บทที่ 222 อบอุ่นและหวานชื่นใจ
กู้เจียวอุ้มกระต่ายตัวน้อยกลับมาที่กระโจม
เป็นดังที่คาดเมื่อมีสมาธิขึ้นมาหมอหลู่ก็จัดการได้รวดเร็วกว่าเดิม เขาตรวจสอบยาแก้ปวดทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว
พอเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นกู้เจียวอุ้มกระต่ายน้อยมาด้วยตัวหนึ่ง จึงอดแปลกใจไม่ได้ “กระต่ายจากที่ไหนรึ”
“เก็บได้หลังเขาน่ะ” กู้เจียวบอก
“หลังเขารึ” หมอหลู่คิดในใจ คงไม่ได้ไปที่นั่นกระมัง
“เจ้าเป็นอะไรไปรึ” กู้เจียวรู้สึกว่าสายตาที่หมอหลู่มองตนนั้นแปลกไป
“เจ้าคงไม่ได้เข้าไปที่ในถ้ำอะไรหรอกใช่หรือไม่” หมอหลู่ถามอย่างระมัดระวัง
“เอ่อ…ห้ามเข้าหรือ” กู้เจียวถามอย่างแปลกใจ
หมอหลู่เอ่ย “เข้าไม่ได้อยู่แล้วสิ” เข้าไปได้ตายแน่!
กู้เจียวลูบเจ้ากระต่ายพลางบอกอย่างเรียบนิ่ง “อ้อ เช่นนั้นข้าก็ไม่ได้เข้าไปหรอก”
หมอหลู่ “…”
แล้วเจ้าเข้าหรือไม่ได้เข้ากันแน่
ช่างเถอะ คงไม่ได้เข้าไปหรอก มิฉะนั้นค่ายกลโหดร้ายเพียงนั้น นางไหนเลยจะเอาชีวิตรอดมาได้
หมอหลู่ชำระงวดสุดท้ายให้กู้เจียว และบอกนางว่าหากฤทธิ์ของยาแก้ปวดรอบนี้ดีเช่นกัน ก็จะสั่งอีกหนึ่งพันขวด
ค่ายทหารต้องการต่อยาแก้ปวดจำนวนมาก ขอแค่กู้เจียวปิดการขายได้สำเร็จ เพียงไม่นานโรงงานยาก็จะได้ทุนคืนแล้ว
กู้เจียวขอบคุณแล้วอุ้มเจ้ากระต่ายน้อยออกจากค่ายทหาร
พอเสี่ยวซานจื่อเห็นกระต่ายน้อยในอ้อมอกนางก็สนอกสนใจขึ้นมาทันที “แม่นางกู้ กระต่ายจากไหนรึ น่ารักเสียจริง!”
“น่ารักจริงๆ นั่นแหละ” กู้เจียวพยักหน้า “เย็นนี้ต้องเอาไปย่างแล้วล่ะ”
เสี่ยวซานจื่อ “…”
กระต่ายตัวอ้วน “…”
สุดท้ายกู้เจียวก็ไม่มีเวลาได้กินเนื้อกระต่าย เพราะเสี่ยวเจียงหลีถูกใจเจ้ากระต่ายอ้วนเข้าเสียแล้ว
เด็กน้อยนิสัยเก็บตัว ซ้ำยังพูดน้อย แต่ขยันและทนลำบากได้ คนในโรงหมอจึงต่างชอบนาง
“ให้เจ้าก็แล้วกัน” กู้เจียวส่งกระต่ายน้อยให้เสี่ยวเจียงหลี
“ขะ ขะ ขะ ข้าเลี้ยงกระต่ายได้หรือ” เสี่ยวเจียงหลีโตถึงเพียงนี้แล้ว ในความทรงจำนางแทบจะไม่เคยเลี้ยงอะไรเลย นางกับพี่ชายเลี้ยงไม่ได้
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า “แต่อึของมันเจ้าต้องจัดการเองนะ”
“ข้าทำได้ ข้าทำได้!” เสี่ยวเจียงหลีพยักหน้าเหมือนตำข้าว แล้วอุ้มกระต่ายอ้วนไว้ในอกแน่น
สัตว์เลี้ยงตัวแรกของนาง นางชอบยิ่งนัก “ขอบคุณเจ้าค่ะพี่กู้!”
กู้เจียวเอาค่ายาแก้ปวดงวดสุดท้ายให้ผู้ดูแลหวัง จากนั้นก็ไปรับเซียวลิ่วหลังกับเสี่ยวจิ้งคงที่กั๋วจื่อเจียน
คนที่ออกมาก่อนก็คือเสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงสะพายกระเป๋าหนังสือใบน้อยเอาไว้ เขาตีหน้าเคร่งขรึมเดินอยู่ท่ามกลางเด็กเจ็ดแปดขวบ ให้ความรู้สึกไม่เข้าพวกอย่างน่าขบขัน
เขานึกว่าพี่เขยนิสัยไม่ดีจะมารับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้ปั้นหน้ายิ้มแย้มอะไร แต่ใครจะไปคิดว่าจะเป็นเจียวเจียว เขาพลันแปลงร่างเป็นเด็กน่ารักบ้องแบ๊ว วิ่งตึงตึงเข้าไปหากู้เจียวทันที
“เจียวเจียว!” เขาเงยหน้าน้อยๆ ขึ้นมองกู้เจียวด้วยท่าทางน่ารัก
กู้เจียวมองท่าทางเหงื่อแตกซ่กของเขาแล้วจึงเอ่ยถาม “ทำไมถึงเหงื่อออกเยอะเพียงนี้”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “วันนี้มีแข่งวิ่งน่ะ!”
ชั้นปฐมวัยของกั๋วจื่อเจียนไม่ใช่สถานที่ที่เอาแต่เรียนอย่างเดียว ที่นี่ให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนารอบด้าน ได้ยินว่าเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยจะมีชั้นเบื้องต้นที่เหมาะสมของชนชั้นสูงสอนให้พวกเขาขี่ม้ายิงธนูดีดฉิน
กู้เจียวหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้เสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงยื่นใบหน้าน้อยให้กู้เจียวเช็ดแต่โดยดี
ผมเขายาวขึ้นมาอีกนิดแล้ว พอฤดูหนาวก็น่าจะมัดจุกน้อยๆ ให้ได้แล้ว
“ข้าวิ่งได้ที่หนึ่ง พวกเขาวิ่งสู้ข้าไม่ได้สักคน!” เจ้าเด็กน้อยตูดเหม็นบางคนเอ่ยบอก
นี่ไม่ได้เหนือความคาดหมายของกู้เจียว ฟ้ายังไม่ทันสางเขาก็ตื่นมาฝึกยุทธ์ทุกวัน สุขภาพร่างกายของเขาจึงแข็งแรงมาก
กู้เจียวเช็ดเหงื่อให้เสี่ยวจิ้งคงเสร็จ หลิวเฉวียนก็มาพอดี
หลิวเฉวียนมาเพื่อรับเสี่ยวจิ้งคง “…กั๋วจื่อเจียนเชิญบัณฑิตใหญ่เน่ยเก๋อมา เพื่อบรรยายเคล็ดลับการสอบเข้ารับราชการในวังของพวกผู้เข้าสอบเดือนหน้า ลิ่วหลังบอกว่าเขาอาจจะเลิกช้าหน่อย”
เมื่อก่อนเซียวลิ่วหลังจะไม่เคยเข้าร่วมวิชาเช่นนี้เลย
แต่ประโยคนี้หลิวเฉวียนไม่ได้เอ่ยออกไป
หลิวเฉวียนเอ่ย “ข้าจะไปส่งพวกเจ้ากลับก่อน อีกเดี๋ยวจะไปสำนักบัณฑิตชิงเหอ”
กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นเลิกเรียนแล้วต้องไปเรียนงานฝีมือกับอาจารย์หลี่ว์
กู้เจียวเอ่ย “ไม่ต้องหรอก พวกเราเดินกลับกันได้ แค่นี้เอง ท่านลุงหลิวไปรับอาเหยี่ยนกับเสี่ยวซุ่นดีกว่า”
“ได้ขอรับ” หลิวเฉวียนขานรับ แล้วขับรถม้าไปที่สำนักบัณฑิตชิงเหอ
กู้เจียวกับเสี่ยวจิ้งคงกลับมาที่ตรอกปี้สุ่ย
เซียวลิ่วหลังกลับมาค่ำมาก คนทั้งครอบครัวต่างนอนกันหมดแล้ว ในห้องโถงทิ้งตะเกียงน้ำมันไว้ให้เขาดวงหนึ่ง
ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าเป็นใคร
ดวงตาเซียวลิ่วหลังขยับไหว กำลังจะกลับไปที่ห้องตัวเอง ประตูห้องตรงข้ามก็เปิดออก
กู้เจียวในชุดนอนสีขาวตลอดร่างเดินออกมา “หิวหรือไม่ เหลือข้าวไว้ให้เจ้าด้วย ข้าจะไปอุ่นให้นะ”
“ไม่หิว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยว่า “ข้ากินมาแล้ว”
เดิมทีกะว่าจะเข้าไปทั้งอย่างนี้ แต่เขาพลันชะงัก สุดท้ายก็อดถามนางไม่ได้ว่า “ดึกเพียงนี้แล้ว เหตุใดยังไม่นอนเล่า”
“รอเจ้าน่ะสิ” กู้เจียวบอก
คำสารภาพตามตรงที่โพล่งออกมานั้น พาให้ดวงใจของเซียวลิ่วหลังเหมือนจะอ่อนยวบลงมาเสียอย่างนั้น
เซียวลิ่วหลังเห็นนางสวมเพียงชุดนอนผืนบางตัวเดียวจึงตั้งสติแล้วเอ่ย “ข้างนอกมันหนาว เจ้ารีบกลับเข้าห้องไปนอนดีกว่า อีกเดี๋ยวข้าก็จะนอนแล้ว”
“เจ้ายังโกรธข้าอยู่รึ” กู้เจียวเอียงคอถาม
“เปล่า” เขาตอบ “ข้าไม่ได้โกรธ”
กู้เจียวส่งเสียงอ๋อออกมา ทว่ายังไม่กลับเข้าห้องไป แต่ยืนอยู่หน้าประตูใช้สายตาใสซื่อมองเขา
รู้ทั้งรู้ว่านางหยอกเย้า แต่เซียวลิ่วหลังพลันใจอ่อนยวบลงทันใด เขาวางอาวุธยอมศิโรราบทันใด อ้าปากพะงาบๆ เอ่ยเสียงเบา “เหมือนจะหิวอยู่หน่อยๆ”
กู้เจียวแย้มยิ้ม “ข้าจะไปอุ่นข้าวให้”
เซียวลิ่วหลังมองชุดนอนตัวน้อยผืนบางของนางแล้วลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “เจ้าคลุมเสื้อไปสักตัวสิ”
“อืม!” กู้เจียวกลับห้องมาใส่เสื้อคลุม ก่อนจะไปในครัวอุ่นอาหารที่ตักแยกไว้ให้เขาต่างหากก่อนกินข้าว มีน้ำแกงซี่โครงใส่ข้าวโพด หมั่นโถวเนื้อขาว ซี่โครงตุ๋นน้ำแดงและอาหารจานเย็นอีกสองสามอย่าง
กู้เจียวยังต้มผักสดให้เขาอีกสองสามอย่างเพิ่มด้วย
เซียวลิ่วหลังนั่งลงกินข้าว
กู้เจียวนั่งฝั่งตรงข้ามเขา สองมือเท้าแก้ม วางศอกไว้บนโต๊ะ
ดูเขาสิ
หล่อเหลาเสียจริง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซียวลิ่วหลังถูกนางจ้องมองเช่นนี้ สายตาของเด็กสาวนางนี้ช่าง…กว้างใหญ่กว่าคนถูกมองอย่างเขาเสียอีก
ภายในห้องเงียบงัน
ตั้งแต่สมาชิกในบ้านเติบโตขึ้น เขาก็ได้กินข้าวกับนางสองต่อสองเช่นนี้น้อยมาก ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปในวันวานทันใด
เซียวลิ่วหลังกินข้าวเสร็จ กระเพาะก็อุ่นขึ้น ร่างกายก็อุ่นตาม
ทั้งคู่เก็บถ้วยชามแล้วแยกย้ายกลับห้องใครห้องมัน
ก่อนจะเข้าห้องไป กู้เจียวหันกลับมาถามเขาอีกหน “ไม่ได้โกรธจริงๆ รึ”
เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึก ทำปากแข็งเอ่ย “จริงสิ”
กู้เจียวใจกว้าง เขาบอกว่าจริงนางก็เชื่อแล้ว
กู้เจียวส่งเสียงอ้อแล้วเอ่ย “เดิมทีกะจะง้อเจ้าหน่อย แต่ในเมื่อเจ้าไม่ได้โกรธ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด”
เซียวลิ่วหลัง ช้าก่อน เจ้าจะง้ออะไรข้ารึ รู้สึกแปลกๆ ว่าตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไปเสียแล้ว…
“เจอกันพรุ่งนี้นะ” กู้เจียวเข้าห้องไป
เซียวลิ่วหลัง “…”
……
หมู่นี้วิชาการเรียนของกั๋วจื่อเจียนเปลี่ยนไปมาก แรกๆ เซียวลิ่วหลังไม่โดดเรียนเลย ต่อมาก็กลายเป็นอยากโดดเรียนแต่ไม่อาจทำได้
ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับการสอบระดับเตี้ยนซื่อในครั้งนี้มาก จึงส่งขุนนางใหญ่เน่ยเก๋อมากมายมาให้ความรู้กับพวกผู้เข้าสอบ
แม้จะบอกว่าทุกคนนั้นผ่านการสอบระดับเตี้ยนซื่ออยู่แล้ว ซ้ำคนที่เข้าไปก็ล้วนเป็นจิ้นซื่อหมด ทว่าใครจะอยากเป็นรองอย่างอันดับร่วมจิ้นซื่อกันละ ทุกคนต่างมุ่งมั่นจะได้อันดับหลักเป็นจิ้นซื่อกันหมดอยู่แล้ว
การสอบเข้ารับราชการในวังที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้บรรยากาศของกั๋วจื่อเจียนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
ทว่าทางโรงหมอนั้น ผู้บาดเจ็บสาหัสที่คาดผ้าแดงคนสุดท้ายก็ได้ออกจากโรงหมอแล้ว ยามนี้ยังเหลือเจียงสือเพียงคนเดียวที่รักษาตัวอยู่ในเมี่ยวโส่วถังอยู่
เขาอาการหนักมาก คาดว่าคงต้องรักษาอีกสองสามเดือน
กู้เจียวไปให้น้ำเกลือเจียงสือ เพิ่งจะให้น้ำเกลือเสร็จก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผิดปกติจากนอกโรงหมอ
กู้เจียวนึกว่าผู้ป่วยขัดขวางการปฏิบัติงานของแพทย์ พอลงบันไดมาดูกลับพบว่าไม่ใช่
“เหตุใดจึงมีคนมามากมายเพียงนี้” กู้เจียวมองฝูงชนแออัดหน้าประตูพลางถาม
เถ้าแก่รองให้เสี่ยวซานจื่อไปถามความดู
เสี่ยวซานจื่อกลับมาอย่างรวดเร็ว “เอ่อ ได้ยินว่าไท่จื่อเฟยมาบรรยายที่สำนักบัณฑิตสตรี ไม่ใช่นักเรียนในสำนักบัณฑิตสตรีก็เข้าไปฟังได้ คนพวกนี้มาเพราะอยากจะไปเข้าเรียนคาบของไท่จื่อเฟย!”
ที่แท้ไท่จื่อเฟยโดนฮ่องเต้กักบริเวณเพราะเรื่องอุบัติเหตุสะพานขาด ยามนี้ยกเลิกคำสั่งกักบริเวณไปแล้ว เพื่อทวงเกียรติคืนกลับมา และเพื่อสั่งสมความนิยมของราชวงศ์ในหมู่ชาวเมือง จึงได้มาในวันนี้
กระแสของเรื่องสะพานขาดผ่านพ้นไปแล้ว หมู่นี้ในหมู่ชาวบ้านมีข่าวลือใหม่บอกว่าคนบ้านเดิมของไท่จื่อเฟยอ้างชื่อของไท่จื่อเฟยไปขวางสะพานเพื่อจะจุดธูป ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไท่จื่อเฟยเลย
ไท่จื่อเฟยเป็นคนที่ถูกบ้านเดิมลากมาเกี่ยวด้วย
ทันใดนั้นแนวโน้มในหมู่ชาวบ้านพลันเปลี่ยนผันแตกเป็นทั้งแย่และดี พวกที่รักไท่จื่อเฟยก็คิดว่าเชื่อข่าวลือไม่ได้
ทว่าไม่ว่าอย่างไร ไท่จื่อเฟยก็ออกมาบรรยายแล้ว
คนส่วนใหญ่ยังคงไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้พบไท่จื่อเฟยไป
อย่างไรเสียชั่วชีวิตนี้ของพวกเขาก็อาจจะได้พบแค่หนนี้หนเดียวก็เป็นได้
ห้องเรียนของไท่จื่อเฟยแน่นขนัด
นางสอนเรื่องหมากรุก
และยามนี้คนที่ถูกส่งให้ไปบรรยายที่สำนักบัณฑิตสตรีไม่ได้มีแค่ไท่จื่อเฟย ยังมีรุ่ยอ๋องเฟยและตู้เชียนเชียนด้วย
ฝีมือดีดฉินของตู้เชียนเชียนติดสามอันดับแรกของแคว้นเจาแห่งนี้ ภายใต้รัศมีอันเจิดจ้าของไท่จื่อเฟยจึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางก็มาแล้วเช่นกัน
ห้องเรียนของนางว่างเปล่า มีนักเรียนเพียงแค่สองคนเท่านั้น
คนหนึ่งคือหลี่หวานหว่านที่ชอบเรียนดีดฉินจากใจจริง กับอีกคนคือตู้เสี่ยวอวิ๋นที่ถูกนางบังคับให้มานั่งในห้องเรียนนี้