ตอนที่ 301 เด็กกะโปโล
ตอนที่ 301 เด็กกะโปโล
เธออยู่กับจั๋วเอ่อร์เฉิงมาหลายเดือนแล้ว เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อทำให้เขาพึงพอใจ จนเธอไม่มีเวลาได้หาเพื่อน
ทำให้ในตอนนี้เธอไม่มีใครให้พูดคุยหรือแบ่งปันเรื่องราวต่าง ๆ
และเธอก็นึกถึงซูเถาขึ้นมา
เจียงจิ่นเวยมองไปรอบ ๆ และแน่นอนว่าเธอเห็นซูเถาในบูธของตงหยาง
ก็ถือว่ายังพอมีประโยชน์เวลาเธออยากอวดหรือแบ่งปันเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟังได้
ซูเถาไม่รู้ว่าเธอกำลังจะถูกใช้เป็นเครื่องมือ เธอรู้สึกเบื่อเล็กน้อยที่ฟังคำพูดของจั๋วเอ่อร์เฉิง หลังจากให้อาหารลูกแมวในกระเป๋าแล้ว เธอก็จะไปเยี่ยมชมบูธของฐานอู๋ไถ
เธอมองไปที่สือจื่อจิ้นที่เอาแต่จ้องมองมาที่ตนเอง จากนั้นจึงไล่เขาออกไป
“คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะ เจียงอวี่ก็อยู่ที่นี่ ไม่ต้องกังวลหรอก”
สือจื่อจิ้นชำเลืองมองไปอีกทาง เขามีบางอย่างที่ต้องทำ
“ผมให้เฉินเหล่าเอ้อร์ไปกับคุณแล้วกัน คนส่วนใหญ่ที่มาในวันนี้มีภูมิหลังบางอย่าง หากคุณไปทำให้ใครไม่พอใจเข้า เฉินเหล่าเอ้อร์สามารถช่วยคุณได้”
ซูเถาเงยหน้าขึ้น “คุณกังวลว่าฉันจะไปสร้างปัญหาเหรอ”
สือจื่อจิ้นหัวเราะ “ไม่ได้กลัว แต่กันเอาไว้ก่อน ใครทำให้คุณอารมณ์เสีย ถ้าคุณอยากด่าก็ด่า อยากลงมือก็เอาเลย ผมจะช่วยคุณจัดการทีหลังเอง”
เมื่อเขาพูดอย่างนั้น ซูเถาก็รู้สึกเกรงใจเล็กน้อย
เจียงจิ่นเวยที่กำลังมีสายตาสอดส่อง
สิงซูอวี่ไม่รู้จักอีกฝ่าย จึงกวาดสายตาขึ้นลงอย่างสงสัยและถามว่า “สวัสดีค่ะ คุณกำลังมองหาใครหรือเปล่า”
เจียงจิ่นเวยมองไปรอบ ๆ “ซูเถา เมื่อกี๊ฉันยังเห็นเธออยู่ตรงนี้ เธอหายไปไหนแล้ว”
หรือเป็นไปได้ไหมที่ซูเถาเห็นเธอแล้ววิ่งหนีไป?
สิงซูอวี่รับรู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนดีแน่นอน ดังนั้นจึงส่ายหัวและพูดว่า “ฉันไม่รู้ คุณลองโทรหาเธอและสอบถามดูได้ค่ะ”
เจียงจิ่นเวยรู้สึกรำคาญเล็กน้อย ถ้าเธอรู้หมายเลขติดต่อสื่อสารของซูเถาทำไมเธอต้องมาถามด้วยตนเอง
ในขณะที่เธออารมณ์เสีย ก็เหลือบไปเห็นเครื่องดื่มข้างเคาน์เตอร์และถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณไปเอาเครื่องดื่มเหล่านี้มาจากไหน”
เมื่อไม่นานมานี้ เอ่อร์เฉิงซื้อเสบียงจำนวนหนึ่งจากที่ไหนสักแห่ง และนำเครื่องดื่มและของว่างสองสามขวดมาให้เธอ
เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่จั๋วเอ่อร์เฉิงมอบให้เธอนั้นเหมือนกับเครื่องดื่มหลายขวดในตู้แช่เย็นนี้
ทำไมตงหยางถึงมีมัน? เธอคิดว่าซินตูเป็นฐานอันดับหนึ่งทางภาคใต้เสียอีก
ภายหลังเธอก็บอกจั๋วเอ่อร์เฉิงว่าเธอต้องการของพวกนี้เพิ่มอีก แต่เขาบอกว่าไม่สะดวกที่จะซื้อและปฏิเสธ
เมื่อเห็นว่าตงหยางมีของเหล่านี้เป็นจำนวนมาก เธอก็ไม่เข้าใจและอิจฉาเล็กน้อย
หยางอิ๋งไม่ตอบคำถามของเจียงจิ่นเวย แต่ส่งรายการราคาให้เธอ “คุณผู้หญิงรับอะไรดีคะ”
เจียงจิ่นเวยรู้สึกว่าเธอไม่ได้มีท่าที่ที่สุภาพ และชี้ไปที่จั๋วเอ่อร์เฉิงที่กำลังพูดอยู่บนเวที
“ฉันเคยดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ และคนที่อยู่บนเวทีคือคู่หมั้นของฉัน”
เธอคิดว่าถ้าตนเองเปิดเผยตัวตน ผู้หญิงตงหยางสองคนตรงหน้าเธอจะบอกสิ่งที่เธออยากรู้อย่างสุภาพ
แต่น่าเสียดายที่สิงซูอวี่เป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมา เธอขมวดคิ้วแล้วบอกว่า
“คุณเป็นคู่หมั้นของรองหัวหน้าจั๋วก็ต้องชำระค่าสินค้าค่ะ เราจะให้ไปฟรี ๆ ไม่ได้ และฉันก็ไม่คิดว่ารองหัวหน้าจะปล่อยให้ผู้หญิงของเขามากินดื่มโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรอกค่ะ”
หยางอิ๋งหัวเราะเบา ๆ
เจียงจิ่นเวยรู้สึกหงุดหงิดมาก “เธอคิดว่าฉันไม่มีปัญญาจ่ายหรือไง เอาเครื่องดื่มที่มีอยู่ในรายการมาอย่างละหนึ่งขวด ใส่ถุงให้ฉันด้วย!”
สิงซูอวี่ยิ้มและรีบจัดสินค้าให้เธอ โดยบรรจุเต็ม 2 ถุง มากกว่า 200 ขวด คิดเป็นเงินทั้งหมด 50,000 เหลียนปัง
เจียงจิ่นเวยยังคงรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อทำการกดชำระเงิน
เงินห้าหมื่นเหลียนปังเทียบเท่ากับเงินค่าขนมที่เอ่อร์เฉิงมอบให้เธอเป็นเวลาสองเดือน
เธอใช้เงินหมดแล้ว เงิน 30,000 เหลียนปังถือเป็นเงินเก็บทั้งหมดของเธอ
แต่ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว เธอรู้สึกเสียดาย ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาจ่ายเงินไป
เมื่อเธอจากไป จึง ลืมจุดประสงค์เดิมของการมาที่บูธตงหยาง
สิงซูอวี่เขียนบัญชีอย่างมีความสุขและพูดกับหยางอิ๋ง
“น่าจะเอาไปมากกว่านี้อีกหน่อยเนอะ”
หากซูเถารู้ว่าสิงซูอวี่เป็นคนเปิดรายการสั่งซื้อแรก และเงินที่ได้มายังเป็นเงินของเจียงจิ่นเวยอีก เธอคงมีความสุขเพิ่มเป็นสองเท่า
ติงเหออวี้เห็นซูเถามาที่บูธของฐานอู๋ไถ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย และโบกมือให้เธอ
“เถ้าแก่ซู มาแล้วเหรอ ผมจะแนะนำให้คุณรู้จัก นี่คือนายกเทศมนตรีของฐานอู๋ไถของเรา”
เริ่นซินซุ่นไม่เคยพบกับซูเถามาก่อน เขาได้ยินมาว่าอีกฝ่ายยังเด็ก และเมื่อเขาได้เจอเธอจริง ๆ เขาก็ต้องแปลกใจว่าเป็นเด็กสาวตรงหน้าเขาจริง ๆ เหรอ
เด็กสาวคนนี้คือเถ้าแก่ของเถาหยางจริง ๆ เหรอ??
แม้ว่าเขาจะคิดเช่นนั้นในใจ แต่เขาก็ค่อนข้างสุภาพ เขายื่นมือออกไปเพื่อที่จะจับมือแสดงความทักทายกับซูเถา
หลังจากนั้นทั้งสองก็เริ่มพูดคุยกันในเรื่องธุรกิจ
ภาพนี้ตกอยู่ในสายตาของฉู่หมิงที่อยู่ไม่ไกล
เธอขมวดคิ้วและถามเพื่อน ๆ ของเธอว่า “รู้จักเธอหรือเปล่า คนที่จับมือกับนายกเทศมนตรีเริ่นแห่งอู๋ไถ”
หากซูเถาอยู่ด้วย เธอจะต้องจำเพื่อนของฉู่หมิงได้อย่างแน่นอน หนึ่งในนั้นคือเติ้งจื่อฉิง ลูกสาวคนโตของครอบครัวเติ้ง ที่ต้องการจะทุบรถบ้านอันมีค่าของเธอเมื่อไม่กี่วันก่อน
เติ้งจื่อฉิงเข้าไปมองใกล้ ๆ ดวงตาของเธอเบิกกว้างเล็กน้อย
ฉู่หมิงชำเลืองมองเธอ “เธอรู้จักผู้หญิงคนนั้นเหรอ เธอมาจากฐานไหน”
เติ้งจื่อฉิงส่ายศีรษะของเธออย่างตรงไปตรงมา “นายหญิงฉู่ ฉันไม่รู้จักเธอและไม่รู้ว่าเธอมาจากฐานไหน แต่ฉันเคยเจอเธอหนึ่งครั้ง”
เธอนึกถึงผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ ซูเถาในตอนนั้น แม้ว่าเธอจะยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่จิตใต้สำนึกของเธอบอกเธอว่าอย่ายุ่งกับซูเถาเป็นการดีที่สุด
ฉู่หมิงตอบรับหนึ่งเสียงจากนั้นก็ไม่สนใจอีกต่อไป เธอกัดริมฝีปากแน่นแล้วพูดว่า
“ทักษะด้านติดต่อสื่อสารของเธอค่อนข้างสูง เธอจึงทำความรู้จักกับนายกเริ่นแห่งอู๋ไถได้อย่างรวดเร็ว”
เธอมองไปที่ซูเถาอย่างมีวิจารณญาณอีกครั้ง
“หน้าตาเธอก็ไม่เลว แต่เธอยังดูเด็กอยู่เลย สวมเสื้อผ้าถูก ๆ ผู้หญิงแบบนี้น่ะเหรอที่จะสามารถดึงดูดผู้ชายได้”
แม้แต่ผู้ชายที่มีวิสัยทัศน์สูงเช่นเหลยสิงก็ยังได้รับยาเสน่ห์จากเธอ!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ฉู่หมิงก็โกรธ สองวันที่ผ่านมานี้ เธอไม่เห็นเหลยสิงเลย และทุกครั้งที่เธอไปหาเขา ก็มักจะถูกหั่วเสอขวางไว้เสมอ
เธอพูดกับเติ้งจื่อฉิงด้วยความโกรธว่า “เธอไปถามผู้ชายของเธอหน่อย ว่าเด็กกะโปโลคนนี้มาจากไหน”
เติ้งจื่อฉิงพึมพำในใจ ขอให้ฉันไปถามนู่นถามนี่ ฉันเป็นคนใช้ของเธอหรือไง
แต่เธอตอบว่า “ไว้ฉันจะถามเอ่อร์เฉิงให้นะ”
หญิงสาวอีกคนสลับกันมองไปที่ซูเถา จากนั้นดวงตาของเธอก็จับจ้องไปที่สร้อยข้อมือสีดำน่าเกลียดบนข้อมือของซูเถา และก็หัวเราะออกมา
“ฉันเข้าร่วมการประชุมสุดยอดพันธมิตรนี่หลายครั้ง และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนใส่สร้อยข้อมือน่าเกลียดแบบนี้”
เจียวชิ่ง เป็นภรรยาของหัวหน้าฐานติ้งหนาน ความแข็งแกร่งของฐานติ้งหนานเป็นรองจากฐานซินตูเท่านั้น นอกจากนี้เธอยังเป็นคนที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติและเธอยังเป็นที่รู้จักทางตอนใต้ในนาม “สตรีหมายเลขหนึ่งแห่งติ้งหนาน”
ฉู่หมิงหันตามสายตาของเธอเพื่อมองไปที่ซูเถาอีกครั้ง และนั่นเอง เธอเห็นสร้อยข้อมือน่าเกลียดนั่น เธออดไม่ได้ที่จะกลอกตา
“ฉันคิดว่าเธอใส่ชุดลำลองเสียอีก อีกทั้งยังมัดผมหางม้าแบบสบายๆ ไหนจะสร้อยข้อมือที่น่าเกลียดนั่น”
เติ้งจื่อฉิงไม่ได้เข้าร่วมการสนทนาประชดประชันของพวกเธอ เพราะซูเถาอายุยังน้อยและเธอดูอ่อนเยาว์ในชุดลำลอง
ผู้หญิงแก่ ๆ ยังไม่กล้าใส่แบบนี้
สำหรับสร้อยข้อมือสีดำ มันดูน่าเกลียดจริง ๆ ราวกับว่านำเศษถ่านสีดำมาเรียงร้อยเป็นสร้อยข้อมือ
ซูเถาไม่รู้ว่าตนเองกำลังถูกตัดสินโดยผู้หญิงสามคน
และแน่นอนว่า ถึงจะรู้เธอก็ไม่สนใจ
เพราะการประชุมในครั้งนี้ไม่ได้ระบุถึงเครื่องแต่งกาย เธอก็เลยแต่งกายมาแบบเรียบง่าย ไม่ได้เข้มงวดอะไร