บนโดมกระจกใส มีดาวสีเงินร่วงหล่นตามจังหวะการก้าวเดินของพวกเขา มันกะพริบระยิบระยับอยู่บนพรมแดง ทันใดนั้นทั้งหมดก็ยิ่งเหมือนกับความฝัน
ในส่วนของแขกเหรื่อ มีบรรดาญาติของฝ่ายหญิงพูดคุยกันขึ้นมาว่า : “หรือว่าตนเองเป็นอย่างไร ก็จะคบเพื่อนอย่างนั้นมันจริงใช่ไหม? คุณดูสิเพื่อนเจ้าบ่าวสองคนที่อยู่ด้านหลังของประธานสือ หน้าตาหล่อเหลามากเลย!”
แต่ฉันยังรู้สึกว่าประธานสือหล่อที่สุด!”
“อืม ปกติแล้วคนหล่อๆอย่างนี้ สักคนหนึ่งก็หาไม่เจอ แต่ตอนนี้เห็นทีเดียวสามคนเลย ฉันรู้สึกว่าเลือดกำเดาฉันจะไหลแล้ว……”
“ใช่ๆ โชคดีนะเดิมทีฉันต้องไปงาน Paris Fashion Show วันนี้ แต่ถูกเชิญให้มาเข้าร่วมงานแต่งงานโดยเฉพาะ มิฉะนั้นฉันจะต้องเสียดายตายเลย!”
ในขณะนี้สือมูเฉินได้มาถึงจุดสิ้นสุดของพรมแดงแล้ว โดยมีฟู่สีเกอและหยานชิงเจ๋อยืนอยู่สองข้าง
“ทุกๆท่านถูกคนหล่อทั้งสามคนทำให้ตกตะลึงจนละสายตาไม่ได้เลยใช่ไหม?” พิธีกรพูดหยอกล้อ : “เอาละ ต้องขยับลูกตากันสักเล็กน้อย เพราะว่าสาวสวยทั้งสามคนและพ่อของเจ้าสาวที่กำลังจะปรากฏตัวนั้น ยิ่งจะทำให้ทุกท่านไม่สามารถละสายตาไปได้! เรียนเชิญเจ้าสาวคุณหลานเสี่ยวถาง และพ่อเจ้าสาวพลโทหลานเซี่ยวเฉิง รวมทั้งเพื่อนเจ้าสาวสุดสวยทั้งสองท่านออกมาได้เลยครับ!”
เมื่อพิธีกรพูดจบ คนด้านล่างก็กระซิบกระซาบกัน
“พระเจ้า ที่แท้พ่อเจ้าสาวเป็นพลโทเหรอ?!”
“ใช่ๆ ฉันก็เพิ่งจะรู้! เดิมทียังคิดว่าเป็นเหมือนนิทานเรื่องเจ้าชายกับซินเดอเรลล่า ที่แท้ก็เป็นคนมีอิทธิพลมีอำนาจมารวมตัวกัน!”
“ใช่ การแต่งงานที่เชื่อมสัมพันธ์การเมืองกับธุรกิจเข้าด้วยกันมักจะแข็งแกร่งมาก แต่ไม่รู้ว่าเจ้าสาวจะรูปร่างหน้าตาอย่างไร……”
กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ แสงดาวบนโดมก็สว่างขึ้น จนทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนมีดวงดาวลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขาจริงๆ
สีสันของแสงไฟโดยรอบค่อยๆอบอุ่นขึ้น พื้นที่ทั้งหมดถูกรังสรรค์จนกลายเป็นวังแก้ว
หลานเสี่ยวถางจับมือหลานเซี่ยวเฉิง แล้วเดินมาตามพรมแดงทีละก้าวๆ ด้านหลังของเธอ เป็นซูสือจิ่นกับเฉียวโยวโยว
ตามฝีเท้าที่ก้าวเดินไปของทุกคน ก็มีเสียงยินดีดังขึ้นอยู่รอบๆ
เพชรบนชุดกระโปรงหางปลาของหลานเสี่ยวถาง ภายใต้การกระทบของแสงไฟ การหักเหของแสงมากมายที่สว่างไสวอยู่ ทำให้มันส่องประกายแวววับจับตา
การแต่งหน้าของเธอเรียกได้ว่าแทบจะเป็นการแต่งหน้าแบบธรรมชาติ เผยให้เห็นใบหน้าที่สะสวยงดงาม ด้วยออร่าที่เป็นธรรมชาติ ราวกับฤดูร้อนที่ร้อนจัด และจู่ๆตรงหน้าก็มีบ่อน้ำเย็นใสสะอาด ทำให้คนที่พบเห็นลืมความทุกข์ไปเลย
และข้างๆเธอ หลานเซี่ยวเฉิงสวมชุดทหาร พร้อมยศที่แวววาวตระการตาบนไหล่
เขามีใบหน้าที่สงบ ร่างกายของเขามันเต็มไปด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยวในสนามรบ แต่ที่มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ในแววตาส่องประกายความอบอุ่นออกมา
ความเด็ดเดี่ยวและความอ่อนโยนมันขัดแย้งกันอย่างมาก แต่กลับดูมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจที่สุด
นับตั้งแต่หลานเสี่ยวถางเหยียบลงบนพรมแดง สายตาก็จับจ้องอยู่ที่สือมูเฉินตลอด
ในขณะนี้ เธอเหมือนกับลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด มองไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่ดึงดูดสายตาเธออยู่ ทำให้เธออดใจไม่ไหวที่จะได้อยู่ใกล้ๆเขา
ในที่สุดหลานเสี่ยวถางก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าสือมูเฉิน และไปยืนอยู่ข้างๆเขา
และตามที่จัดวางไว้เฉียวโยวโยวกับซูสือจิ่น ต่างแยกกันไปยืนข้างๆฟู่สีเกอกับหยานชิงเจ๋อ
ทุกๆคนบนเวที เป็นภาพที่สวยงามอย่างมาก
พิธีกรกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยากจะปกปิดความตื่นเต้นไว้ได้ : “นี่เป็นงานแต่งงานที่สวยงามที่สุด ในรอบเจ็ดปีที่ฉันเป็นพิธีกรมาเลย! ฉันเชื่อว่า ผู้คนอีกมากมายในที่นี้ มีความรู้สึกเหมือนกันกับฉัน! คุณสือพูดเรื่องส่วนตัวออกสื่อน้อยมาก ฉะนั้นเกรงว่าทุกๆท่านคงอยากจะรู้แล้วว่า ท้ายที่สุดแล้วคุณสือพบรักกับคุณหลานได้อย่างไรครับ?”
พูดจบเขาก็นำไมโครโฟนส่งให้สือมูเฉิน
สือมูเฉินรับไมโครโฟนมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยๆพูดออกมาให้ทุกคนฟัง : “หลังจากได้เจอกัน จึงพบว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
คำพูดเขาธรรมดามาก แต่ประโยคที่เรียบๆง่ายๆ กลับทำให้คนลืมหายใจไปชั่วขณะ
ใช่เลย หลายๆครั้งก็อย่าไปโทษฟ้าโทษดิน เพราะบางทีอาจจะสายเกินไป ที่สวรรค์จะนำพาคนคนนั้นมาให้คุณ
หลังจากนั้นพิธีกรก็ขอให้หลานเซี่ยวเฉิงพูดบ้าง
เขาหยิบไมโครโฟนขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างทหาร : “วันนี้เป็นวันที่ลูกสาวฉันแต่งงาน เพราะเหตุสุดวิสัยเธอจึงต้องร่อนเร่ออกไปอยู่ข้างนอกตั้งแต่เด็ก หลายปีมานี้ ฉันตามหามาตลอด มันหมดหวังทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ ยังดีที่สุดท้ายแล้วเธอได้มาอยู่ข้างๆฉัน ฉันอยากใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดของฉัน เพื่อชดเชยความรักของพ่อที่ขาดหายไปจากเธอ ขณะเดียวกัน ก็ได้เป็นประจักษ์พยานความรักของเธอกับสือมูเฉินตลอดมา”
พูดจบ เขาก็หันไปมองสือมูเฉิน : “มูเฉิน วันนี้ฉันจะมอบลูกสาวคนเดียวของตนเองให้คุณ หวังว่าคุณจะดูแลเธอเป็นอย่างดี อย่าทำให้เธอเสียใจและผิดหวัง หวังว่าพวกคุณจะจับมือเคียงบ่าเคียงไหล่กันไป ไม่ทอดทิ้งกัน”
สือมูเฉินกล่าวอย่างจริงจังตั้งใจว่า : “พ่อ ฉันทำได้ เชื่อฉันเถอะ”
เมื่อเขาพูดประโยคนี้ออกมา มุมหนึ่งที่ด้านล่างเวที สายตาของโจวเหวินซิ่วฉาบไปด้วยความเย็นชา
ลูกชายของเขา ลูกชายของเธอกับสามีของเธอ คาดไม่ถึงว่าจะเรียกคนอื่นว่า ‘พ่อ’?!
เวลานี้เพลงในพิธีแต่งงานกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว และงานแต่งงานก็มาถึงช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุด
พิธีกรไม่ได้พูดหยอกล้ออีก กล่าวอย่างจริงจังว่า : “คุณสือ คุณยินดีจะแต่งงานกับคุณหลานเสี่ยวถางมาเป็นภรรยาข้างกายคุณ จะดูแลเธอไปตลอดชีวิต รักและทะนุถนอมเธอ ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือร่ำรวยมีเกียรติ ก็จะไม่ทิ้งกันไปใช่หรือไม่?”
สือมูเฉินมองหลานเสี่ยวถาง ในดวงตาที่เปล่งประกายแฝงไปด้วยคำสาบาน เขาพยักหน้า: “ฉันยินดี”
จากนั้น พิธีกรก็มองไปยังหลานเสี่ยวถาง แล้วกล่าวคำพูดแบบเดียวกันซ้ำอีกครั้ง
หลานเสี่ยวถางมองสือมูเฉินที่อยู่ตรงหน้า หน้าตาที่งดงามของเขา กับฉากแบบนี้ ช่างงดงามแม้แต่ความฝันก็ไม่กล้าที่จะฝัน คาดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นจริง!
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฉีกริมฝีปากยิ้ม: “ฉันยิน——”
“เดี๋ยวก่อน!” เวลานี้ มีเสียงแหลมที่ไม่เป็นมิตรดังขึ้นมาจากช่วงต้นของพรมแดง ทันใดนั้นก็ดึงดูดสายตาของคนทั้งหมด
หลานเสี่ยวหลานหันไปมอง ก็เห็นหลานเล่อซินที่กำลังตั้งท้องอยู่ เดินเข้ามาพร้อมกับสองสามีภรรยาตระกูลหลาน
หากคำนวณแล้ว เธอตั้งครรภ์ได้เพียง3เดือนเท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าท้องใหญ่แบบนั้นจริงๆ หรือว่าเอาอะไรมารองไว้ เวลานี้มองดูแล้วคล้ายกับแตงโมครึ่งลูก
เธอเดินเข้ามาทีละก้าวๆ แล้วกล่าวกับสือมูเฉินที่อยู่บนเวทีว่า: “มูเฉิน ฉันท้องลูกของคุณ คุณจะไม่สนใจไม่ถามไถ่ได้แล้วทิ้งพวกเราสองแม่ลูกไปจริงๆเหรอ?!”
รูม่านตาของสือมูเฉินหดแคบลง อดไม่ได้ที่จะมองไปทางอื่น
ที่นั่น โจวเหวินซิ่วที่เดิมทีหลบอยู่ด้านหลังของสือมูเฉินก็ลุกขึ้นยืนในทันที จากนั้น ก็เดินไปหาหลานเล่อซิน
เธอเดินมาถึงตรงหน้าหลานเล่อซิน แล้วเข้าไปประคองเธอทันที: “เล่อซิน คุณมาได้ยังไง?”
“แม่ ฉันท้อง ท้องลูกของสือมูเฉิน แต่เขาไม่ต้องการพวกเรา แล้วยังต้องการแต่งงานกับน้องสาวของฉันอีก…..” หลานเล่อซินพูดพลาง น้ำตาไหลออกมาในทันที
ทันใดนั้น ผู้คนโดยรอบต่างก็ตกตะลึง นี่ถือเป็นข่าวซุบซิบครั้งใหญ่!
คาดไม่ถึงว่าสือมูเฉินจะทำผู้หญิงคนอื่นท้อง อีกทั้งทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงบอกว่าเป็นพี่สาวของหลานเสี่ยวถางล่ะ?
“คุณบอกว่าเด็กในท้องเป็นลูกของลูกชายฉัน คุณมีหลักฐานอะไรเหรอ?” โจวเหวินซิ่วแสร้งทำเป็นตีหน้าซื่อ
“แม่ ในตอนนั้นที่ฉันกับเขา ตอนที่อยู่ด้วยกันกับเขา พวกเราถ่ายวิดีโอเอาไว้…..” หลานเล่อซินพูดพลาง ล้วงมือถือออกมาจากในกระเป๋า เปิดวิดีโอและเริ่มเล่น
วิดีโอนี้คือวิดีโอที่โจวเหวินซิ่วส่งให้เธอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เนื้อหาก็คือปฏิกิริยาหลังจากสือมูเฉินถูกวางยาในวันนั้น
ในตอนนั้นถึงแม้เธอจะไม่ได้อยู่บ้าน แต่ได้เตรียมกล้องถ่ายวิดีโอไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ภาพในวันนั้นจึงถูกบันทึกไว้ทั้งหมด เพียงแต่ เธอได้ตัดเสียงบางส่วนออก และยังตัดต่อเบื้องหลังฉากที่สือมูเฉินโยนหลานเล่อซินออกนอกประตูทิ้งไป
เมื่อหลานเล่อซินกดปุ่มเล่นวิดีโอ หลังจากโจวเหวินซิ่วได้ประมวลผล เสียงลมหายใจและเสียงที่มีลับลมคมในก็ดังขึ้นทันที และแขกที่อยู่ใกล้หลานเล่อซินอย่างมาก ต่างก็ได้เห็นภาพในวิดีโอนี้
เมื่อเห็นนักแสดงชายเป็นสือมูเฉินจริงๆ และนักแสดงหญิงก็คือหลานเล่อซิน ทุกคนต่างตะลึงงัน แต่วันนี้เป็นโอกาสพิเศษ ดังนั้นจึงไม่มีใครเอ่ยปาก เพียงแต่การแสดงออกในสายตาต่างแสดงว่าที่หลานเล่อซินพูดเป็นเรื่องจริง
ด้วยเหตุนี้ คนจำนวนไม่น้อยจึงจับจ้องไปยังบนเวที
หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงว่าเวลานี้ อึดอัดลำบากใจถึงขีดสุด ในสายตาที่กำลังดูถูก เย้ยหยัน และดูสนุกสนานนั้น ทำให้เธอยากที่จะหายใจ ร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
“เสี่ยวถาง ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจัดการเอง” สือมูเฉินที่อยู่ข้างๆกุมมือของเธอเอาไว้: “ฉันไม่เคยทำ ทุกสิ่งทุกอย่างมันสามารถพิสูจน์ได้!”
อีกมือหนึ่งของหลานเสี่ยวถาง ถูกหลานเซี่ยวเฉิงที่อยู่ข้างๆกุมเอาไว้ เขาออกแรงกุมมือเอาไว้เพื่อส่งพละกำลังให้กับเธอ
เมื่อวิดีโอจบลง ในสถานที่นั้นก็เงียบสงบลง
สือมูเฉินก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง หยิบไมโครโฟน กำลังจะเอ่ยปาก
หลานเสี่ยวถางเห็นภาพด้านหลังของเขา แล้วนึกถึงตลอดระยะเวลาครึ่งค่อนปีที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเขาคนเดียวที่แบกเอาไว้ทั้งหมด
และเวลานี้ ในขณะที่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา แต่แม่ของเขากลับลงมือทำลายมันด้วยตัวเอง เกรงว่า ภายในใจของเขาคงจะเป็นทุกข์ทรมานซะยิ่งกว่าเธอใช่หรือไม่?
คิดถึงตรงนี้แล้ว หลานเสี่ยวถางก็ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามาจากไหน จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าทันที
เธอยืนอยู่ข้างๆสือมูเฉิน ยื่นมือไปแย่งไมโครโฟนจากในมือของเขา
สือมูเฉินตกตะลึงเล็กน้อย แล้วหันหน้าไปมองหลานเสี่ยวถาง
เธอพยักหน้าให้เขา จากนั้น ยืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งหมด ยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนเหล่านั้นที่ปกติแล้วเธอจะเห็นได้เฉพาะในภาคเศรษฐกิจหรือการเมืองเท่านั้น แล้วเอ่ยปากอย่างกล้าหาญเสียงดังฟังชัดว่า: “เรื่องนี้ ฉันเชื่อใจมูเฉิน!”
สือมูเฉินตัวสั่น ในดวงตาที่ลึกซึ้งล้วนเป็นประกาย เขาหันไปมองภรรยาตัวน้อยที่ปกติแล้วตนเองจะต้องปกป้องดูแล รู้สึกว่าอารมณ์ความรู้สึกที่เชื่อใจปรากฏขึ้นในร่างกายโดยยากที่จะอธิบาย
เขาเชื่อว่า เธอสามารถจัดการได้จริงๆ
“เรื่องนี้ ฉันรับรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว ภาพในวิดีโอเมื่อกี้นี้ ฉันก็เคยเห็นแล้ว” หลานเสี่ยวถางสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าวว่า: “ในตอนนั้น ความรู้สึกของฉันก็เหมือนกันกับทุกคน ฉันคิดว่าสือมูเฉินทรยศต่อฉัน ดังนั้น ฉันจึงได้หนีออกจากบ้านไป รู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ต่อมา ฉันก็ได้พบว่าฉันเข้าใจเขาผิดไป!”
“เชื่อว่า ทุกคนต่างก็รับรู้ว่าในการทำงานเขาเป็นคนแบบไหน” หลานเสี่ยวถางหันหน้าไปมองสือมูเฉิน: “เขาไม่มีข่าวด้านลบ ไม่มีข่าวฉาวอะไร นี่คือสิ่งที่ทุกคนต่างก็รับรู้ แต่สิ่งที่ฉันรับรู้ก็คือ ทุกวันหลังเลิกงานเขาจะกลับบ้าน ทุกๆเช้าจะพาฉันออกไปวิ่ง เขาออกไปทำงานต่างจังหวัดก็จะวิดีโอคอลมาหาฉัน ต่อให้เขายุ่งแค่ไหนก็จะต้องมาบอกฝันดีกับฉัน”
เธอกล่าวต่อไปว่า: “นี่ก็คือด้านที่ทุกคนไม่ได้เห็น และยังเป็นเหตุผลขั้นพื้นฐานที่สุดว่าทำไมฉันถึงเชื่อใจเขา! ดังนั้น หลังจากที่เขาได้ให้ความกระจ่างกับฉันแล้ว ฉันก็ไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยที่จะเชื่อเขา อีกทั้งฉันยังรู้สึกสงสารเขา ที่ต้องทำร้ายตัวเองเพื่อบรรเทาอาการหลังจากถูกวางยาอีกด้วย!”
เธอพูดพลาง ดึงสือมูเฉินเข้ามา จากนั้นก็โน้มตัวลง แล้วดึงขากางเกงของสือมูเฉินขึ้น ชี้ไปที่รอยแผลเป็นนั้นแล้วกล่าวว่า: “นี่คือร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้ในช่วงเวลานั้น คุณผู้หญิงโจวเหวินซิ่ว ตอนที่คุณบีบบังคับลูกชายของคุณแบบนั้น เคยคิดบ้างไหมว่า เขาก็คือเลือดเนื้อที่ออกมาจากท้องของคุณเหมือนกัน?!”