต้องไม่ดีแน่ หลินม่ายคงจะต่อสู้ลำบาก

พอคิดได้แบบนั้นเขาก็บอกลาหลินม่ายแล้วออกจากร้านมา ก่อนรีบกลับไปที่โรงพยาบาลและโทรศัพท์หาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายใหญ่ บอกพวกเขาว่าต้องการลงประกาศตามหาคนหายที่มีเนื้อหาสำคัญมาก และขอให้ลงหนังสือพิมพ์ในวันพรุ่งนี้

หวังหรงรีบไปหาตู้กวงฮุยที่สำนักงานหลังจากเลิกกะเช้า

ทันทีที่ตู้กวงฮุยปั่นจักรยานออกมาจากโรงงาน เขาก็ได้ยินเสียงหญิงสาวเรียกหา

ชายหนุ่มมองหาต้นเสียงอยู่นานก็ไม่พบใคร แต่รู้ว่าหล่อนซ่อนอยู่แถว ๆ พุ่มไม้ จึงเดินเข้าไปในนั้น

เมื่อมองหน้าปูดบวมของหวังหรง เขาก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “มีอะไรอีกล่ะ?”

ตอนที่หล่อนคิดแผนนี้ขึ้นมา เขาไม่ได้เห็นด้วยเลยสักนิด

แม้ใบหน้าหล่อนจะบวมปูด แต่นั่นไม่ใช่เพราะถูกทำร้ายร่างกายจริง ๆ หากเป็นเพราะจงใจให้ตัวเองสัมผัสกับเกสรดอกไม้ที่รู้อยู่แล้วว่าแพ้ ทว่ามันก็เป็นการแพ้ที่รุนแรงไม่น้อย

เมื่อหวังหรงได้ยินสิ่งที่เขาถาม หล่อนก็น้ำตาไหลทันที “คุณรำคาญฉันเหรอ? นี่ฉันทำเพื่อร้านของเรานะ เราเปิดร้านด้วยกัน ฉันก็กลัวว่าจะหาเงินมาคืนคุณไม่ได้ กำไรก็จะน้อย เพราะงั้นฉันต้องทำแบบนี้ ฮึก”

ตู้กวงฮุยทุกข์ใจเมื่อเห็นว่าหวังหรงกำลังร้องไห้ จึงค่อย ๆ เช็ดน้ำตาให้หล่อน “ไม่ ๆ ฉันไม่ได้โทษเธอ ฉันแค่ไม่อยากเห็นเธอลำบาก ไม่สำคัญเลยว่าเราจะได้กำไรไหม แค่ไม่ต้องสูญเงินไปก็พอ”

หวังหรงรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อได้ยินแบบนั้น

เมื่อเงยหน้าขึ้น หล่อนก็พูดต่ออย่างน่าสงสาร “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันต้องแสดงต่อให้จบ ฉันจะโทรหาหนังสือพิมพ์หลังจากนี้ คุณช่วยฉันหาคนที่ไว้ใจได้สองคนมารับผิดว่าเป็นคนที่ยัยนั่นส่งมา”

ตู้กวงฮุยเงียบไป เขารู้สึกว่ามันไม่ง่าย “แค่หาอันธพาลไม่ยากหรอก แต่ถ้าให้ไปมอบตัวใครจะไปยอม ช่วงนี้ยิ่งมีการปราบปรามด้วย ใครจะอยากติดคุกล่ะ”

ดวงตาของหญิงสาวสั่นไหว “ถ้ามันติดหนี้พนันล่ะ”

ตู้กวงฮุยเข้าใจในทันที “ถ้างั้นก็คงได้”

หวังหรงมองเขาขี่จักรยานออกไปพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็เข้าไปในโรงงาน

แต่ทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งลอบมองอยู่ไม่ไกล

เมื่อทั้งสองแยกจากกัน คนคนนั้นก็หายไปด้วย

หลังเลิกงานตอนเที่ยง ออฟฟิศหลายแห่งก็ไร้ผู้คน

หวังหรงแอบเข้าไปในสำนักงานที่ไม่มีใครอยู่แล้วโทรหาหนังสือพิมพ์ประจำจังหวัดที่มีคนอ่านจำนวนมาก “สวัสดีค่ะ ฉันต้องการรายงานเรื่อง…”

หลังอาหารกลางวัน เถาจืออวิ๋นก็มาหาหลินม่ายพร้อมเสื้อผ้าที่ตัดเย็บเมื่อหลายวันที่ผ่านมาพร้อมกับฉีฉีที่ตามแม่มาด้วย

ทันทีที่เจอหลินม่าย หล่อนก็เริ่มถาม “เสื้อผ้าที่ฉันส่งให้สองสามวันก่อนขายไปแล้วหรือยัง”

“ยังเลย ฉันจะให้คนเอาไปขายทีเดียวหลังจากนี้”

หลินม่ายจ่ายค่าแรงให้เถาจืออวิ๋น และชวนให้ฉีฉีอยู่เล่นกันสักพัก เพื่อรอให้เธอส่งเสื้อผ้าไปที่ร้านฝั่งตรงข้ามให้พนักงานเอาไปช่วยขายก่อน แล้วค่อยรีบกลับมาคุยด้วย

แต่เถาจืออวิ๋นโบกมือ “เธอเองก็ยุ่ง ๆ ส่วนฉันก็จะกลับไปทำชุดต่อ ฉันไปก่อนดีกว่า”

หลังบอกลากันเรียบร้อย เถาจืออวิ๋นก็พาลูกกลับไป

หลินม่ายขนเสื้อผ้าที่เถาจืออวิ๋นมาส่งและเสื้อผ้าจากกว่างโจวไปส่งที่ร้านฝั่งตรงข้าม

พนักงานสองคนขายถุงน่องหมดไปนานแล้วจึงว่างจากงาน เมื่อเห็นหลินม่ายมาพร้อมสินค้าก็รีบลุกไปช่วย

ขณะแขวนเสื้อผ้าเหล่านั้นลงไม้แขวน หลินม่ายก็ถามขึ้น “ชุดไหนดูดีสุด?”

พวกหล่อนสองคนช่วยกันดูแล้วพบว่าสามอันดับแรกเป็นชุดที่เถาจืออวิ๋นทำ

หลินม่ายเองก็คิดว่าเถาจืออวิ๋นเย็บชุดได้สวยกว่าของที่ซื้อกลับมาจากกว่างโจวเสียอีก

หลังจากแขวนเสื้อผ้าได้ไม่นานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้สินะนังหรง ได้แต่นั่งอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะลงเหว

ใครเข้าร้านมาหนอ?

ไหหม่า(海馬)