บทที่ 223 สามีภรรยา (1)
ตู้เสี่ยวอวิ๋นคิดจะวิ่งหนีไป
รุ่ยอ๋องเฟยตวาดเสียงดุ “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ตู้เสี่ยวอวิ๋นขนหัวลุก แล้วนั่งลงกลับบนเก้าอี้แต่โดยดี
ตู้เสี่ยวอวิ๋นร้อนใจจะแย่แล้ว กว่าไท่จื่อเฟยจะได้มาที่สำนักบัณฑิตสักหน นางจะไปดูไท่จื่อเฟย!
นางน่ะนะ ตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่ตาเอาแต่มองไปข้างนอกอยู่เรื่อย แค่ดูก็รู้ว่านางไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้
รุ่ยอ๋องเฟยโมโหน้องสาวตัวเองยิ่งนัก แทบจะถลึงตาใส่น้องสาวด้วยความไม่สบอารมณ์ เหลือแค่คว้าเชิงเทียนโยนใส่เท่านั้นแล้ว!
ชาติที่แล้วนางไปทำกรรมอะไรมา เหตุใดจึงได้มีน้องสาวที่ไม่ช่วยคนกันเองแต่กลับไปช่วยคนอื่นเช่นนี้
โชคดีที่หลี่หวานหว่านตั้งใจฟังจริงๆ
นางนั่งตัวตรงบนเบาะรองนั่งฝั่งตรงข้ามกับรุ่ยอ๋องเฟย บนโต๊ะเล็กๆ ตรงหน้านางนั้นมีฉินโบราณวางไว้หนึ่งตัว เป็นฉินที่อาจารย์ดนตรีมอบให้นางเมื่อตอนสอบปีที่แล้ว
คุณภาพเสียงดีมาก นางชอบมากและทะนุถนอมมากด้วย ทุกๆ วันจะดูแลอย่างระมัดระวัง ไม่ให้โดนฝุ่นแม้แต่น้อย
สำหรับวิชาในวันนี้ หลี่หวานหว่านพออกพอใจมากนัก นางเป็นสตรีจากครอบครัวที่ต่ำต้อย จึงไปเล่นอะไรกับพวกคุณหนูส่วนใหญ่ในสำนักบัณฑิตสตรีไม่ได้
ยามปกติแม้แต่ห้องฉินนางยังแย่งมาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทำเลที่นั่งดีๆ ในห้องเลย นางมักจะได้นั่งอยู่ในมุมแถวสุดท้าย ซึ่งห่างจากพวกอาจารย์ไกลโข
ยามนี้นางนั่งใกล้รุ่ยอ๋องเฟยมาก นางได้ยินชัดมากขึ้น และเห็นได้ชัดเจนขึ้นด้วย
ในที่สุดโทสะที่ลุกโชนของรุ่ยอ๋องเฟยอันมีสาเหตุจากน้องสาวก็คลายลงไม่น้อยเพราะนักเรียนดีอย่างหลี่หวานหว่านที่ตั้งอกตั้งใจขอคำชี้แนะ นางจึงเริ่มตั้งใจบรรยายสอนหลี่หวานหว่าน
ถูกต้อง มีแค่หลี่หวานหว่านที่ตั้งใจเรียน ส่วนเจ้าเด็กตู้เสี่ยวอวิ๋นนั่นตัวอยู่ที่นี่แต่ใจไปไหนไม่รู้ ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปหมด!
รุ่ยอ๋องเฟยไม่ได้รีบร้อนสอน แต่ให้หลี่หวานหว่านดีดสักบทเพลงก่อนเพื่อทำความเข้าใจในระดับฝีมือของหลี่หวานหว่าน
หลี่หวานหว่านดีดบทเพลงชิวซวงที่เรียนในปีนี้ ท่วงทำนองพลิ้วไหว เสียงฉินใสกังวาน ระดับความยากไม่มาก แต่มีรายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก
“ดีดได้ไม่เลว” รุ่ยอ๋องเฟยพยักหน้า “แต่ความชำนาญในการขยับนิ้วยังขาดระดับความลึกซึ้งของการเรียนรู้ไปหน่อย เจ้าเรียนฉินมานานแค่ไหนแล้ว”
หลี่หวานหว่านตอบ “ทูลรุ่ยอ๋องเฟย หม่อมฉันเรียนมาหนึ่งปีแล้วเพคะ”
“เพิ่งจะหนึ่งปีรึ” รุ่ยอ๋องเฟยนิ่งอึ้ง ก่อนจะเอ่ยชมโดยไม่ปิดบัง “ถ้าอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่แค่ดีดได้ไม่เลวแล้ว เจ้าดีดได้ดีมากเลยต่างหาก”
หลี่หวานหว่านหลุบตาลง นั่นเพราะว่ามีคนชี้แนะนาง
รุ่ยอ๋องเฟยชี้แนะการขยับนิ้วให้นาง หลี่หวานหว่านไม่ได้นับว่ามีพรสวรรค์ในการเรียนฉิน แต่ความสามารถในการเรียนรู้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว
รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ย “บทเพลงนี้เจ้าเข้าใจมันได้พอสมควรเลย กลับไปลองฝึกเองหน่อย วันนี้ข้าจะสอนบทเพลงใหม่ให้เจ้า”
ณ ห้องเรียนใหญ่อีกห้องหนึ่งริมสุดทางเดิน ภายในไร้ซึ่งที่ว่าง แม้แต่ทางเดินและนอกหน้าต่างยังมีแต่ผู้คนเบียดเสียดเต็มไปหมด และโชคดีที่ห้องนี้อยู่ชั้นหนึ่ง มิฉะนั้นได้เหยียบกันตายหลายคนแน่
เสื้อผ้าอาภรณ์วันนี้ของไท่จื่อเฟยงดงามยิ่ง เป็นชุดกระโปรงขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ทว่ามิใช่สีขาวหรูหราเหมือนนางสนมตำหนักของรัชทายาท แต่เป็นสีขาวนวลดั่งเทพธิดานางฟ้าผู้แสนบริสุทธิ์
นางแต้มไฝชาดหนึ่งเม็ดบริเวณระหว่างคิ้ว นั่นมิได้ทำให้นางดูยั่วยวนอย่างประเจิดประเจ้อ แต่กลับขับให้ผิวกายเนียนละเอียดนั้นดูเย้ายวนกว่าเดิม งามดุจหยกขาวที่แต่ละแคว้นต่างยอมเสียเลือดเนื้อเพื่อให้ได้มาครอบครอง
นางนั่งอยู่ตรงนั้น ราวกับภาพวาดขุนเขาธาราของปรมาจารย์ชั้นยอด
ในห้องเรียนเงียบมาก ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมา เพราะกลัวว่าจะรบกวนนางเข้า
ในห้องเรียนมีกระดานหมากรุกติดผนังที่ใช้ในการสอนโดยเฉพาะ นางวางสถานการณ์ของหมากด้วยตัวเอง “นี่เป็นสถานการณ์หมากที่อาจารย์เมิ่งเหล่าจัดวาง”
อาจารย์เมิ่งเหล่าเป็นปรมาจารย์ด้านหมากรุกที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในบรรดาแคว้นทั้งหก สถานการณ์หมากที่เขาจัดวางถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถานการณ์หมากที่ถูกแก้ยากที่สุดในบรรดาหกแคว้น
ทุกคนต่างตื่นตาตื่นใจอย่างห้ามไม่อยู่ สมกับเป็นไท่จื่อเฟย แค่แรกเริ่มก็เป็นกระดานหมากรุกที่ดุเดือดขนาดนี้ ดูท่าแล้ววันนี้พวกเขาจะไม่ได้กลับไปมือเปล่าเสียแล้ว
“ไท่จื่อเฟย ท่านแก้กระดานหมากรุกของเมิ่งเหล่าได้หรือเพคะ” คุณหนูใจกล้าคนหนึ่งถามขึ้น
ไท่จื่อเฟยแย้มยิ้ม ไม่รอให้นางเอ่ยขึ้นกลับมีขุนนางหญิงที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ย “ไท่จื่อเฟยแก้ได้ตั้งแต่อายุสิบสามแล้ว”
ภายในห้องพลันเกิดเสียงฮือฮาตกใจกันขึ้น
อายุสิบสามปีก็แก้กระดานหมากของเมิ่งเหล่าได้แล้ว ช่างเก่งกาจอะไรถึงเพียงนี้
“อันที่จริง หากจะแก้หมากกระดานนี้ไม่ได้ยากเลย” ไท่จื่อเฟยชี้กระดานหมากรุกพลางเริ่มอธิบาย
หนึ่งคาบผ่านพ้นไป ทุกคนต่างได้รับความรู้กันไม่น้อย จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าดูถูกฝีมือหมากรุกของพวกนางเลย อย่างไรเสียพวกนางก็เป็นคนที่สามารถแก้ทางสถานการณ์หมากรุกของเมิ่งเหล่าได้แล้ว
ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงนุ่ม “ที่สอนวิธีการแก้ทางหมากรุกนี้ให้ทุกคน ก็เพื่อจะบอกกับทุกคนว่าหมากรุกนั้นไม่ได้ยากเลย ขอให้ตั้งอกตั้งใจร่ำเรียนก็สามารถแก้กระดานหมากรุกทุกรูปแบบบนแผ่นดินนี้ แต่ในขณะเดียวกันข้าก็หวังว่าทุกคนจะสามารถเข้าใจในหนึ่งเหตุผลนี้ได้ ข้าสองขวบก็เริ่มเรียนหมากรุกแล้ว หมากรุกที่แท้จริงไม่ได้เป็นเรื่องของการฉวยโอกาส และไม่อาจเก่งกาจภายในข้ามคืน ต้องอดทนหมั่นฝึกฝนทุกวัน”
ประโยคนี้เทียบเท่ากับการสารภาพว่านางไม่ใช่สตรีที่มีพรสวรรค์อะไร ผลลัพธ์ทุกอย่างของนางล้วนได้จากการขยันหมั่นเพียรและพยายาม ยอมรับในความไม่เพียงพอของตัวเอง บางครั้งไม่โดนใครกลอกตา ตรงกันข้ามยังติดดินอย่างเห็นได้ชัด จึงร่นระยะห่างระหว่างนางกับนักเรียนทุกคนไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“ขอแค่ข้าเพียรพยายามก็จะสามารถเก่งได้เหมือนไท่จื่อเฟยใช่หรือไม่เพคะ” คุณหนูอีกคนถามขึ้น
ไท่จื่อเฟยหัวเราะเสียงนุ่ม “ทุกคนล้วนมีความเก่งของตัวเอง ความพยายามของเจ้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นคนเก่งขึ้นกว่าเดิม”
สวรรค์ นี่ใช่ไท่จื่อเฟยจริงหรือ ไร้มาดไร้การวางท่าเกินไปแล้วกระมัง ข่าวลือพวกนั้นที่บอกว่านางยึดเอาสะพานเชือกไว้คนเดียวและไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเดินผ่านมันมาได้อย่างไร เสียสติไปแล้วกระมัง!
คนในครอบครัวนางเป็นคนทำแท้ๆ นางก็แค่โดนคนบ้านเดิมของนางลากเข้าไปซวยด้วย!
ผลของการบรรยายครานี้ชัดเจนยิ่ง หากบอกว่าเดิมทีทุกคนต่างสองจิตสองใจที่จะเชื่อไท่จื่อเฟย ทว่ายามนี้แทบจะเชื่อสนิมใจแล้ว
“อีกอย่างคือ…” ไท่จื่อเฟยมองไปนอกประตู ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ห้องเรียนเต็มหมดแล้ว เหมือนว่าจะมีคนเข้ามาไม่ได้ อันที่จริงวันนี้รุ่ยอ๋องเฟยก็มาบรรยายให้ทุกคนอยู่ทางนั้นเหมือนกัน ฝีมือการดีดฉินของนางสูงส่งกว่าข้านัก แม่นางคนไหนอยากเรียนการดีดฉินก็ไปลองฟังการบรรยายของรุ่ยอ๋องเฟยได้นะ”
ไม่ ไม่ ไม่ พวกเราอยากฟังแค่การบรรยายของท่าน!
รุ่ยอ๋องเฟยกับไท่จื่อเฟยไม่ได้ผิดใจกันเพียงแค่วันสองวัน รุ่ยอ๋องเฟยสามวันดีสี่วันโมโหไท่จื่อเฟย ไท่จื่อเฟยไม่ไปถือสาหาความนางเลยสักครั้ง ยามนี้ยิ่งมาเชิญชวนนักเรียนให้นาง…
ช่างห่วงใยเกินไปแล้ว!
ไท่จื่อเฟยเป็นเช่นนี้พวกนางจะมีเหตุผลอะไรให้ไม่ชอบ ไม่เคารพรักเทิดทูนและไม่สนับสนุนเล่า
คาบที่สองมีคุณหนูหลายคนที่ไปฟังบรรยายห้องเรียนของรุ่ยอ๋องเฟยจริงๆ
รุ่ยอ๋องเฟยนึกว่าเป็นเพราะเสียงฉินของตัวเองดึงดูดพวกนางมาเสียอีก จึงทุ่มเทสอนเหมือนไปฉีดเลือดไก่มา สุดท้ายพอเลิกเรียนถามดู
“ไท่จื่อเฟยให้พวกเรามาเพคะ”
รุ่ยอ๋องเฟยสีหน้าพลันทะมึนขึ้นทันที
รุ่ยอ๋องเฟยหอบกล่องฉินไปหากู้เจียวให้ปลอบใจด้วยความน้อยอกน้อยใจในความไม่เป็นธรรมทันที
อาจเพราะตั้งอกตั้งใจแขวะไท่จื่อเฟยออกรสเกินไป ตอนนางกลับไปจึงลืมฉินไว้ที่เรือนของกู้เจียวไปเสียได้
ยามบ่ายนี้อันจวิ้นอ๋องมาที่โรงหมอ
เขามาเพื่อตรวจดวงตาซ้ำ
กู้เจียวพาเขาไปห้องตรวจ ยังคงตรวจให้เขาเหมือนเดิม ตั้งแต่ต้นจนจบนางนิ่งสงบมาก ราวกับว่าระหว่างพวกเขาไม่เคยเกิดความกระอักกระอ่วนครานั้นขึ้นมาก่อนเลย
กู้เจียวปล่อยวางได้นานแล้ว นางไม่มีทางเอาเรื่องแบบนี้มาใส่ใจ
อันจวิ้นอ๋องยิ้มขื่น มีเพียงเขาคนเดียวที่นึกถึงจริงๆ สินะ
“รู้สึกอย่างไรบ้างรึ” กู้เจียวถาม
“ดีขึ้นมากแล้ว” อันจวิ้นอ๋องยิ้มบอก
นี่ไม่ใช่คำพูดตามมารยาท มันดีขึ้นมากแล้วจริงๆ สามคืนก่อนที่ใช้ยาไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย พอเข้าคืนวันที่สี่เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเห็นแสงสว่างรำไรแล้ว
สวรรค์รู้ว่าโรคนี้ทรมานเขามานานเพียงใด จุดอ่อนทุกอย่างของเขาล้วนอาจจะนำมาซึ่งหายนะถึงชีวิตตัวเองได้ ดังนั้นหลายปีมานี้เขาจึงผ่านมันไปด้วยความเสี่ยงมาโดยตลอด
กู้เจียวพยักหน้า “ใช้ยาต่อไป อาหารการกินก็ต้องเปลี่ยนนะ กินพวกเครื่องในให้มากหน่อย”
อันจวิ้นอ๋องไม่ชอบกินของพวกนี้ แต่ในเมื่อนางบอก เช่นนั้นก็จะฟัง “ได้”
กู้เจียวมองเขา “ท่านโดนลมหนาวมาหรือ”
เสียงพูดจาของเขาแปลกไป
อันจวิ้นอ๋องแย้มยิ้มแล้วเอ่ย “เห็นแสงในยามราตรีได้แล้ว พอมันมีความสุขก็เลยไปนั่งเล่นในลานบ้านอยู่พักหนึ่งน่ะ”
ไม่ใช่ในลานบ้าน บนหลังคาต่างหาก
ความยินดีปรีดาที่ดวงตากลับมามองเห็นได้เหมือนเดิมเกือบสมบูรณ์แล้ว เป็นสิ่งที่คนอื่นยากจะเข้าใจได้
“มือ” กู้เจียวชี้ที่หมอนจับชีพจรบนโต๊ะ
อันจวิ้นอ๋องวางมือลงบนนั้นอย่างเชื่อฟัง
กู้เจียวจับชีพจรให้เขา ก่อนชักมือกลับแล้วเอ่ย “ไม่ร้ายแรงอะไร ไม่ต้องกินยา”
“เหตุใดจึงยังมีหมอที่ไม่ออกยาให้คนไข้อยู่อีก ไม่หาเงินแล้วรึ” อันจวิ้นอ๋องหยอกนาง
กู้เจียวปรายตามองเขา “ค่าตรวจสิบตำลึง”
อันจวิ้นอ๋อง “…”
จากนั้นอันจวิ้นอ๋องก็หลุดหัวเราะ “ได้”
อย่าว่าแต่สิบตำลึงเลย หนึ่งร้อยตำลึงเขาก็ยินดีจ่ายให้
ทางด้านจวงเย่ว์ซี พอนางเลิกเรียนออกจากสำนักบัณฑิตสตรีแล้ว มองปราดเดียวก็เห็นรถม้าพี่ชายตนจอดอยู่หน้าประตูโรงหมอ
คิ้วงามของนางพลันขมวดมุ่น พี่ชายมารับนางหรือว่า…
เหตุใดจึงจอดรถม้าไว้ตรงนั้นล่ะ
จวงเย่ว์ซีไม่รอให้จวงเมิ่งเตี๋ยไปโรงหมอคนเดียว ยามนี้ที่โรงหมอกำลังยุ่ง ไม่มีคนเหลือมาต้อนรับดูแลนาง นางจึงเดินตรงไปข้างในเอง ก่อนจะได้ยินเสียงของพี่ชาย
นางเดินมาหยุดหน้าห้องตรวจ ผลักประตูห้องที่งับไว้ให้แง้มออก แล้วมองลอดช่องประตูเข้าไป เห็นอันจวิ้นอ๋องยิ้มกับค่ารักษาสิบตำลึงพอดี
นั่นเป็นรอยยิ้มที่จวงเย่ว์ซีไม่เคยเห็นประดับอยู่บนใบหน้าอันจวิ้นอ๋องมาก่อน
อันจวิ้นอ๋องไม่ใช่ชายรูปงามยิ้มยาก แต่เขาก็ไม่เคยยิ้มอย่างจริงใจเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน
เขามองไปยังคนคนนั้นด้วยแววตาที่มีประกายเต็มเปี่ยม
ส่วนคนที่ถูกเขาจดจ้องกลับไม่ได้สังเกตเห็นเลยสักนิด หรือจะเรียกอีกอย่างว่าไม่สนใจ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจัดข้าวของตัวเอง
จู่ๆ นิ้วของจวงเย่ว์ซีก็กำแน่น
หมู่นี้เซียวลิ่วหลังเลิกเรียนช้า วันนี้กู้เจียวก็เป็นคนไปรับเสี่ยวจิ้งคง
คนที่มีความสุขที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เสี่ยวจิ้งคง เขาพุ่งออกจากห้องเรียนเป็นคนแรก วิ่งตรงไปหน้าประตูใหญ่ราวกับพายุน้อย
“เจียวเจียว!”
วิ่งเสียจนเหงื่อท่วมอีกแล้ว
กู้เจียวเช็ดเหงื่อให้เขา “วันนี้ดื้อหรือไม่”
“ไม่ดื้อ! ข้าเป็นเด็กดีที่สุดแล้ว!” เสี่ยวจิ้งคงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“อย่างนั้นรึ” กู้เจียวจูงมือเขา “วันนี้เรียนอะไรมาล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงจับมือกู้เจียวกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปข้างหน้า “วันนี้เรียนปกิณกคดี แล้วก็คณิตศาสตร์!”
“รู้เรื่องหมดหรือยัง” กู้เจียวถามเสียงเบา
เสี่ยวจิ้งคงตบอกน้อยๆ ตัวเอง “แน่นอนอยู่แล้ว! ข้าไม่ได้โง่เหมือนพี่เขยสักหน่อย!”
กู้เจียวเอ่ยแก้ต่าง “พี่เขยเจ้าไม่ได้โง่นะ เขาฉลาดมากเลยต่างหาก”
เสี่ยวจิ้งคงเกิดความสงสัยต่อสติปัญญาของพี่เขยนิสัยไม่ดีอย่างร้ายแรง
ฉลาดแล้วเหตุใดจึงสอบได้ที่โหล่ตลอดเล่า
ทั้งคู่เดินพูดคุยกันอย่างมีความสุขผ่านถนนมายังหน้าร้าน แล้วเดินผ่านหน้าร้านเหล่านี้ไป ก่อนจะเลี้ยวเข้าตรอกปี้สุ่ยมา
พวกเขาเพิ่งจะเลี้ยวเดินได้ไม่ถึงสองก้าว จู่ๆ หูสองข้างของกู้เจียวก็ขยับ นางคว้าเสี่ยวจิ้งคงไว้ แล้วอุ้มเขาขึ้นมา ก่อนจะสาวเท้าก้าวใหญ่ๆ เบี่ยงหลบไปด้านข้าง!
เพล้ง!
กระถางดอกไม้ขนาดใหญ่ใบหนึ่งหล่นแตกลงตรงตำแหน่งที่พวกนางเพิ่งยืนเมื่อครู่นนี้ ดินและดอกไม้กระเซ็นไปทั่วพื้น
เสี่ยวจิ้งคงเบิกตาโต
กู้เจียวอุ้มเขาไว้มือหนึ่ง อีกมือนางป้องศีรษะเขาไว้ไม่ให้เขามอง ให้เขาซบอยู่กับไหล่ตัวเองแทน
นางมองหน้าต่างข้างบนอย่างเย็นชา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่มีอะไรหรอก คงบังเอิญร่วงลงมาน่ะ”
กู้เจียวไม่ได้ตามไปดู นางอุ้มเสี่ยวจิ้งคงกลับมาที่บ้าน