ตอนที่ 278 ประกาศตามหา

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 278 ประกาศตามหา

หลินม่ายเห็นว่ามีลูกค้าเข้ามา จึงให้พนักงานเข้าไปทักทายและดูแลอย่างดี จากนั้นจึงขึ้นไปที่ชั้นสองแล้วถามเจิ้งซวี่ตงเกี่ยวกับการอบรมพนักงาน

เจิ่งซวี่ตงอธิบาย “เรื่องอบรมเสร็จไปนานแล้วครับ ตอนนี้ทุกคนพร้อมเริ่มงานแล้ว”

หลินม่ายพยักหน้า เอารายการของออกมา ขอให้เขาจัดแจงซื้อของที่จำเป็นสำหรับการเปิดร้านตามรายการเหล่านี้ สามวันจากนี้ ร้านเปาห่าวชือก็จะพร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการที่ตึกฝั่งนี้

เจิ้งซวี่ตงอ่านรายการต่าง ๆ แล้วถามขึ้นว่า “ร้านเซาเข่าข้าง ๆ ก็เปิดพร้อมกันเหรอครับ”

“ยังค่ะ” หลินม่ายตอบ “ถ้าเปิดพร้อมกันคนจะไม่พอไปทำงาน”

ทั้งสองปรึกษาเรื่องงานกันอย่างแข็งขัน จนเวลาหลายชั่วโมงผ่านไปแบบไม่รู้ตัว

ตอนที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น​ ข้างนอกก็ค่ำแล้ว

หลินม่ายกลับลงมาที่ชั้นล่างก็เห็นว่าเสื้อผ้าขายดิบขายดี มีลูกค้าจำนวนมากพากันมาเลือกซื้อ

พอถึงสามทุ่มหลินม่ายออกมาเก็บร้าน​ ก็เห็นว่าเสื้อผ้าทั้งหมดที่เถาจืออวิ๋นเป็นคนตัดถูกขายหมดไปเรียบร้อย และเสื้อผ้าจากกว่างโจวก็หมดไปกว่าครึ่ง

ถึงเสื้อผ้าที่เถาจืออวิ๋นจะไม่ได้มีมากเท่ากับเสื้อผ้าที่เอามาจากกว่างโจว​ แต่ก็มีมากถึงสองร้อยกว่าชิ้น ทว่ากลับขายหมดในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

เสื้อผ้าที่เถาจืออวิ๋นตัดดูจะเป็นที่นิยมมาก​ เห็นทีว่าน่าจะต้องจ้างคนมาช่วยงานเพิ่ม ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปซื้อชุดที่กว่างโจวมาขายเพิ่มอีก

หลินม่ายจึงวางแผนจะคุยกับเถาจืออวิ๋นเรื่องนี้อีกครั้งในวันพรุ่งนี้

ระหว่างที่หลินม่ายกำลังวางแผนเรื่องโรงงานเสื้อผ้า ทางด้านลูกน้องของเฉินเฟิงก็กำลังรายงานลูกพี่ในเรื่องของหวังหรง “ผู้หญิงคนนั้นมีคนสมรู้ร่วมคิดจริง ๆ ด้วยครับ”

เฉินเฟิงใช้ช้อนตักเนื้อแตงโมที่ผ่าครึ่งแล้วส่งเข้าปาก เหลือบตามองลูกน้องที่กำลังเล่าเรื่อง

“ยังจะกล้ามาเล่นลูกไม้กับกูงั้นเหรอ เดี๋ยวพ่อเตะไม่เลี้ยงก่อนจะได้ผายลมเลยนี่?​”

เหล่าลูกน้องพากันหัวเราะ มีเพียงเหลียนเฉียวที่นิ่งเฉย

หน้าของหล่อนขึ้นสีอย่างไม่พอใจ

เฉินเฟิงกินแตงโมอีกคำแล้วถามว่า “ไอ้เลวนั่นมันเป็นใคร?”

“ตู้กวงฮุยครับ”

เฉินเฟิงแสดงสีหน้าเหยียดหยาม “เป็นมันนี่เอง”

ลูกน้องรายงานต่อ “หวังหรงออกจากสถานีตำรวจแล้วก็ไปหาตู้กวงฮุย…”

จากนั้นเขาก็เล่าบทสนทนาระหว่างทั้งคู่แบบละเอียดยิบ

รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าของเฉินเฟิง “อย่าเพิ่งทำไก่ตื่น พวกเราต้องค่อย ๆ จัดการ”

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากออกกำลังกายตอนเช้าเสร็จ เฉินเฟิงก็ไปหาอะไรกิน

เขาเห็นว่ามีร้านขายเกี๊ยวทอดอยู่ริมถนนไม่ไกล จึงเดินเข้าไปสั่งอาหารกับคนขาย “ขอเกี๊ยวทอดไก่ 5 อัน”

เจ้าของร้านชอบลูกค้าที่สั่งเยอะแบบนี้มาก ก็รีบตอบอย่างมีความสุข “ได้เลยครับ​ รอสักครู่ ผมจะรีบทอดให้เลย”

เกี๊ยวทอดมีขนาดชิ้นค่อนข้างใหญ่และยังมีไส้ข้างใน จึงใช้เวลาไม่น้อยในการทอด

เฉินเฟิงยืนรออย่างไม่มีอะไรทำ

ไม่ไกลออกไปก็เห็นว่ามีชายชราผมขาวปั่นจักรยานมาพร้อมหนังสือพิมพ์และนิตยสารธุรกิจ

แต่เพราะเขาอายุมากแล้ว​ บวกกับของที่ขนมาค่อนข้างหนักทำให้จักรยานล้มลงโดยที่จับไว้ไม่ไหว ทำให้หนังสือพิมพ์และนิตยสารหล่นกระจายเต็มพื้น

ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปช่วยลุงคนนั้นเก็บนิตยสารกับหนังสือพิมพ์ที่ตกกระจายอยู่

ครั้นหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดูแล้วก็ต้องชะงักไป

เพราะที่หน้าหลังของหนังสือพิมพ์ที่เขาหยิบได้มีประกาศตามหาคนเด่นหราอยู่บนนั้น

เนื้อหาไม่ได้ยาวมาก แต่เป็นตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้อย่างชัดเจน เป็นไปไม่ได้ที่คนอ่านจะไม่เห็นมัน

เนื้อหาคือการออกตามหาคนร้ายที่ทำร้ายร่างกายของหวังหรง

และขอให้เข้ามามอบตัวเพื่อจะได้รับการลดโทษ

กล่าวด้วยว่า หวังหรงมีประวัติอาชญากรรม ข้อหาให้ร้ายผู้อื่น ซ้ำยังสั่งให้หวังเฉียงพี่ชายของตัวเองไปก่อคดีทำร้ายร่างกายซึ่งเขายังอยู่ในคุกและไม่ได้รับการปล่อยตัว

ถ้าคนร้ายทั้งสองไม่อยากเป็นเหมือนหวังเฉียงก็ควรทำตามคำแนะนำ​ ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกลงโทษรุนแรงตามกฎหมาย

เฉินเฟิงเดาว่าเป็นฟางจั๋วหรานที่ลงประกาศนี้

ปัญญาชนก็คือปัญญาชน คิดจะขู่พวกนั้นด้วยวิธีแบบนี้นี่เอง

พวกอันธพาลที่คิดจะรับเงินจากหวังหรงมาใส่ร้ายหลินม่ายจะได้ฉุกใจคิดว่ามันคุ้มกันหรือเปล่าที่เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วยการรับค่าจ้างไม่กี่หยวน

ระหว่างที่ช่วยชายชราเก็บหนังสือพิมพ์ เฉินเฟิงก็เห็นว่ามีหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับที่มีคนอ่านไม่น้อยก็ลงประกาศแบบนี้เช่นเดียวกัน

เขายิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผู้ชายแซ่ฟางคนนั้นช่างร่ำรวยอะไรขนาดนี้ ถึงได้ลงประกาศในหนังสือพิมพ์มากมาย

หวังหรงตื่นมาตอนเช้าอย่างยากลำบาก อาบน้ำแต่งตัวลงไปที่ชั้นล่าง แล้วรีบไปที่แผงขายหนังสือพิมพ์อย่างรวดเร็ว ซื้อหนังสือพิมพ์มา แทบรอไม่ไหวที่จะเห็นข่าวข้างใน

เมื่อเห็นบทความว่า ‘เจ้าของร้านอาหารเว่ยเซียงบนถนนเจี่ยเฟิงถูกทำร้าย สันนิษฐานว่าเป็นเพราะขายอาหารราคาถูกเกินไป’ ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

หล่อนเพิ่งจะโทรศัพท์​ไปรายงานเมื่อวาน ไม่คิดว่าจะได้ลงในหนังสือพิมพ์เร็วขนาดนี้

หล่อนเดินถือหนังสือพิมพ์กลับไปที่ร้านอย่างมีความสุข รอให้ผู้คนไปรุมประณามหลินม่ายถึงร้าน

ร้านเปาห่าวชือเปิดขายแล้ว

ลูกค้าที่มาวันนี้ค่อนข้างแปลก เมื่อพวกเขามาที่หน้าร้านก็ถามวังเสี่ยวลี่ว่า “เถ้าแก่เนี้ยมีเรื่องอะไรกับใครเหรอ?​”

วังเสี่ยวลี่ตอบนิ่ง ๆ “เราไม่ได้มีเรื่องกับใครนะคะ”

เท่าที่รู้จักกันมา เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนดีมาก ดูแลพนักงานอย่างดี เงินเดือน เงินพิเศษก็ได้มากกว่าทำงานที่อื่น ๆ

เป็นเรื่องที่หลายคนไม่ค่อยรู้

ล่าสุดมียายขอทานคนหนึ่งมายืนอยู่ที่หน้าร้าน มองซาลาเปาแล้วก็กลืนน้ำลายด้วยความหิวแต่ไม่มีเงินซื้อ

เถ้าแก่เนี้ยยังชวนนางกินข้าว และเลี้ยงเกี๊ยวไปสองถ้วยใหญ่

เธอไม่เคยมีปัญหากับใคร จะมีก็แต่พวกขี้อิจฉาที่คอยแต่จะวางแผนหาเรื่องเธอ

วังเสี่ยวลี่นึกไปถึงเรื่องที่หวังหรงใส่ร้ายหลินม่ายขึ้นมาแล้วถามลูกค้าว่า “คุณหมายถึงเรื่องที่ร้านข้าง ๆ หาเรื่องมาใส่ร้ายเถ้าแก่เนี้ยหรือเปล่าคะ​ ตอนนี้ตำรวจกำลังสอบสวน คงจะรู้ความจริงเร็ว ๆ นี้ค่ะ​ เดี๋ยวตอนนั้นก็จะได้เห็น ว่าเถ้าแก่เนี้ยของเราไม่ได้ทำร้ายใคร แต่เป็นคนพวกนั้นต่างหากที่มาหาเรื่องใส่ร้ายหล่อน”

ลูกค้าพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่ก็เกี่ยวกับร้านข้าง ๆ ด้วยนั่นแหละ”

วังเสี่ยวลี่ถามอย่างกังวล “แล้วมันเรื่องอะไรกันเหรอคะ?”

ลูกค้าคนหนึ่งยื่นหนังสือพิมพ์มา​ตรงหน้าหล่อนแล้วชี้ไปที่พาดหัวข่าวหนึ่ง “ฉันรู้เรื่องจากหนังสือพิมพ์นี่”

วังเสี่ยวลี่อ่านหนังสือพิมพ์อย่างรวดเร็ว จากนั้นตรงเข้าไปในครัวแล้วตามโจวฉายอวิ๋น

แม้ตอนนี้จะเกือบเจ็ดโมงเช้าแล้วแต่หลินม่ายก็ยังคงนอนอยู่ เป็นเพราะความเหนื่อยล้าสะสมจากการเดินทางไปกว่างโจว

โจวฉายอวิ๋นถือหนังสือพิมพ์ขึ้นมาชั้นบนแล้วปลุกเจ้าของห้องที่กำลังหลับสนิท

หลินม่ายงัวเงียตื่นขึ้นมา “มีอะไรอีกแล้วเหรอ”

โจวฉายอวิ๋นเป็นคนขี้เกรงใจ ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ไม่มีทางเข้ามาปลุกเธอแบบนี้

อีกฝ่ายวางหนังสือพิมพ์ลงที่หน้าอกของเธอ “ลุกขึ้นมาเร็ว แล้วดูนี่ หนังสือพิมพ์บอกว่าซาลาเปาของร้านข้าง ๆ ขายถูกจนโดนทำร้าย เขียนว่าเธอเป็นคนจ้างอันธพาลไปสั่งสอน เธอต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว”

หลินม่ายผุดลุกขึ้นทันที หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านข่าวนั้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น

ไม่คิดเลยว่าในยุคที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตแบบนี้ หวังหรงยังใช้หนังสือพิมพ์มาปล่อยข่าวเพื่อทำลายชื่อเสียงเธอได้จริง ๆ ไม่ต่างอะไรจากการปล่อยข่าวปลอมในอินเทอร์เน็ตเมื่อชาติที่แล้ว

โลกไซเบอร์น่ากลัวมาก มีคนฆ่าตัวตายเพราะถูกกลั่นแกล้งรังแกทางไซเบอร์ไม่น้อย

ในยุคนี้ก็คงไม่ต่าง ความคิดเห็นของผู้คนก็แย่พอกัน

ถ้าข่าวนี้ทำให้ผู้คนมองร้านไม่ดี ต่อไปคงยากที่จะรักษาลูกค้าเอาไว้ได้

………………………………………………….

สารจากผู้แปล​

มาดูกันค่ะว่าระหว่างม่ายจื่อหรือนังหรงจะมอดไหม้ก่อนกัน​ ฝ่ายนึงมีแบคแข็งแกร่งมากเลยนะ

ไห​หม่า​(海馬)