เมื่อได้ยินคำสั่งจากเจียงซื่อ อาหยาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางเจียงอี
เนื่องจากในมุมมองของอาหยา การที่เจียงซื่อออกคำสั่งส่วนตัวต่อหน้านายของตน ดูแปลกไปเล็กน้อย
บัดนี้ เจียงอีจิตใจยุ่งเหยิง นางจึงได้ตอบออกไปว่า “เช่นนั้นเจ้าจงอยู่ก่อนเถอะ”
เจียงซื่อมองไปที่อาหยาโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ทำให้อาหยารู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้คนนี้ยังไม่อาจกลับคืนสู่ความสงบได้ นางจึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า “เจ้านามว่าอาหยาใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวนามว่าอาหยา”
เจียงซื่อยิ้มขึ้น “ช่างเป็นชื่อที่ดีเหลือเกิน อาหยาเจ้าเข้ามานี่หน่อย”
อาหยาเริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ นางเดินเข้าไปหาเจียงซื่อด้วยท่าทางลังเล
เจียงซื่อหยิบกล่องหยกออกมาจากกระเป๋าคาดเอวของนางแล้วยื่นให้อาหยากล่าวเบาๆ ว่า “ลองเปิดมันดูสิ” อาหยารับกล่องหยกนั้นไปเปิดดู นางพบหนอนตัวอ้วนสีแดงกำลังยกศีรษะขึ้น ร่างกายของมันบิดเบี้ยวไปมา
ฉากนี้ที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันไม่ทันตั้งตัว จึงทำให้อาหยากรีดร้องแล้วโยนกล่องหยกออกไป
เจียงซื่อรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ มือของนางจึงรีบพุ่งไปหยิบกล่องหยกเอาไว้
หนอนที่อยู่ในกล่องหยกเกาะแน่นไม่ตกไปไหน แต่ดูเหมือนหนอนนั่นก็ตกใจไม่น้อย มันยืดลำตัวตรงขึ้นแล้วส่ายหน้าไปมาดูเหมือนจะระบายความไม่พอใจที่ถูกเจ้านายของมันทารุณ
ปลายนิ้วอันเรียวงามของหญิงสาวสัมผัสไปที่หลังของเจ้าหนอนเบาๆ หนอนอ้วนตัวนั้นจึงได้รู้สึกวางใจและนอนหงายอยู่ในกล่องหยก
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่ออาหยาจ้องมองไปที่กล่องหยกนั้น นางสัมผัสได้ว่าเจ้าหนอนตัวนี้ดูท่าทางพอใจเหลือเกิน
เจียงซื่อเก็บกล่องหยกนั้นลงไปแล้วหันไปมองดูอาหยา ก่อนจะกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าเกือบจะทำสัตว์เลี้ยงของข้าตกแตกเสียแล้ว”
อาหยาหัวใจสั่นสะท้าน นางรีบคุกเข่าลงไปแล้วกล่าวว่า “บ่าวขอโทษเจ้าค่ะ บ่าวไม่ทันได้ระวังตัว ขอคุณหนูโปรดให้อภัยด้วย!”
“น้องสี่” เจียงอีเพิ่งได้สติกลับคืนมา นางรู้สึกว่าหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้านางท่าทางอันเย็นชาไร้ความรู้สึกดูช่างไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย น้องสี่เลี้ยงหนอนอันน่าขยะแขยงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อีกอย่างเมื่อครู่ในศาลานั้น น้องสี่ทุบชายร่างกำยำสองคนจนเป็นลมโดยไม่ลังเล…
ยิ่งคิด เจียงอีก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
เจียงซื่อส่ายหน้าเบาๆ เป็นความหมายว่าไม่ให้เจียงอีเข้ามายุ่ง
ฝ่ายหนึ่งคือน้องสาวแท้ๆ และอีกฝ่ายหนึ่งคือบ่าวรับใช้ แน่นอนว่าเจียงอีจะต้องเลือกเข้าข้างเจียงซื่อโดยไม่ลังเล
“อาหยากลัวหนอนมากหรือ” เจียงซื่อเอ่ยถาม
อาหยาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ร่างอันอ้วนกลมที่บิดเบี้ยวไปมาดูท่าทางเหมือนจะปีนขึ้นมาบนร่างกายได้ตลอดเวลาเช่นนั้น มีใครบ้างเล่าจะไม่กลัว
“แล้วอาหยากลัวงูหรือไม่”
สีหน้าของอาหยาซีดลงกว่าเดิม
เจียงซื่อยกมือขึ้นกำผมอันเปียกปอนของนางแล้วบีบน้ำออกก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็นว่า “บังเอิญเหลือเกิน ข้าชอบเลี้ยงงูด้วย”
อาหยาตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
นางไม่ได้ทำอะไรเลย เหตุใดน้องสาวของฮูหยินจึงต้องทำให้นางเกรงกลัวเช่นนี้
เมื่อพบว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว สีหน้าของเจียงซื่อก็กล่าวออกมาด้วยความไร้อารมณ์ว่า “อาหยา ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นคนของใคร และไม่สนว่าเจ้าภักดีต่อพี่สาวข้าหรือไม่ แต่เรื่องในวันนี้ที่ข้าและพี่สาวของข้าเปียกฝน หากว่าถูกเผยแพร่ออกไปด้านนอก ชีวิตของเจ้าต่อจากนี้ก็เตรียมตัวอยู่กับฝูงหนอนและงูเถอะ!”
การที่ได้พบกับชายสองคนในศาลาเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน และสิ่งที่ได้ยินนั้นดูเหมือนจะเกิดปัญหามากมาย ด้วยเหตุนี้ นางและพี่สาวคงจะไม่ปากโป้งเปิดเผยออกไป
ส่วนอาหมานคงจะไม่พูดออกไปแน่ แต่อาหยาจะเป็นอย่างไรนั้น แม้แต่พี่สาวของนางเองก็คงรับปากไม่ได้ เช่นนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนางเถอะ หากต้องการจะควบคุมคำพูดและการกระทำของใครบางคน แน่นอนว่าการซื้อใจคนคนนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ด้วยระยะเวลาอันสั้นๆ การบีบบังคับและข่มขู่จะเห็นผลได้อย่างชัดเจน
อาหยาเบิกตากว้างแล้วมองไปทางเจียงซื่ออย่างเหลือเชื่อ
เจียงซื่อเลื่อนมือไปที่เอว อาหยาสะดุ้งแล้วพูดอย่างเร่งรีบว่า “บ่าวจะไม่พูดออกไปเป็นแน่เจ้าค่ะ”
หากใครไม่รู้คงคิดว่าสองพี่น้องไปฆาตกรรมผู้ใดหรือลอบวางเพลิงเสียอีก เพียงแค่เรื่องเปียกฝน จำเป็นต้องข่มขู่บ่าวรับใช้เช่นนางด้วยหรือ
“คุณหนู น้ำร้อนมาแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเบาบางขึ้นทันที “พี่ใหญ่ พี่เข้าไปอาบก่อนเถอะ”
บัดนี้ร่างกายที่ตกอยู่ในอาการงุนงงของเจียงอี เมื่อถูกน้ำร้อนชะล้างความหนาวเย็นออกไปจึงทำให้นางค่อยๆ รู้สึกตัว
หลังจากที่เจียงซื่อเช็ดตัวเรียบร้อยแล้ว เจียงอีก็ได้สั่งให้อาหมานและอาหยาออกไปข้างนอก ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของเจียงซื่อเอาไว้เอ่ยถามว่า “น้องสี่ เหตุใดชายสองคนนั้นจึงได้เอ่ยถึงเจ้า และองค์ชายเจ็ดที่พวกเขาพูดเหตุใดจึงมาเกี่ยวข้องกับเจ้าได้ อีกอย่างเจ้าจัดการกับชายกำยำสองคนนั้นได้อย่างไร”
เจียงซื่อไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พี่ใหญ่ พี่เอ่ยถามข้ามากมายเช่นนี้จะให้ข้าตอบคำถามใดก่อนเล่า”
เจียงอีจึงได้ยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น ก่อนจะผ่อนคลายแล้วเอ่ยว่า “น้องสี่ บัดนี้หัวใจของข้ายังคงตุ้มๆ ต่อมๆ เฉกเช่นตกลงไปอยู่ในกระทะทอดน้ำมัน เจ้ารีบบอกข้าเร็วเข้าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ เจียงซื่อดูเหมือนจะปวดหัวเล็กน้อย
ที่จริงนางเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรว่าเกิดสิ่งใดขึ้น สองคนนั้นต้องการจะหาหญิงสาวที่มีลักษณะคล้ายกับสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซัง เพื่อเข้าใกล้อวี้ชี ด้วยวัตถุประสงค์ใดกัน? การที่ชายชุดยาวเอ่ยถึงนาง เป็นเพราะนางหน้าตาคล้ายกับอาซังหรือ
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอันประหม่าของเจียงอี เจียงซื่อจึงได้สงบสติอารมณ์ลงแล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดไปที่ผมของนาง “พี่อย่าได้ตื่นตระหนกไป ข้าเดาว่าการที่สองคนนั้นสังเกตและจับจ้องข้า น่าจะเป็นเพราะองค์ชายเจ็ด”
“แล้วน้องสี่รู้จักองค์ชายเจ็ดได้อย่างไร”
เจียงซื่อยิ้มออกมา “ข้าไม่รู้จักองค์ชายเจ็ดสักหน่อย ก่อนหน้านี้ไม่นานที่พี่รองตกลงไปในแม่น้ำจินสุ่ยและเกี่ยวข้องกับคดีลอบวางเพลิงนาวาใหญ่ ข้าเดินทางไปที่ศาลาว่าการพระนครเพื่อไปรับพี่รอง ระหว่างทางนั้น มีอันธพาลกลุ่มหนึ่งเข้ามาล้อมพวกเราเอาไว้ สหายของพี่รองคนหนึ่งเข้ามาช่วย บัดนี้คิดดูแล้วสหายคนนั้นอาจจะเป็นเยี่ยนอ๋องก็ได้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เจียงซื่อก็รู้สึกถึงเรี่ยวแรงบางอย่าง นางตระหนักได้ถึงความแปลกประหลาด
บัดนี้ อวี้จิ่นได้ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว ทุกคนที่กล่าวถึงเขาล้วนจะเรียกเขาว่าเยี่ยนอ๋อง แต่เมื่อครู่ทั้งสองคนเรียกเขาว่าองค์ชายเจ็ด นั่นหมายความว่าสองคนนี้เรียกมาจนเคยชินแล้วจึงไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกอย่างนั้นหรือ
หากเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนน่าจะจับตาดูอวี้ชีมานานแล้ว
เมื่อพบว่าเจียงซื่อดูใจลอย เจียงอีจึงได้เอ่ยถามด้วยความรีบร้อนว่า “ต่อให้น้องสี่ถูกองค์ชายเจ็ดช่วยเอาไว้ แต่เหตุใดสองคนนั้นจึงได้จับจ้องเจ้า”
เมื่อนึกไปถึงสองคนนั้นที่สนทนากันว่าต้องการจะรู้ตัวตนของน้องสาวนาง เจียงอีก็อดไม่ได้ที่จะกังวล
“พี่ใหญ่อย่าได้กังวลใจไปเลย หลังจากที่เขารู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว คาดว่าคงจะไม่กล้ากระทำการใดบุ่มบ่ามหรอก”
ไม่ต้องกล่าวว่าจวนปั๋วมีอำนาจหรือไม่ แต่สตรีในจวนปั๋วนั้นไม่อาจช่วงชิงได้ง่ายๆ หากมีทางเลือกอื่น เจียงซื่อคิดว่าชายหนุ่มชุดยาวจะไม่ใช้นางในการเข้าใกล้อวี้ชี
“น้องสี่ แต่ข้ายังกังวลใจว่า…”
“พี่ใหญ่ บางครั้งความกังวลใจก็ไร้ประโยชน์ หากไม่อาจหนีได้พ้นจริงๆ ข้าก็สามารถป้องกันตนเองได้”
เมื่อมองไปยังดวงตาอันสดใสของน้องสาว จิตใจอันวุ่นวายของเจียงอีก็ค่อยๆ สงบนิ่ง นางขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเอ่ยถามว่า “น้องสี่เหตุใดเจ้าจึงเลี้ยงหนอนเช่นนี้”
“ข้าเพียงบังเอิญไปพบมันและเห็นว่ามีสีสันงดงามจึงเก็บมาเลี้ยงก็เท่านั้น” เจียงอีพยักหน้าแล้วเอ่ยถามอีกว่า “เจ้าเลี้ยงงูด้วยหรือ”
“ไม่หรอก ข้าเพียงแค่ทำให้บ่าวรับใช้ของพี่ตกใจกลัวเท่านั้น” เจียงอีจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
โชคดีเหลือเกิน ขอบคุณสวรรค์! น้องสาวของนางไม่ได้เลี้ยงงู ยังนับว่าเป็นสตรีธรรมดาทั่วไป
“พี่ใหญ่ เรื่องในวันนี้อย่าได้เอ่ยกับพี่เขยเลย” เจียงซื่อเตือน
เจียงอีพยักหน้าอย่างจริงจัง เมื่อนึกถึงสภาพอันน่าสมเพชของชายทั้งสอง นางก็กล่าวขึ้นอย่างกังวลใจอีกว่า “น้องสี่ สองคนนั้นจะถูกเจ้าตีตายหรือไม่”